หนานกงเยี่ยนไม่มีจิตใจสนใจอารมณ์เล็กน้อยของหนานกงหลี เวลาสามวันเพียงพริบตาก็ผ่านไปแล้ว นั่นเป็นโอกาสสุดท้ายของนาง นางต้องใช้กำลังทั้งหมดทุ่มเทกับการประลองกับตี้จีองค์โต
นางรู้ดีว่าในมือของตี้จีองค์โตมียอดฝีมือ นางเคยชะล่าใจหลายครั้งหลายครา แต่จากนี้ไม่ได้อีกแล้ว
นางสูดหายใจระงับอารมณ์ที่ไม่สงบ นางก้มลงมองต้าเป่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
พบเพียงดวงตากลมโตสีดำที่เบิกกว้างมองนางไม่กะพริบตา
นางทอดถอนใจ ยื่นมือลูบหัวโล้นน้อยๆ ของต้าเป่าอย่างอ่อนโยน “เป็นเด็กดีเช่นเจ้าก็คงดี”
อย่างไรก็ตาม หลังจากหนานกงหลีเดินออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว คนคนหนึ่งก็นั่งลงบนขั้นบันไดด้านนอกห้อง
เขาไม่อยากเข้าใจว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร มีความสัมพันธ์อย่างไรกับมารดาตน ยิ่งไม่อยากเข้าใจว่าเยี่ยนจิ่วเฉาทำเรื่องที่ไร้ความปรานีเช่นนั้นกับมารดา แต่เหตุใดนางยังปกป้องบุตรของเขา
ใช่ เขาเป็นตัวประกันที่ไม่เลวทีเดียว
แต่แค่ให้มีชีวิตอยู่ก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ?
ทรมานเขาสักหน่อยจะเป็นไร?
พวกเขาทนทุกข์ทรมานมากถึงเพียงนั้นในมือของเยี่ยนจิ่วเฉา หนี้บิดาบุตรชดใช้ มิใช่สัจธรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้หรือ?
หนานกงหลีไม่มีทางยอมรับ ความริษยาของตนที่มีต่อเยี่ยนจิ่วเฉายิ่งมีมากขึ้น ไม่เพียงแต่เพราะตัวเขา แต่ยังเพราะเขาให้กำเนิดบุตรที่ยอดเยี่ยมเพียงนี้ถึงสามคน เป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้ง เป็นองค์ประมุขน้อยแห่งหนานจ้าว!
เขายังจำตนเองในวัยห้าขวบได้ เขาเดินเข้าไปในตำหนักจินหลวนโดยไม่ตั้งใจ
เขาเห็นท่านตานั่งบนบัลลังก์มังกรสีทองอร่าม เขาเดินขึ้นบันไดไปด้วยความประหลาดใจ ทว่าเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ถูกขันทีของท่านตาอุ้มลงไป
เขายังจำสีหน้าของท่านตาได้
ท่านตาขมวดคิ้วราวกับว่าเขาได้ทำสิ่งที่ไม่ควร
แล้วเด็กนั่นเล่า?
เขามีสิทธิ์อะไรเดินขึ้นไป มีสิทธิ์อะไรถึงสามารถนั่งเก้าอี้มังกร มีสิทธิ์อะไรที่ได้ครอบครองตราหยกแผ่นดินราวกับเป็นของเล่น?
ท่านตาลำเอียงเกินไปแล้ว!
“หลีเอ๋อร์”
ขณะที่ดวงตาทั้งสองของหนานกงหลีเป็นสีแดงด้วยความโกรธแค้น จู่ๆ น้ำเสียงอ่อนโยนก็ดังมาจากด้านหลัง
ความคิดของหนานกงหลีหยุดลงกะทันหัน ดวงตาลุกโชนด้วยไฟโทสะ ใบหน้ากลับเฉยชาราวกับอยู่ห่างไกลออกไปพันหลี่ “เจ้ามาทำอะไร?”
ไม่ต้องหันไปมองก็เดาได้ว่าคนที่มาเป็นใคร
ไป๋เชียนหลีนั่งลงข้างกายและมองเขาอย่างเอ็นดู “กำลังคิดอะไรอยู่หรือ? เหม่อลอยเช่นนั้น?”
หนานกงหลีตอบอย่างไม่ใยดี “เรื่องอะไรของเจ้า? ข้าขอเตือนเจ้า อยู่ห่างๆ ตี้จีไว้หน่อยจะดีที่สุด นางไม่ใช่คนที่เจ้าจะล้อเล่นได้!”
ไป๋เชียนหลีถูกตำหนิไม่รำคาญ ยิ้มก้มหน้าเบาๆ “ได้ ข้าจะไม่วุ่นวายกับนาง”
การเชื่อฟังของเขาทำให้สีหน้าหนานกงหลีผ่อนคลายลง “ทางที่ดีที่สุดเจ้าไปจากที่นี่ แล้วอย่ากลับมาให้พวกเราเห็นหน้าอีก!”
ไป๋เชียนหลีกล่าว “จุดนี้เกรงว่าข้าจะทำไม่ได้”
กว่าจะรู้สึกว่าคนผู้นี้ก็นับว่าน่าสนใจ หันกลับมาก็กล้าขัดขืนคำสั่งของเขา หนานกงหลีกล่าวอย่างไม่พอใจ “ด้วยเหตุใด?”
“เจ้าก็รู้ว่าเหตุใด” ไป๋เชียนหลีกล่าว
เรื่องพวกนี้รู้แล้วก็ไม่สู้ไม่รู้ เดาออกก็อยากแสร้งทำเป็นเดาไม่ออก
คำพูดสุดท้ายของไป๋เชียนหลีทำให้ความโกรธของหนานกงหลีปะทุขึ้น เขาลุกขึ้น ชักกระบี่ที่เหน็บไว้ข้างเอว ชี้ไปทางไป๋เชียนหลี “น้ำหน้าอย่างเจ้าเป็นอันใด! คู่ควรจะรับใช้แม่ข้า!”
ในที่สุดรอยยิ้มในดวงตาของไป๋เชียนหลีก็ค่อยๆ เลือนรางหายไป เขาเงยหน้ามองหนานกงหลีเนือยนิ่ง พลางกล่าวคำเว้นคำ “ข้าเป็นพ่อของเจ้า”
หนานกงหลีโกรธจัด “เหลวไหล!”
“ข้าเปล่า” ไป๋เชียนหลีกล่าว
หนานกงหลีโกรธจนตัวสั่น “หุบปาก! เจ้าไม่ใช่พ่อของข้า! พ่อของข้าคือเยี่ยนอ๋องแห่งต้าโจว! ไม่ใช่คนที่ซ่อนอยู่ในป่าเขากันดารไม่อาจพบเจอแสงแดด!”
แม้จะเดาได้ว่าท่าทีของเขาอาจเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อได้เห็นจริงกับตา ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง หัวใจของไป๋เชียนหลีเจ็บปวดราวกับเข็มทิ่มแทง เขาไม่พูดอะไรอีก หมุนตัวกลับห้องอย่างเฉยชา
หนานกงหลีจับกระบี่ในมือแน่น มองเงาหลังของเขา “เจ้าอย่าฝัน! ไม่มีวันที่เจ้าจะเป็นพ่อของข้า!”
“เอะอะโวยวายอะไร!” หนานกงเยี่ยนออกมาจากห้อง จ้องมองหนานกงหลีด้วยสายตาเยือกเย็น
หนานกงหลีก็หันมองนาง ดวงตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง จานนั้นเขาก็กัดฟันกรอดๆ เหวี่ยงกระบี่ในมือทิ้งและเดินเข้าไปในความมืดมิดยามค่ำคืนโดยไม่หันกลับมา
“หลีเอ๋อร์…” ไป๋เชียนหลีที่เพิ่งเข้าห้องไปได้ยินการเคลื่อนไหว จึงหมุนตัวออกมาตามหา
หนานกงเยี่ยนหยุดเขาไว้ “ไม่ต้องไปสนใจเขา เขาอยากเอาแต่ใจ ก็ปล่อยเขาไป”
ไป๋เชียนหลีกังวล “ดึกเช่นนี้ เดินเตร่เข้าไปในป่าจะไม่เป็นอันตรายหรือ?”
หนานกงเยี่ยนขมวดคิ้ว “มีซิวหลัวคอยปกป้องเขาอยู่ในเงามืด ไม่มีทางเกิดเรื่อง”
ไป๋เชียนหลีมองหนานกงเยี่ยนปราดหนึ่ง พลางเกลี้ยกล่อมนาง “เจ้าอย่าโกรธเขาเลย ถ้าจะโทษก็โทษข้า ข้าไม่ควรเล่าเรื่องชีวิตของเขาให้ฟังกะทันหันเช่นนี้”
หากเป็นเมื่อก่อน หนานกงเยี่ยนไม่มีทางเห็นด้วยกับการที่เขาทำเช่นนี้ แต่เรื่องมาถึงตอนนี้ เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญกับนางอีกแล้ว
หนานกงเยี่ยนกล่าว “โตถึงขนาดนี้แล้ว อารมณ์ความคิดยังเหมือนเด็ก ต้าเป่ายังรู้ความมากกว่าเขาเสียอีก”
ไป๋เชียนหลีชะงัก “ต้าเป่า…เด็กคนนั้นใช่หรือไม่? เขาเป็นบุตรชายของเยี่ยนจิ่วเฉาหรือ?”
หนานกงเยี่ยนตอบเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เป็นบุตรชายคนโตของเยี่ยนจิ่วเฉา ได้รับความโปรดปรานจากท่านพ่อของข้าอย่างยิ่ง กระทั่งตราหยกแผ่นดินท่านพ่อก็ยกให้เขา”
ไป๋เชียนหลีตกตะลึง
องค์ประมุขรักและทะนุถนอมเด็กคนนี้ถึงเพียงนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาท?
ไป๋เชียนหลีนึกถึงเด็กที่ถูกพามาที่นี่ แม้แต่เสียงร้องไห้งอแงเพียงน้อยนิดก็ไม่มี ยามพบคนแปลกหน้าก็ไม่ระแวดระวังหรือหวาดกลัว ดูจากสองอย่างนี้แล้ว ไม่ใช่เด็กที่มีชะตาธรรมดาเป็นแน่
“เยี่ยนจิ่วเฉารู้จักที่นี่ เขาจะตามมาที่นี่หรือไม่?” เรื่องที่เยี่ยนจิ่วเฉาเคยมาที่นี่ ไป๋เชียนหลีไม่ได้ปกปิดหนานกงเยี่ยน
หนานกงเยี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ตามมาเจอแล้วอย่างไร? มาหนึ่งคน ข้าก็จะให้ซิวหลัวฆ่าหนึ่งคน!”
“ต้าเป่า~”
“ต้าเป่า~”
“ต้าเป่า เจ้าอยู่ที่ใด?” เสี่ยวเป่าดึงมือเอ้อร์เป่า ผลักประตูห้องปีกห้องหนึ่ง
เด็กน้อยทั้งสองชะโงกหัวมองเข้าไปด้านใน พวกเขากลัวความมืดมากที่สุด แต่เพื่อที่จะตามหาต้าเป่า พวกเขาจึงรวบรวมความกล้าเดินเข้าไป
“ต้าเป่า ออกมาได้แล้ว~” เสี่ยวเป่าก้มตัวมองใต้เตียง
“ต้าเป่า เจ้าไม่ต้องซ่อนแล้ว พวกเรายอมแพ้แล้ว” เอ้อร์เป่าเปิดประตูตู้
เด็กสองคนค้นหาต้าเป่าทั่วห้องแต่ก็ไม่พบ ทั้งสองจึงจูงมือกันเดินออกมาและค้นหาต้าเป่าต่อไปทีละห้อง
จื่อซูที่เพิ่งล้างจานเสร็จ เห็นเด็กน้อยสองคนเดินอยู่ตรงระเบียงทางเดิน ก็รีบเดินไปนั่งยองๆ แล้วพูดว่า “ไอ้หยา คุณชายน้อย พวกท่านยังไม่นอนอีกหรือ? เหตุใดจึงออกมาอีก? ไม่สวมรองเท้า บนพื้นเย็นมากเลยนะเจ้าคะ!”
“พวกเรานอนไม่หลับ” เสี่ยวเป่ากล่าว
“ตามหาต้าเป่า” เอ้อร์เป่ากล่าว
ภายในใจจื่อซูหมองหม่น ไม่รู้จะอธิบายกับพวกเขาอย่างไรดี ทำได้เพียงแต่ต้องพูดตามที่มีคนกำชับมา “ไม่ได้บอกแล้วหรือว่าต้าเป่าไปอยู่เป็นเพื่อนท่านยายทวดที่วังหลวง?”
“แล้วเหตุใดเขาถึงยังไม่กลับ?” เสี่ยวเป่าถาม
“เขา…” จื่อซูกล่าวอย่างละอาย “อีกสองวันก็กลับมาแล้ว”
“เหตุใดไม่พาพวกเราไปด้วย? ท่านยายทวดไม่ชอบพวกเราหรือ?” เสี่ยวเป่าถาม
จื่อซูถูกถามจนอ้ำอึ้ง ฮูหยินให้บอกว่าอย่างไรนะ? ถูกเด็กทั้งสองพูดแทรกจนนางลืมคำพูดไปหมดสิ้น!
“ท่านยายทวดชื่นชอบพวกเจ้าแน่ แต่พวกเราก็ชอบพวกเจ้าเช่นกัน หากพวกเจ้าไปกันหมด พวกเราคงเสียใจ”เยี่ยนอ๋องปรากฏตัวทันเวลา
จื่อซูถอนใจโล่งอก ลุกขึ้นคำนับ “ท่านอ๋อง”
“เจ้าออกไปเถอะ” เยี่ยนอ๋องกล่าว
“เจ้าค่ะ” จื่อซูถอยออกไป
เยี่ยนอ๋องถือรองเท้าหัวเสือเล็กๆ สองคู่เดินเข้ามาด้านหน้าทั้งสอง นั่งยองๆ จับเท้าน้อยๆ ของพวกเขาใส่เข้าไปทีละข้าง
เยี่ยนอ๋องพาพวกเขากลับห้อง นำน้ำร้อนมาเช็ดเท้าให้เด็กทั้งสอง และให้พวกเขานอนลงบนเตียงนุ่มๆ
เอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่าจำใจยอมรับความจริงที่ว่า เพราะต้องอยู่เป็นเพื่อนผู้ใหญ่แต่ละคน พี่น้องทั้งสามจึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่พวกเขาก็ยังคิดถึงต้าเป่ามาก
“เมื่อใดต้าเป่าจะกลับมา?” เอ้อร์เป่าถาม
คำถามนี้ถามมาไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง พวกเขาก็ตอบไม่ต่ำกว่าร้อยหน เยี่ยนอ๋องกล่าวอย่างอดทน “อีกสองวัน”
เสี่ยวเป่าหักนิ้วนับวัน “สองวันนะ พูดแล้ว”
“อื้อ” เยี่ยนอ๋องพยักหน้า ห่มผ้าให้พวกเขา แล้วตบไหล่เล็กของพวกเขาเบาๆ กล่อมให้พวกเขาหลับ
เฮ้อ
ในใจเด็กสองคนลอบถอนหายใจ คิดถึงต้าเป่าจังเลย
อีกด้านของป่าไผ่ ต้าเป่าก็นอนลงเช่นกัน เขาไม่มีใครขับกล่อม มีเพียงเจ้าใบ้คนหนึ่งเข้ามาดับไฟให้เขา
เขาถอดรองเท้าด้วยตนเองอย่างงุ่มง่าม คลำปีนขึ้นเตียง จัดวางตัวของตนเองให้อยู่ตรงกลางและดึงผ้านวมขึ้นห่มกาย
ขยี้ขอบตาที่เริ่มเป็นสีแดงระเรื่อ
ต้าเป่าไม่หนาว
ต้าเป่าไม่กลัว
ต้าเป่าไม่ร้องไห้
ต้าเป่าต้องอดทน
………………
Related