เวลานี้อวิ๋นเฟยยังไม่รู้ว่าองค์ประมุขที่เอาแต่โอ้อวดต่อหน้าฮองเฮาว่าอย่างไรก็จะไม่ไปตำหนักจูเชวี่ยอีก เสี่ยงต้องตบหน้าตัวเอง พาไข่ดำมาถึงตำหนักของนาง
เมื่อคืนนางหลับไม่สบายนัก ตกบ่ายได้นอนจนอิ่ม ยามนี้เพิ่งตื่นจึงสั่งให้ห้องครัวเล็กจัดเตรียมสำรับไว้สำหรับนาง
ในระหว่างที่รออาหารเย็น นางไปอาบน้ำแช่กลีบดอกไม้
วันคืนล่วงเร็ว แต่หาได้มีผู้ใดกำหนดว่าสตรีชราไม่ควรปรนนิบัติตนเองให้ดี อวิ๋นเฟยไร้เขี้ยวเล็บไม่เป็นเท็จ ล้อมกายไร้เงินทองก็เป็นจริง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมานางไม่เคยทำตัวเช่นสตรีที่ปล่อยตนเลยสักครา
แม้นางจะตาย ก็จะตายอย่างงดงาม
นางกำลังแช่น้ำอย่างสบายตัว จู่ๆ สาวใช้ผู้รับผิดชอบก็พรวดพราดเข้ามา
สีหน้าสาวใช้ผู้รับผิดชอบดูลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย “กุ้ยเฟยเพคะ!”
“มีเรื่องอันใด?” อวิ๋นเฟยที่แช่กายในอ่างน้ำชำเลืองมองนางอย่างไม่ทุกข์ร้อน “หักค่าอาหารของข้าอีกแล้วรึ?”
“เปล่าเพคะ” สาวใช้ผู้รับผิดชอบส่ายหน้า
อวิ๋นเฟยเอ่ย “เช่นนั้นท่าทางเหมือนเห็นผีของเจ้านี่มันอะไร? ทำให้ใครมองกัน?”
สาวใช้ผู้รับผิดชอบยกมือขึ้นจับใบหน้า นางก็ไม่ได้อยากมีท่าทางราวกับเห็นผีเช่นนี้หรอก แต่ปัญหาคือ องค์ประมุขเสด็จมากที่ตำหนักจูเชวี่ยแล้วน่ะสิ!
เมื่อเช้าก็ทะเลาะกันไม่จบสิ้น ยามนี้ก็เสด็จมาอีก ใครละจะบอกได้ว่าไม่ใช่องค์ประมุขอยากลงโทษกุ้ยเฟยของนาง?
เมื่อครู่มีฮองเฮาคอยปราม ยามนี้ไม่มีแล้ว เกรงว่ากุ้ยเฟยคงต้องพบกับลางร้ายเสียแล้ว!
อวิ๋นเฟยหลับตา “มีเรื่องใดก็พูดมา ไม่มีก็ออกไปเสีย”
สาวใช้ผู้รับผิดชอบตัดสินใจพูดออกไปราวเห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ “ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ! เชิญกุ้ยเฟยออกไปรับเสด็จ!”
ไอ้แก่นั่นจะวิ่งมาที่ตำหนักของนางอีกทำไมกัน?
อวิ๋นเฟยค่อยๆ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินออกไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว นางไม่ได้เฝ้ารอองค์ประมุข เป็นธรรมดาที่นางจะไม่รีบร้อน ทว่าหากบอกแต่แรกว่าไข่ที่รักทั้งสามของนางมาที่นี่ นางต้องบินออกมาตั้งแต่วินาทีแรกแล้วเป็นแน่
องค์ประมุขยืนอยู่กลางลานที่ดอกไห่ถังบานสะพรั่ง รอคอยอย่างไม่เดือดไม่ร้อน
อวิ๋นเฟยลงบันไดมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เดินไปอยู่เบื้องหน้าของเขาและคำนับพอเป็นพิธี
เขารู้ว่าอวิ๋นเฟยจะมาช้า จึงจงใจไม่บอกนางว่าเด็กน้อยทั้งสามมาที่นี่ หมายจะมองดูสีหน้านึกเสียใจของอวิ๋นเฟย ไม่คาดคิดว่าไม่เพียงแต่ไม่เห็นสีหน้านั้น กลับยังถูกนางพลิกกระดานหมากเสียก่อน
อวิ๋นเฟยเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ฝ่าบาทมิได้ตรัสว่าจะไม่มาที่ตำหนักจูเชวี่ยของหม่อมฉันอีกแล้วหรือ? แล้วยามนี้อันใดกัน? ฝ่าบาทไม่รู้สึกเจ็บหน้าหรือเพคะ?”
องค์ประมุขร่างแข็งทื่อ
ได้พบไข่ดำน้อย มีความสุขมากเกินไป จนลืมเรื่องนี้เสียสนิท!
“เจ็บหน้า?”
เสียงกล่าวอันแผ่วเบา
“เหตุใดหน้าถึงเจ็บ?”
เสียงกล่าวอันแผ่วเบาอีกเสียง
เมื่อได้ยินน้ำเสียงน่ารักนุ่มนวลนี้ อวิ๋นเฟยก็รู้สึกหัวใจเต้นแรง ชะเง้อมองด้านหลังองค์ประมุข!
หนึ่งหัว สองหัว สามหัว!
หัวกลมเล็กๆ สามหัวเอนออกมาจากด้านหลังองค์ประมุข ดวงตาสีดำกลมโตของพวกเขาเบิกมองอวิ๋นเฟยไม่กะพริบตา
“นี่คือ…” อวิ๋นเฟยตกตะลึง
“ท่านคือ…” เสี่ยวเป่าครุ่นคิด ท่านแม่สอนพวกเขามาว่าอย่างไรนะ? อ๋อ รู้แล้ว!
“ท่านคือท่านยายทวดหรือ?” เสี่ยวเป่าถาม
บุตรของอาหวั่น!
ดวงตาของอวิ๋นเฟยสุกสว่างเป็นประกายโดยพลัน ตื่นเต้นดีใจ เดินไปกีดกันองค์ประมุข แล้วย่อกายลงอุ้มไข่ดำน้อยทั้งสามขึ้นไว้ในอ้อมแขน
เด็กน้อยทั้งสามอวบอ้วน มือสองข้างไม่อาจโอบรอบ ใบหน้ากลมของพวกเขาถูกบีบจนเปลี่ยนรูป
องค์ประมุขที่ถูกกันออกไปกะทันหันซวนเซแทบล้มลง!
เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสนมที่ร่างกายอ่อนแอบอบบางไม่อาจต้านแรงลมอย่างนางจะมีพละกำลังมากถึงเพียงนี้ แค่มือข้างเดียวก็สามารถผลักบุรุษร่างใหญ่เช่นเขาออกไปได้ หากไม่ใช่เขาตอบสนองได้รวดเร็ว ยามนี้คงตกลงคูน้ำไปแล้ว!
อวิ๋นเฟยมิได้มีศิลปะการต่อสู้หรือพละกำลังที่มากเกินคนธรรมดา ทว่าจู่ๆ นางก็ได้พบหน้าเด็กๆ โดยไม่คาดฝัน เกิดยินดีปรีดาจนใช้เรี่ยวแรงที่มากที่สุดในชีวิตออกไป
มิต้องเอ่ยว่าคนตรงหน้าเป็นถึงบุรุษอกสามศอก ต่อให้เป็นภูเขาทั้งลูกนางก็จะเข็นมันออกไป! ! !
“ท่า… ท่านยายทวด…” ใบหน้าของเสี่ยวเป่าถูกใบหน้าของพี่ชายทั้งสองเบียดจนบู้บี้
“อื้ม!” อวิ๋นเฟยตอบรับด้วยความตื่นเต้นดีใจ
เสี่ยวเป่าพยายามพูดด้วยความยากลำบาก “หะ(หาย)…หะ(หาย) ใจไม่ออก…”
อวิ๋นเฟยรีบคลายอ้อมแขนที่กอดเด็กชายทั้งสาม และมองพวกเขาอย่างตื่นเต้น จะว่าดำก็ดำอยู่เล็กน้อย แต่องค์ประกอบของใบหน้าช่างงดงาม เดิมทีคิดว่าตี้จีกับอาหวั่นก็งดงามมากพอแล้ว แต่เด็กน้อยทั้งสามนี้กลับยังงดงามยิ่งกว่า ลักษณะของพวกเขาคงจะได้หลานเขยมา
“ซู้ด~” อวิ๋นเฟยอยากจะพบหลานเขยอีกครั้ง
“มาให้ยายทวดมองพวกเจ้าชัดๆ”
อวิ๋นเฟยอาศัยอยู่ในวังลึกมาเกือบทั้งชีวิต แม้ว่านางจะไม่เคยมีโอกาสได้เห็นเด็กๆ ข้างนอก แต่หนานกงเยี่ยนกับหนานกงหลี และหนานกงซีล้วนถูกเลี้ยงดูมาในวังหลวง อวิ๋นเฟยเคยเห็นพวกเขา ก็ยังไม่น่ารักเท่าไข่ดำน้อยของนางเช่นนี้เลย!
แน่นอนว่าอวิ๋นเฟยชอบตี้จีและอวี๋หวั่น แต่พวกนางเคยผ่านช่วงวัยที่เสี่ยงความตายมากที่สุดมาแล้ว ไหนเลยจะเหมือนกับไข่ดำน้อยที่น่ารักสดใสเหล่านี้ แค่อวิ๋นเฟยมองดูพวกเขา ก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจจะละลายแล้ว!
ไข่ดำทั้งสามไม่ได้มาเยี่ยมอวิ๋นเฟยมือเปล่า พวกเขาได้เตรียมของขวัญไว้ให้ยายทวดแล้ว!
เห็นเพียงไข่ดำทั้งสามวางกระเป๋าเดินทางใบน้อยลงจากหลัง เปิดกระเป๋าหยิบกล่องผ้ากล่องหนึ่งออกมา จากนั้นก็เปิดกล่องผ้าแล้วหยิบดอกกุหลาบสดขึ้นมาช่อหนึ่ง
ทั้งสามถือดอกกุหลาบไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างไพล่ไว้ด้านหลัง โค้งคำนับเยี่ยงสุภาพบุรุษผู้อ่อนโยน
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่อวิ๋นเฟยได้รับของขวัญจาก ‘บุรุษ’
สุภาพบุรุษตัวน้อยทั้งสามไม่เพียงแต่มอบดอกไม้ให้ยายทวด แต่ยังจับมือของนางและประทับรอยจูบที่หลังมืออย่างเคารพเลื่อมใส
อวิ๋นเฟยดีใจจนแทบร่ำไห้!
เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้น แล้วยืดอกกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ชีวิตที่เหลือของท่าน พวกเราจะปกป้องเอง!”
เปลือกตาขององค์ประมุขกระตุกอย่างรุนแรง!
ไปร่ำเรียนการโอ้โลมคนเช่นนี้มากจากผู้ใดกัน? อวิ๋นเฟยอายุมากแล้ว ภาษาดอกไม้เช่นนี้จะสามารถทำให้นางเคลิบเคลิ้มได้หรือ?
“ฮื้ออ” อวิ๋นเฟยสะอื้นออกมา “ซาบซึ้งยิ่งนัก…”
องค์ประมุขหมดสิ้นวาจา “…”
อวิ๋นเฟยจมอยู่ในความเบิกบานยินดีที่เด็กๆ นำมาให้ ไม่หลงเหลือความสนใจต่อองค์ประมุขที่ยืนอยู่ข้างๆ แม้แต่น้อย แต่ด้วยเหตุนี้ ท่าทางที่ไร้สิ่งใดเคลือบแฝงของนางจึงเข้าสู่สายตาขององค์ประมุข
องค์ประมุขมองสตรีผู้จิตใจชื่นบานตรงหน้า ในชั่ววินาทีเขาเกือบจะคิดว่าตนเองตาฝาดไป ผู้นี้หรือคืออวิ๋นเฟยที่ทำได้แต่กลอกตาใส่ผู้คน? นางก็ยิ้มเป็นด้วยหรือ?
ปฏิเสธไม่ได้ว่า อวิ๋นเฟยงดงามมาตั้งแต่เล็ก งดงามเสียยิ่งกว่าฮองเฮา ยามที่องค์ประมุขได้พบกับฮองเฮาและอวิ๋นเฟยในคราแรก สตรีที่เขามองคนแรกมิใช่ฮองเฮา ทว่าฮองเฮาทำให้เขาประทับใจในความเมตตาและคุณธรรมของนาง
ที่ผ่านมาอวิ๋นเฟยงดงามเสมอ ทว่าความงดงามของนางเหมือนกับดอกไม้ผ้าที่ไร้ชีวิตชีวา
ยามนี้ ดอกไม้ผ้ากลับดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในชั่วพริบตา
มันบานสะพรั่ง
ในวัยไม้ใกล้ฝั่ง
“ข้าคือเสี่ยวเป่า”
“ข้าคือเอ้อร์เป่า”
“แล้วนี่ต้าเป่าหรือ?” อวิ๋นเฟยมองไปที่ต้าเป่า
ต้าเป่าพยักหน้า
เสี่ยวเป่าอธิบายอย่างจริงใจ “ต้าเป่ายังพูดไม่ได้”
ความเป็นไปของเด็กๆ อวิ๋นเฟยได้รับรู้จากอวี๋เซ่าชิงแล้ว พวกเขาพูดช้า มาที่หนานจ้าวแล้วถึงได้เปิดปากพูด แม้ต้าเป่าจะพูดช้าไปบ้าง แต่นางเชื่อว่าต้าเป่าจะพูดได้ในสักวันหนึ่ง
อวิ๋นเฟยแยกแยะเด็กน้อยทั้งสามได้อย่างรวดเร็ว คนที่มีหนึ่งขวัญบนศีรษะคือต้าเป่า คนที่มีสองขวัญบนศีรษะคือเอ้อร์เป่า และตัวเล็กที่สุดก็คือเสี่ยวเป่า นี่เป็นการแยกแยะจากภายนอก มองจากลักษณะนิสัยยิ่งง่ายกว่า
คนที่ซื่อสัตย์ที่สุดคือต้าเป่า น่ารักอ่อนโยนที่สุดคือเอ้อร์เป่า และแปลกประหลาดที่สุดก็คือเสี่ยวเป่า
สายตาของอวิ๋นเฟยเฉียบแหลมกว่าองค์ประมุข กี่ครั้งกี่หนองค์ประมุขก็ยังไม่สามารถระบุได้ถูกต้องว่าคนใดคือคนใด แต่อวิ๋นเฟยพบหน้าเพียงครั้งแรกก็แยกแยะพวกเขาได้แล้ว
“ผู้ใดส่งพวกเจ้ามาที่นี่?” อวิ๋นเฟยเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยน
องค์ประมุขผงะอีกครั้ง น้ำเสียงของนางยังนุ่มนวลได้ยิ่งกว่าฮองเฮาอีกหรือ? ทุกสิ่งทุกอย่างดูไม่ใช่นางอีกแล้ว
เสี่ยวเป่าตอบ “ลุงสือซันกับลุงลิ่วส่งพวกเรามา!”
เป็นองครักษ์เงาสองคนของบิดาพวกเขา ก็เคยได้ยินบุตรเขยเอ่ยถึง แต่ก็ไม่ทันได้พูดมากนัก
จ๊อก~
ท้องของเด็กน้อยทั้งสามร้องลั่น
ท้องของพวกเขามักเป็นเช่นนี้ หิวก็หิวพร้อมกัน กระหายก็กระหายพร้อมกัน
อวิ๋นเฟยปาดน้ำตาจากหางตาและพูดว่า “ดูข้าสิ เอาแต่สนใจพูดกับพวกเจ้า จนลืมพาพวกเจ้าไปกินข้าว มาเถิด”
อวิ๋นเฟยยื่นมือไปหาเด็กทั้งสาม
เสี่ยวเป่าจับมือของนางและจับเอ้อร์เป่าด้วยมืออีกข้าง เอ้อร์เป่าไปจูงต้าเป่า และต้าเป่าก็จูงองค์ประมุขด้วย
จู่ๆ องค์ประมุขก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อยไม่รู้จะทำตัวอย่างไร เขาก้าวขาเข้าห้องบรรทมของอวิ๋นเฟยน้อยจนนับครั้งได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการร่วมโต๊ะอาหาร มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขากังวลว่าอวิ๋นเฟยจะประชดประชันเสียดสีต่อหน้าเด็กๆ ทำให้เขาเสียหน้า
ต่อหน้าเด็กๆ เขาไม่อยากสูญเสียความน่าเกรงขาม และยิ่งไม่อยากมีปากเสียงกับอวิ๋นเฟยให้เด็กๆ รับรู้
ขณะที่จิตใจพะว้าพะวง อวิ๋นเฟยก็เอ่ยปากยิ้ม “ฝ่าบาทก็คงยังไม่ได้เสวยมาใช่หรือไม่?”
องค์ประมุขผงะในทันที
อวิ๋นเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ห้องครัวเล็กมีพ่อครัวคนใหม่มา หม่อมฉันได้ยินมาว่าฝีมือการทำอาหารไม่เลว หากฝ่าบาทไม่รังเกียจ ก็อยู่เสวยมื้อค่ำกับหม่อมฉันและพวกเด็กๆ เถิดเพคะ”
หลังจากสงสัยว่าตนเองตาฝาด องค์ประมุขก็เริ่มสงสัยอีกครั้งว่าตนเองหูฝาดไป อวิ๋นเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องประหลาดน่าเหลือเชื่อ!
อวิ๋นเฟยอ่อนโยนราวกับภรรยาที่รักใคร่จุนเจือกันมานานหลายปี “หากฝ่าบาทมีราชกิจรัดตัว…”
“ไม่มี! ข้าไม่มีราชกิจอันใด” องค์ประมุขรีบขัดจังหวะในทันที ราวกับนางจะเปลี่ยนใจหากพูดช้าไปหนึ่งก้าว
อวิ๋นเฟยปิดหน้าแย้มยิ้ม จูงไข่ดำน้อยที่จับต่อกันเป็นทอดเข้าไปในห้อง
องค์ประมุขที่ยังไม่ได้สติเพราะตกตะลึงในรอยยิ้มของนาง ก็ถูกต้าเป่าจูงเข้าไปในห้องอย่างเหม่อลอย
“ฮองเฮา! ฮองเฮา!”
ณ ตำหนักจงกง ฮองเฮากำลังนั่งรอองค์ประมุขอยู่หน้าโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ ทันใดนั้นขันทีคนหนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน “ทูลฮองเฮา ฝ่าบาทส่งคนมารายงานว่าไม่ต้องรอฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ร่องรอยความผิดหวังฉายผ่านพระเนตรฮองเฮา “ราชสำนักมีราชกิจอีกแล้วหรือ?”
ขันทีก้มหัวกล่าว “ไม่มีราชกิจพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาสงสัย เช่นนั้นเรื่องใดกัน? ฝ่าบาทมีเรื่องกังวลใจไม่อยากเสวยอาหารหรือ?
หัวของขันทีลดต่ำลงกว่าเดิม
ฮองเฮามองด้วยสายตาเยียบเย็น “มีเรื่องก็พูดมาอย่าปิดบัง”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรับคำ พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาทเสด็จไปตำหนักจูเชวี่ยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาสีหน้าเปลี่ยน “เจ้าว่าอย่างไรนะ? ฝ่าบาทไปที่ใด?”
ขันทีตกใจจนพูดติดอ่าง “ตำ…ตำหนักจูเชวี่ย ห้องบรรทมของอวิ๋นเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาของฮองเฮาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เหตุใดฝ่าบาทถึงไปที่นั่นได้?”
เมื่อเช้าเขาสัญญากับนางว่าจะไม่ไปหากุ้ยเฟยอีก เหตุใดหันกลับมาก็ผิดคำสัญญาเสียแล้ว?
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประมุขกับกุ้ยเฟย ส่วนใหญ่มิใช่ความรู้สึกผูกพันเก่าก่อน แต่ตราบใดที่องค์ประมุขอยู่ในห้องบรรทมกุ้ยเฟยก็ยังทำให้จิตใจไม่เป็นสุขอยู่ดี
ขันทีกล่าว “ดูเหมือนว่า…จะมีพระญาติของกุ้ยเฟยเดินทางมา ฝ่าบาทจึงพาพวกเขาไปเยี่ยมนางพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาตรัสอย่างเฉยเมย “ตระกูลเสิ่นตัดสัมพันธ์กับนางไปนานแล้ว นางจะมีญาติมาจากที่ใด?”
นอกจากนี้ ญาติคนใดจะสามารถรบกวนให้องค์ประมุขพาไปส่งด้วยพระองค์เองได้อีก?
ชั่วพริบตา ฮองเฮาก็ตระหนักถึงบางอย่างขึ้นได้ มือเปล่าพลันบีบแน่น “ญาติคนใด? อายุเท่าไร? หน้าตาเป็นอย่างไร?”
ขันทีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เป็นเด็กสามคน รูปร่างอายุราวๆ สองสามขวบพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาหลับตา คุณชายน้อยจวนเห้อเหลียน ปรมาจารย์พิษอาวุโสน้อยแห่งวิหารพิษ พระราชปนัดดาแห่งหนานจ้าว! ที่แท้ก็เป็นพวกเขาจริงๆ!
ณ ตำหนักจูเชวี่ย อาหารมากมายถูกนำขึ้นมา องค์ประมุขและอวิ๋นเฟยพาเด็กชายทั้งสามไปนั่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเฟยทานอาหารร่วมกับคนในครอบครัวนับตั้งแต่เข้าวังมา และเป็นครั้งแรกที่องค์ประมุขทานอาหารร่วมกับนาง
สิ่งที่ทำให้คิ้วขององค์ประมุขต้องผูกติดกัน คืออาหารบนโต๊ะทั้งหมดเป็นมังสวิรัติ แต่ชัดเจนว่าเด็กๆ พวกนี้ไม่ชอบอาหารมังสวิรัติ
พวกเขากินง่ายไม่เป็นเท็จ คีบสิ่งใดใส่ชามพวกเขาล้วนกินหมด แต่กินอย่างมีความสุขกับขมวดคิ้วกินนั้นยังแตกต่างกัน
องค์ประมุขวางตะเกียบ เรียกพ่อครัวของห้องครัวเล็กมาสอบถาม “มังสวิรัติทั้งหมดเช่นนี้หรือ?”
พ่อครัวทิ้งตัวคุกเข่าก้มหัวกล่าว “ทูล ทูล ทูล…ฝ่าบาท พระวรกายของพระสนมไม่แข็งแรง ย่อยเนื้อสัตว์ไม่ได้ เป็นเหตุผลที่บรรดาข้ารับใช้ปรุงอาหารมังสวิรัติให้พระสนมฟื้นฟูพระวรกายพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ประมุขเหลือบมองอวิ๋นเฟยที่กำลังกินผักอย่างเงียบๆ และไข่ดำน้อยที่ดูจืดชืดเหมือนกินเทียนไข และพูดกับพ่อครัว “ไปทำอาหารที่มีเนื้อสัตว์มาสองสามจาน”
“พ่ะย่ะค่ะ!” พ่อครัวรีบร้อนลนลานเดินออกไป เขาไม่คิดว่าองค์ประมุขจะมาทานอาหารที่นี่ ไม่เช่นนั้นแม้มีความกล้าสักหนึ่งร้อย ก็ยังไม่กล้าทำอาหารมังสวิรัติมาทั้งโต๊ะเช่นนี้!
องค์ประมุขกล่าวกับอวิ๋นเฟย “เจ้าอยากกินอะไรก็บอกพวกเขา ถึงร่างกายจะสำคัญ แต่ก็ไม่ต้องทำให้ตนเองลำบากนัก”
อวิ๋นเฟยลอบกลอกตา พูดเช่นนี้ หากมีความสามารถก็ไปบอกฮองเฮาผู้สูงส่งของท่านสิ ให้นางเลิกตามหมอหลวงมาจับชีพจรข้า เลิกตัดเงินค่าอาหารของข้า!
ฝ่าบาทรับสั่งด้วยตนเอง พ่อครัวไม่กล้าละเลย ไม่ช้าอาหารเลิศรสอย่างหมูผัดน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น ปลากะพงขาวนึ่ง ไข่ตุ๋นเหยาจู้(หอยเชลล์) และเต้าหู้ปูก็ถูกนำขึ้นโต๊ะอาหาร
“ซู้ด~” ดวงตาของอวิ๋นเฟยเปล่งประกายสีเขียว
นางคิดว่าตนเองเก็บอาการได้เป็นอย่างดี แต่หารู้ไม่ว่านางตกอยู่ในสายตาขององค์ประมุขนานแล้ว
องค์ประมุขคีบหมูผัดน้ำแดงให้เด็กๆ ทีละคน เมื่อถึงชิ้นที่สี่ซึ่งเป็นชิ้นที่อ้วนที่สุด อวิ๋นเฟยก็น้ำลายหยด
มือขององค์ประมุขสั่นเทาแต่ยังยากจะมองเห็น เขาพยายามตั้งสติ คีบหมูผัดน้ำแดงลงในชามของอวิ๋นเฟย
…………………………………………
Related