รอยยิ้มน้อยๆ ของหมอหญิงโจวก็ได้ปรากฏออกมาที่มุมปาก และได้เอนกายไปกระซิบที่ข้างหูของมู่อวิ๋นซี “ความจริงแล้ว ไม่ต้องให้เจ้าต้องลงมือ”
“อืม?”
มู่อวิ๋นซีประหลาดใจ แต่หมอหญิงโจวไม่ได้อธิบายอะไรอีก ส่วนมู่อวิ๋นซีได้พยักหน้าเบาๆ จากที่ได้ขึ้นบนรถม้าแล้วก็ได้โผล่หน้าออกมาพูดว่า “พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่”
เมื่อมองดูหมอหญิงโจวไกลออกไปแล้ว มู่อวิ๋นซีถึงได้หันหลังกลับไปที่จวน เพิ่งจะเดินผ่านเงากำแพง* เจี่ยอี้ที่กำลังเดินเตร่อยู่นั้นได้เดินเข้ามา(*เงากำแพง เป็นกำแพงหินผนังกั้นของบ้านในสมัยโบราณ ปัจจุบันก็ยังมีอยู่บ้าง)
“อวิ๋นซี เรื่องเมื่อครู่ เจ้าอย่าเข้าใจผิดนะ เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด ก่อนหน้านั้น หมอหญิงโจวมีอคติต่อข้า ข้าคิดว่านางได้ยกโทษให้ข้าแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้ข้าบอกว่าต้องการมอบแป้งท้อธวัลพรรณให้นาง และทำให้นางก็ได้เข้าใจข้าผิดอีกแล้ว”
เฮอ มู่อวิ๋นซียิ้มอย่างเย็นชา เมื่อเจี่ยอี้กับหมอหญิงโจวออกไป ในใจของนางก็รู้สึกถึงความผิดปกติ กลัวนิสัยที่ยังเปลี่ยนไม่ได้ของเจี่ยอี้จึงได้ตามออกมา สุดท้ายหมามันก็เลิกกินขี้ไม่ได้จริงๆ
นางพูดอย่างใจเย็น “ข้าจะเข้าใจผิดหรือไม่มันสำคัญอะไร? เพียงแค่พี่สาวของข้าไม่เข้าใจผิดก็พอแล้ว”
เจี่ยอี้ตกตะลึง กับสีหน้าที่เหยเก “เจ้าก็รู้ ในใจข้าตอนนี้ที่เป็นห่วงที่สุดคือเจ้า ถึงได้กลัวว่าเจ้าจะเข้าใจผิดไป อวิ๋นซี เจ้าพูดอะไรข้าฟังเจ้าทุกอย่าง เจ้าบอกให้ข้าดีกับพี่สาวเจ้า ข้าก็ได้ให้กำไลข้อมือให้กับนางแล้ว เจ้าคงเห็นแล้วใช่ไหม?”
มู่อวิ๋นซีค่อยๆ พยักหน้า และลังเลที่จะจ้องมองเขา “จริงหรือที่ว่าข้าพูดอะไรท่านก็จะฟังหมด?”
“แน่นอน!” ท่าทางของเจี่ยอี้ดูแน่วแน่มาก แต่ก็ได้พูดเสริมขึ้นมาอย่างเร็วว่า “แต่เจ้าไม่อาจจะห้ามให้ข้าไม่ให้ชอบเจ้านะ เพราะจุดนี้ ข้าทำมันไม่ได้จริงๆ”
“แล้วมู่จื่อหลันล่ะ? หย่ากับนาง ท่านสามารถทำได้หรือไม่?” มู่อวิ๋นซีมองเจี่ยอี้อย่างตั้งใจ
เจี่ยอี้ตัวแข็งทื่อ “จื่อหลันนาง……นาง……”
“มู่อวิ๋นซีนังตัวไม่ดี คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจิตใจเจ้ามีแต่ความคิดชั่วๆ ทั้งนั้น!”
ทันใดนั้นข้างหลังของมู่อวิ๋นซีได้มีเสียงที่แหลมชัดของหญิงสาวดังขึ้น นางไม่ต้องหันหน้ากลับไปมองก็รู้ว่านั้นคือมู่จื่อโหรวพูดอยู่
นางหันไปมองมู่จื่อโหรวที่มีท่าทีที่ดุร้าย มุมปากโค้งขึ้น คำพูดดังลูกศร “ฮูหยินเล็กมู่! สนม ก็ต้องการกลับเช่นนั้นหรือ?”
สนม?
เดิมทีมู่จื่อโหรวก็โกรธมากอยู่แล้ว ก็ทำให้ยิ่งโกรธขึ้นมากไปอีก
ก็เพราะว่านางคือนางสนม ตอนนี้หลิ่วเย่ตายแล้ว นางก็ไม่สามารถที่ไปจัดเรื่องงานศพได้ พูดให้ถูกคือนางก็ไม่มีอะไรที่จะต้องให้จัดงานศพ เพราะว่าหลิ่วเย่ก็เป็นสนม ดังนั้นมู่เซิ่งจึงไม่ได้จัดเตรียมงานศพให้นางเลย เพียงแค่ฝังหลิ่วเย่ไปกับโลงผุๆ อย่างเร่งรีบเท่านั้น
แม้แต่พบหน้ากันครั้งสุดท้ายนางก็ไม่มี บนโลกใบนี้ ก็ไม่มีใครปฏิบัติต่อนางเหมือนกับหลิ่วเย่แล้ว
“มู่อวิ๋นซี เจ้านี่มันใจดำอำมหิตจริงๆ!” นางจ้องมองมู่อวิ๋นซีอย่างโหดเหี้ยม แทบจะสามารถกินเลือดกินเนื้อนางได้ “ท่านแม่ของข้าได้ถูกโทษประหารแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่อาจจะปล่อยนางไป? วันเดียว ทำไมแม้แต่วันเดียวเจ้าก็ไม่ปล่อยให้นางได้มีชีวิตต่อ? แกนังสารเลว ข้าต้องการจะฝังเจ้าไปพร้อมกับท่านแม่ข้า!”
ทันใดนั้นนางก็ได้เหวี่ยงกริชที่นางซ้อนไว้ข้างหลัง แทงตรงไปทางมู่อวิ๋นซี
รูม่านตาของมู่อวิ๋นซีเปิดกว้างขึ้นทันที และเอื้อมมือออกไปขวางไว้โดยสัญชาตญาณ
แต่จู่ๆ มู่จื่อโหรวเดินโซเซ และจับกริชผ่านไหล่ของมู่อวิ๋นซีไป จึงได้ล้มลงกับพื้นอย่างแรง
ท่านชายเย่!
มู่อวิ๋นซีดีใจมาก จึงหันไปมองรอบๆ แต่กลับมองไม่แม้แต่เงาของเฟิ่งเชียนเย่ รวมทั้งไม่กล้าที่จะคิดฟุ้งซ่านอีก จากนั้นจึงได้รีบเดินไปข้างหน้าแล้วคุกเขากดไปบนหลังของมู่จื่อโหรวไว้แน่น “มู่จื่อโหรว นี่เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้า? หลิ่วเย่ฆ่าตัวตาย เกี่ยวอะไรกับข้า?”
“แต่ก่อนที่จะฆ่าตัวตายนั้นได้พบกับเจ้า” มู่จื่อโหรวดิ้นอย่างแรง
“ทำไมข้าถึงไปพบนาง? ว่างจนไม่มีอะไรทำแล้ว? นี่เป็นเพราะชุนถาวบอกว่าหลิ่วเย่ต้องการพบข้า ข้าถึงได้ไปที่คุกนั่น ก่อนที่ข้างจะไปถึงนางก็ได้ตายไปแล้ว และยังเป็นข้าที่แจ้งผู้คุม เจ้าคิดว่าผู้คุม อู่จั้ว ใต้เท้าโจวจะโง่เง่าเช่นเดียวกับเจ้างั้นหรือ? ที่จะปล่อยให้ข้าที่เป็นฆาตกรจากไป?”
“หมายความว่าเยี่ยงไร?” มู่จื่อโหรวอึ้ง และไม่ได้เข้าใจความหมายของมู่อวิ๋นซีทันที
“เจ้าเองก็พูดแล้ว หลิ่วเย่ถูกโทษประหาร นั่นคือศพที่ตายอย่างไม่สมบูรณ์แบบ นั่นคือต้องไปถูกตัดหัวต่อหน้าราษฎรทั้งเมืองหลวง ช่างสะใจมากจริงๆ และทำไมข้ายังต้องเสี่ยงที่จะต้องไปฆ่านาง ทำให้มือตัวเองมือสกปรกอีก?”
มู่อวิ๋นซีเห็นว่ามู่จื่อโหรวไม่ได้สู้แล้ว ถึงได้ลุกขึ้น แล้วมองลงไปที่มู่จื่อโหรวที่กำลังลุกขึ้น “องค์หญิงเป็นโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างไร?”
การเคลื่อนไหวของมู่จื่อโหรวแข็งทื่อ จากนั้นลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วหันไปยิ้มให้มู่อวิ๋นซีอย่างเย็นชา “ก็ไม่ใช่เพราะโกรธเจ้าหรอกหรือ ยังมีหน้ามาถาม?”
“นังโง่!” มู่อวิ๋นซีด่าไปหนึ่งคำ “ชุนถาวไม่ได้บอกเจ้า ทำไมหลิ่วเย่เรียกให้ข้าไปที่คุกหรือ?”
“นางบอกต้องการจะบอกความจริงที่องค์หญิงใหญ่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง แต่นางยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ตายไปเสียก่อน แน่นอนว่าจะต้องมีคนไม่อยากให้ข้าได้รู้ความจริง มีเพียงแค่รู้ความจริงคืออะไร ข้าถึงจะสามารถคาดเดาได้ว่าใครเป็นคนจัดการฆ่าอย่างเหี้ยมโหดนี้? หรือว่าเจ้าไม่อยากแก้แค้นให้หลิ่วเย่หรือ? พูด! องค์หญิงทำไมถึงเป็นโรคหลอดเลือดสมองได้?”
มู่จื่อโหรวถอยหลังไปหนึ่งก้าว คำพูดอยู่ที่ปลายปากแล้วก็ได้กลืนลงไป “ทำไมข้าต้องบอกเจ้า? ต้องการอยากรู้ความจริง? ได้เช่นนั้นเจ้าก็หามาว่าใครเป็นคนฆ่าท่านแม่ของข้า? เพียงแค่เจ้านำคนร้ายมาให้ข้า ข้าก็จะบอกความจริงกับเจ้า”
หลังจากพูดจบ นางได้หันหลังก็วิ่งไป จากนั้นได้ไปชนเข้ากับมู่จื่อหลันที่กลับมาจากการไปเป็นเพื่อนฮูหยินเล็กเติ้งที่หน้าประตู
“จื่อโหรว เจ้าเป็นอะไร?” มู่จื่อหลันเหลือบมองไปที่มู่อวิ๋นซีที่อยู่ไกลๆ และมองมาที่มู่จื่อโหรว “พวกเจ้าได้ทะเลาะกันอีกแล้ว?”
“เจ้าเสแสร้งให้มันน้อยหน่อย!” มู่จื่อโหรวผลักไปที่มู่จื่อโหรวหนึ่งที “อย่าแสดงรูปลักษณ์นักบุญต่อหน้าข้าให้มากนัก คนอื่นไม่รู้จักเจ้า และข้าไม่รู้จักเจ้าว่าเจ้าเป็นคนประเภทไหน? ตั้งแต่เล็ก เจ้ากับท่านแม่ของเจ้าก็เหมือนกัน……”
นางได้กวาดสายตาไปที่ฮูหยินเล็กเติ้งที่อยู่ข้างๆ มู่จื่อหลัน “เปลือกนอกนั้นแสร้งทำเป็นคนดี แต่ส่วนตัวลึกๆ แล้วจิตใจสกปรก”
พวกนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่นางที่ดูออกเอง แต่เป็นหลิ่วเย่ที่บอกนาง
มู่จื่อหลันสีหน้าค่อยๆ ดูไม่ดี จากนั้นเหลือบมองไปร่างที่หายไปของมู่อวิ๋นซี และหันมามองมู่จื่อโหรว พูดอย่างสงสัย “มู่อวิ๋นซีได้พูดอะไรกับเจ้าหรือ? คำพูดของนางเจ้าเชื่อได้อย่างไร? สิ่งที่นางชำนาญที่สุดก็คือยุให้นำ ตำให้รั่ว เจ้าห้ามไปหลงกลนางเด็ดขาด”
“เฮอ!” มู่จื่อโหรวมองไปที่มู่จื่อหลันอย่างเจ้าเล่ห์ “เจ้ายังสบายใจมาสอนข้า? เจ้าควรไปเป็นห่วงตัวเจ้าเองเถิด เร็วๆ นี้เจี่ยอี้ก็จะเขี่ยเจ้าออกไปอยู่แล้ว!”
“คุณหนูสาม!” ฮูหยินเล็กเติ้งที่เงียบอยู่ตลอดได้ถอนหายใจออกมา “ตอนนี้น้องหลิ่วก็ไม่อยู่แล้ว ต่อไปหากเจ้ามีปัญหาอะไร เพียงแค่มาหาข้า ข้าจะช่วยเจ้าอย่างแน่นอน”
มู่จื่อโหรวเฮอออกมาอย่างเย็นชา และได้ขึ้นรถม้าไปโดยที่ไม่แสดงความคิดเห็นอะไร
เมื่อรถม้าวิ่งห่างออกไป ฮูหยินเล็กเติ้งถึงได้มองมู่จื่อหลันที่อยู่ข้างๆ “เรื่องเหาดำ นางก็รู้?”
มู่จื่อหลันพยักหน้า “แต่ว่าวันนั้นหลิ่วเย่ไม่ได้มีโอกาสที่จะลงมือ ครั้งนี้ตอนที่ลงมือนางก็ไม่บอกให้ข้ารู้ นางน่าจะคาดไม่ถึง?”
“น่าจะ?”
ฮูหยินเล็กเติ้งมองมู่จื่อหลันอย่างมีความหมาย “ไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน ก็กลัวเรื่องที่ไม่คาดคิด หาคนไปจับตาดูนาง หากว่ามีอะไรผิดพลาด ก็ไปจัดการซะ แต่ยาสร้างเนื้อของมู่อวิ๋นซีนั้น มันวิเศษอย่างที่เจ้าพูดจริงหรือ?”
“อาจจะมีมากกว่าที่ข้าบอก”
“ดีมาก” รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นที่มุมปากของฮูหยินเล็กเติ้ง แต่สายตาของนางกลับดูเย็นชาเลย “ข้าก็ควรที่จะไปเข้าพบคุณหนูรองท่านนี้สักหน่อยแล้ว”