ในเช้าตรู่วันหนึ่ง นักศึกษาในวิทยาลัยลั่วเสินเดินกันขวักไขว่ ที่นี่อยู่กันแบบหอพัก มีแต่นักศึกษาชาวลั่วเฉิงอย่างหลี่ว์ซู่ที่ต้องกลับบ้านทุกวันหรือบางทีนักศึกษาพื้นที่หลายคนก็เลือกย้ายเข้ามาอยู่ในวิทยาลัย
เมืองได้เปิดเส้นทางรถยนต์สาธารณะระหว่างในเมืองลั่วเฉิงกลับวิทยาลัย แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ต้องใช้เวลาสี่สิบห้านาทีในการเดินทางดังนั้นนักเรียนนักศึกษาในพื้นที่หลายคนจึงเลือกอยู่หอซึ่งเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้
การอยู่การกินในวิทยาลัยดีมาก มีโรงอาหารทั้งหมดสี่แห่ง ในแต่ละโรงอาหารก็จะมีอาหารที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ แล้วเริ่มเปิดร้านตั้งแต่หกโมงเช้า ตอนนั้นนักเรียนในวิทยาลัยก็เริ่มทยอยเข้ามาในโรงอาหารกันแล้ว
น้ำซุปหูล่าของโรงอาหารหมายเลขหนึ่งอร่อยที่สุด โรงอาหารหมายเลขสองมีปาท่องโก๋ที่อร่อยที่สุด โรงอาหารหมายเลขสามมีข้าวกลางวันที่ให้เลือกมากที่สุด โรงอาหารหมายเลขสี่มีน่องไก่ให้กินตอนเย็น
อาหารเหล่านี้ได้จากข้อสรุปของทุกคน นักศึกษาบางคนถึงกับไปซื้อปาท่องโก๋ที่โรงอาหารหมายเลขสองจากนั้นเดินทางไปอีกเกือบหนึ่งกิโลกรัมเพื่อไปกินน้ำซุปหมูล่าหรือน้ำเต้าหู้ที่โรงอาหารหมายเลขหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ห้องเต้าหยวนมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด แต่พอมาถึงวิทยาลัยการบำเพ็ญก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทุกคนได้เติบโตจากไข่ในหินจนกลายเป็นนักรบที่แท้จริงแม้แต่เครือข่ายฟ้าดินก็ไม่ได้เข้มงวดกับพวกเขาขนาดนั้นแล้ว
มีคนหนึ่งเดินข้ามซาลาเปากำลังเดินไปห้องเรียนแล้วอยู่ๆ ก็ตกใจขึ้นมา “ใต้เท้าหลี่ว์มาแล้ว! “
“หุบปาก อยากตายเหรอ! “
“อ้าวๆ อาจารย์หลี่ว์มาแล้ว! คาบเรียนวันนี้บ่ายห้าโมงนะ ทำไมเขามาซะเช้าเลย”
วิทยาลัยการบำเพ็ญจะสอนวิชาวัฒนธรรมช่วงเช้า ช่วงบ่ายเป็นวิชาของแต่ละสาขา วิชาที่หลี่ว์ซู่สอนเป็นวิชาเลือกเรียน แต่สาขาการต่อสู้ต้องเรียน ส่วนสาขาอื่นอยากเรียนก็เรียนไม่เรียนก็ไม่เป็นไร
แต่ก็มีเรื่องไม่คาดฝัน…ที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือนักศึกษาทั้งวิทยาลัยกลับลงทะเบียนเรียนวิชานี้!
ทุกคนปากก็บอกว่าอย่าไปเลือกเรียนวิชานี้ เลือกเรียนเข้าอาจมีอันตรายถึงร่างกายก็ได้แต่ลับหลังแทบจะทุกคนกลับลงทะเบียนเรียนวิชานี้
ไม่ใช่ว่าทุกคนชอบความรุนแรงแต่หลี่ว์ซู่เหมือนเป็นสิ่งมหัศจรรย์หน่อยๆ สำหรับนักศึกษาทั้งหลาย ประวัติถึงแม้จะดำมืดก็ช่างแต่เบื้องหลังประวัตินั้นก็หมายถึงผ่านศึกมานับร้อย
คนที่หลี่ว์ซู่สังหารที่จริงมากกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้เยอะ ทุกคนต่างไม่เข้าใจว่าในวัยเดียวกันทำไมถึงได้มีคนที่แข็งแกร่งได้ขนาดนี้
แน่นอนว่าพวกเขายังไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่เคยบุกเดี่ยวไปที่กลุ่มทวยเทพและไม่รู้ว่าเขากล้าบุกเดี่ยวเข้าไปยังดินแดนของเผ่าชาวบาดาลแล้วได้ไปสังหารเสี่ยวไป๋อวี๋
ที่จริงจนทุกวันนี้ลีก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเสี่ยวไป๋อวี๋ถึงได้อ่อนแอขนาดนั้นแล้วถูกฮุ่นตุ้นจับกินได้ง่ายๆ
แต่ถึงว่าจะไม่มีผลงานศึกเหล่านี้วันนี้ชื่อเสียงของหลี่ว์ซู่ในวิทยาลัยทั้งเจ็ดก็บ้าดีเดือดเหลือเกิน ไม่มีใครมองเขาเป็นนักศึกษาธรรมดาแล้ว
ดังนั้นนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชานี้จึงมีไม่ขาดสายจนเย็นวันก่อนระบบลงทะเบียนเรียนเกือบล้ม
แต่ก็มีนักศึกษาบางคนที่ฉลาด ไม่ลงทะเบียนแต่ไปลงออดิท
เฮียไงเสียก็มีคนมากอยู่แล้วใครจะรู้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชานี้
พอถึงบ่ายห้าโมงเย็น เดิมเป็นเวลาที่แยกย้ายไปเรียนวิชาเลือก นิทานเรื่องมีให้เรียนมากมายหลายวิชาเช่น “ศิลปะการสงคราม” “ประวัติศาสตร์สงครามมนุษยชาติ” “วัฒนธรรมตะวันตก” “ดนตรีวิจารณ์” เป็นต้น แต่แล้วห้องเรียนของแต่ละวิชากลับไม่มีใครเลยสักคน
ตอนที่อาจารย์ประจำวิชาเรียนเหล่านั้นเดินเข้าห้องเรียนก็เกือบคิดว่าเดินเข้าห้องผิด เพราะแทบไม่มีนักศึกษาเลย
ศาสตราจารย์คนหนึ่งยืนงงอยู่ตั้งนาน “นักศึกษาล่ะ ไปไหนกันหมด”
“พวกเขาไปดูใต้เท้าหลี่ว์สอนคาบแรก”
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับทุกวิชาเลือกเลย ใต้เท้าหลี่ว์สอนขับแรกก็เจอกับนักศึกษาจำนวนล้นหลาม นักศึกษาของวิทยาลัยลั่วเสินเกือบทั้งหมดมารวมตัวกันที่สนามฝึกซ้อม เบียดจนไม่รู้จะเบียดอย่างไรแล้ว
ส่วนอาจารย์ประจำวิชาเลือกทแต่ละคนก็ประเคนแต้มอารมณ์ให้หลี่ว์ซู่อย่างไม่หยุดหย่อน
อาจารย์ท่านหนึ่งถอนหายใจไปและหัวเราะไป “งั้นพวกเราไปดูกันไหม”
อาจารย์ท่านนี้รูปร่างสูงใหญ่ใส่แว่นตา มีภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของปัญญาชน นักศึกษาจะพบเจออาจารย์แบบนี้ในวิทยาลัยอยู่เสมอๆ บางครั้งทุกคนก็อยากรู้ว่าเครือข่ายฟ้าดินไปเชิญอาจารย์เหล่านี้มาจากไหน
ที่จริงระหว่างที่เตรียมการวิทยาลัยอยู่นั้น เนี่ยถึงอาสาไปเรียนเชิญอาจารย์มากมายให้รับสอน บางครั้งเชิญถึงสามสี่ครั้งถึงจะเชิญอาจารย์บางท่านออกมาได้
ส่วนอาจารย์พวกที่หวังชื่อเสียงต่างถูกปฏิเสธไป
อาจารย์ท่านนี้แค่รู้สึกจนปัญญาแต่ไม่ได้โกรธอะไร เขาเดินอยู่ข้างหน้าและมีนักศึกษาสองสามคนเดินตามเพื่อไปชื่นชมบารมีของใต้เท้าหลี่ว์ซะหน่อย
พอถึงสนามฝึกซ้อมทุกคนต่างอึ้งกันไปเป็นแถว ตอนนี้พวกเขาเห็นนักศึกษานับหมื่นคนนั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ที่ลานกว้างข้างนอกสนามฝึกซ้อม…เพราะข้างในสนามฝึกซ้อมรับไม่ไหวแล้ว
ทั้งลานกว้างนั้นมีเพียงหลี่ว์ซู่ที่เดินไปมา เขาเดินผ่านนักศึกษาแต่ละคนไปเรื่อยๆ ในมือถือกระดาษเอสี่และพูดว่า “มา สแกนคิวอาร์โค้ดกันหน่อยจะได้เป็นเพื่อนกัน! “
[ได้แต้มจากหูเสี่ยวเหนียน +199…]
อาจารย์หูเสี่ยวเหนียนมองหลี่ว์ซู่อย่างตกตะลึง นี่กำลังสอนอยู่หรอ
และในขณะที่หลี่ว์ซู่กำลังเดินไปเรื่อยๆ ก็ไปเห็นคอรัลนั่งอยู่ข้างๆ เขาอึ้งไปครู่หนึ่งจากนั้นก็หายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “มา สแกนคิวอาร์โค้ดหน่อยจะได้เป็นเพื่อนกัน! “
“อืม” คอรัลยิ้มพยักหน้าและสแกนคิวอาร์โค้ดจากนั้นหลี่ว์ซู่ก็เดินผ่านเธอไป
นักเรียนจีนมุงกลุ่มหนึ่งอยากเห็นปฏิกิริยาของหลี่ว์ซู่เวลาที่เขาเดินไปเจอกับ “หลี่ว์ลั่ว” แต่ทุกคนก็ต้องผิดหวังทั้งสองคนเหมือนกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
อดดูละครสนุกๆ เลย!
วันนี้มีหลายคนที่โรงเรียนวิชานี้ก็เพื่ออยากจะดูละครฉากนี้!
และตอนนี้เฉินจู่อานกลับนิ่งอึ้งไป “คอรัลถอดห่วงที่เปิดกระป๋องออกแล้ว สองคนนี้เลิกกันแล้วจริงๆ “
“ไม่ใช่” เฉิงชิวเฉี่ยวทำหน้านิ่ง”เมื่อวานฉันเห็นเธอ ตอนนั้นฉันสังเกตดูดีๆ แล้วเธอใส่ห่วงนั้นอยู่แต่วันนี้ไม่ได้ใส่ เอ๊ะ นายเห็นที่คอเธอไหมมีด้ายแดงด้วย! “
เฉินจู่อานมองออกไป เขานึกดูดีๆ แล้วก็เหมือนว่าก่อนหน้านี้ที่คอของคอรัลไม่มีด้ายแดงจริงๆ ด้วย เธอผิวขาวขนาดนั้นด้ายแดงมันต้องสะดุดตาอยู่แล้ว
“ฉันรู้สึกว่าเธออาจจะเอาห่วงที่เปิดกระป๋องคล้องคอไว้” เฉิงชิวเฉี่ยวพูดเสียงหนักแน่น
ทั้งสองคนเหมือนเป็นสายเผือกมืออาชีพ กำลังคุยกันเรื่องที่ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเองเลยแม้แต่น้อย
แต่ว่าวัยรุ่นหนุ่มสาวใครๆ ก็เป็นเหมือนกัน นั่งอยู่ในกลุ่มห้องเรียนตัวเองส่งกระดาษโน๊ตไปมา เม้าท์เรื่องนั้นเรื่องนี้หรือเขียนเพลง พอโตขึ้นมาก็รู้สึกว่าไร้สาระแต่ตอนนั้นกลับเป็นเรื่องสนุก
ความหมายของเวลาหนุ่มสาวก็เป็นเช่นนี้ อนาคตของแต่ละคนในวิทยาลัยแห่งนี้จะกลายเป็นพลังอันหนักแน่นที่ปกป้องผืนแผ่นดินแห่งนี้ ยามนั้นพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับเลือดและคมดาบเช่นเดียวกับชีวิตที่ต้องเลือกและเสียสละ แต่เวลานี้คือเวลาพวกเขาได้อาบแดดอันสดชื่น วัยรุ่นไม่มีวันสิ้นสุด