หลังจากถ่ายโพสท่าเสร็จเรียบร้อยหล่อนก็ค่อยไปเข้าห้องน้ำ
ยี่สิบนาทีต่อมา ซูซานห่อผ้าขนหนูพร้อมกับเดินออกจากห้องน้ำ
เมื่อเห็นหยางเฉินที่นอนอยู่บนเตียง สายตาของหล่อนดิ้นรนอยู่เล็กน้อย
อีกด้านคือเพื่อนรักของหล่อน ส่วนอีกด้านก็คือผู้ชายที่แอบหลงรักมานานแสนนาน ไม่ว่าใครหล่อนก็ไม่สามารถทำใจละทิ้งได้จริงๆ
โดยเฉพาะฉินซีที่เป็นเพื่อนสนิทของหล่อนมาตั้งแต่เด็กๆ แม้แต่ตอนที่หล่อนต้องไปเรียนที่ต่างประเทศเป็นเวลากว่าสองปีแต่ก็ไม่เคยหยุดที่จะติดต่อกันเลย
ความสัมพันธ์ในตอนนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่ในใจของหล่อนกำลังดิ้นรนไปมาอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
หล่อนตกใจเป็นอย่างมากเพราะมันคือเสียงโทรศัพท์ของหยางเฉิน
หล่อนเดินไปพร้อมกับโทรศัพท์ของหยางเฉินออกมา เมื่อเห็นว่าสายที่โทรมาคือฉินซี ใบหน้าของหล่อนก็ดูสับสนดิ้นรนรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
“ฉันควรทำอะไรกันแน่เนี่ย?”
เดิมทีซูซานก็ทำอะไรพร้อมแล้ว เพียงแต่เมื่อมาถึงจุดนี้จริงๆหล่อนกลับลังเล
“โทรศัพท์!”
ในเวลานี้เอง เสียงของหยางเฉินก็ดังขึ้นมา
นี่จึงทำให้สติของซูซานนั้นกลับมาหลังจากเหม่อลอย เมื่อหล่อนเห็นว่าหยางเฉินนั้นลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมาหล่อนจึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ใบหน้าของหล่อนดูตื่นตระหนกพร้อมกับรีบอธิบายออกไป “หยางเฉิน อย่าเข้าใจผิด ฟังฉันพูดก่อน…”
ขณะที่หล่อนกำลังจะอธิบายอยู่นั้นหยางเฉินก็ล้มลงไปที่เตียงอีกรอบและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์นั้นก็หายไปด้วย
ตอนนี้ซูซานรู้สึกโล่งใจ ใบหน้าที่ละเอียดลออของหล่อนแดงก่ำ
หล่อนเหลือบมองชายที่นอนอยู่บนเตียงพร้อมกับกัดริมฝีปากแดงๆ ในที่สุดก็ตัดสินใจได้เสียที
หยางเฉินตื่นจากการหลับใหลจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
หลังจากเขาตื่นมาก็ร้องเรียกออกมาโดยไม่รู้ตัว “ภรรยา!”
เพียงแต่ไม่มีใครตอบรับ
เขาขยี้ตาที่ง่วงนอนของตนพร้อมกับตื่นขึ้นในทันใดเมื่อเห็นว่าตัวเองอยู่ที่โรงแรม
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?”
เขาถูเท้าสักครู่พร้อมกับยืนขึ้น
แต่ทันทีที่ลุกขึ้นก็รู้สึกสับสนเมื่อเห็นตนเองนั้นสวมกางเกงเพียงตัวเดียว
เขารู้สึกว่ามันดูน่าสยองขวัญเสียเหลือเกิน
“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หยางเฉินทรุดตัวลงบนเตียงด้วยใบหน้าที่เหม่อลอย
เขารู้สึกหัวหนักอึ้งและไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก
ในไม่ช้า ฉากทุกอย่างก็ปรากฏชัดเจนขึ้นในหัวของเขา
เขาจำได้ว่าตอนที่ตนออกจากบาร์นั้นมีซูซานตามมาด้วยและหล่อนได้ขอให้เขาไปส่งกลับโรงแรม
เมื่อทั้งสองขึ้นรถแท็กซี่ หยางเฉินก็หลับไปแล้ว
ส่วนเรื่องราวต่อจากนั้นเขานึกภาพจำอะไรไม่ออกอีกเลย
ความคิดที่น่ากลัวปรากฏขึ้นในใจของเขา
เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนตนใส่เสื้อผ้าแต่ตอนนี้กลับมีเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว นั่นหมายความว่าซูซานจะต้องเป็นคนถอดเสื้อผ้าเขาแน่ๆ
เขาไม่โง่ เขาเองก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างที่ซูซานมีต่อเขา
เมื่อคืนเขาเองก็ดื่มหนัก ส่วนซูซานเองก็ดื่มเหล้ามา เกิดอะไรขึ้นตอนทั้งสองคนมาถึงโรงแรมกันนะ?
จู่ๆเขาก็รู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก
“ซูซาน!”
เขาตะโกนออกไปเพียงแต่ไม่มีเสียงใครตอบกลับมา
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมกับเตรียมที่จะโทรหาซูซานเพื่อถามให้แน่ชัด ทันใดนั้นก็พบว่ามีสายเรียกเข้าที่ไม่ได้รับหลายสิบสายอีกทั้งยังมีข้อความเข้าอีกเป็นจำนวนมาก
สายโทรศัพท์และข้อความเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของฉินซี
เมื่อเห็นข้อความและสายโทรเข้าที่มากมายของฉินซี หยางเฉินก็ได้แต่ตำหนิตนเองในใจ
ในที่สุดเขาก็รู้ถึงผลกระทบหลังจากการดื่มแล้วล่ะ
ตอนนี้สิ่งที่เขากลัวก็คือระหว่างเขากับซูซานได้เกิดเรื่องอะไรที่ไม่สามารถอธิบายได้หรือเปล่า?
“หยางเฉิน นายตื่นแล้ว!”
ในขณะที่หยางเฉินกำลังคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ประตูห้องก็ได้ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของบุคคลที่คุ้นเคยก็เดินเข้ามา ซูซานนั่นเอง
ในเวลานี้ มือของหล่อนถืออาหารอยู่ในมือพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นอาหารเช้าที่ฉันออกไปซื้อให้ นายรีบไปล้างหน้าแปรงฟันเถอะ”
ตั้งแต่ที่ซูซานเดินเข้ามา หยางเฉินไม่ได้พูดอะไรออกสักคำ สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ซูซานเพื่อที่จะดูว่าใบหน้าของผู้หญิงคนนี้นั้นแสดงถึงสิ่งใดหรือเปล่า
เพียงแต่ผู้หญิงคนนี้ดูสงบเป็นอย่างมาก ดูอะไรไม่ออกเลยทีเดียว
“ทำไมนายมองฉันแบบนั้น?”
ซูซานที่ถูกหยางเฉินจ้องมองก็หน้าแดงเล็กน้อยพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อพูดจบหล่อนก็นึกขึ้นมาได้ ใบหน้าอันละเอียดลออแดงก่ำพร้อมกับรีบพูดออกไปว่า “เมื่อคืนนายอ้วกออกมา ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ฉันก็เลยถอดเสื้อของนายไปซักออกไปโดยพลการ”
ขณะที่พูด หล่อนก็ได้วิ่งเหยาะไปที่ระเบียงพร้อมกับหยิบเสื้อผ้าของหยางเฉินลงมาไว้ที่เตียง จากนั้นหันหลังและพูดว่า “นายเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ไม่ต้องกังวล ฉันไม่ดูนายหรอก!”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของซูซาน หยางเฉินก็ถอนหายใจออกมา ดูเหมือนว่าระหว่างคนสองคนจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ซูซานก็แค่ช่วยเขาถอดเสื้อผ้า ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่านี่เป็นการปลอบใจตัวเองหรือว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ยังไงซะในตอนนี้เขาก็แค่อยากคิดว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเมื่อคืน
“เสร็จละ!”
หลังจากหยางเฉินใส่เสื้อผ้าเสร็จก็มองไปที่ซูซานและพูดว่า “ขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อคืน!”
แม้ว่าซูซานจะหันหลังกลับมาแล้วแต่เมื่อมองไปที่หยางเฉินก็ทำให้ใบหน้าของหล่อนแดงก่ำขึ้น หล่อนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับส่ายหัว “ไม่ต้องเกรงใจ!”
หลังจากพูดจบ หล่อนก็หาวออกมาพร้อมกับพูดด้วยใบหน้าที่เหนื่อยล้าว่า “หยางเฉิน ฉันขอกลับไปนอนที่ห้องของตัวเองก่อนนะ คงไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนนายแล้ว”
ประโยคนี้ถือเป็นการบอกหยางเฉินอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อคืนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน
เดิมทีหยางเฉินก็ยังสงสัยอยู่แต่ในที่สุดตอนนี้มันก็จางหายไปเสียที เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เมื่อเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของซูซานก็รู้ได้เลยว่าเมื่อคืนตนคงจะอาเจียนทั้งคืนและคงเป็นซูซานที่ดูแลเขาซ้ำไปซ้ำมาตลอดจนดึกดื่น
“วันนี้ฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำ กินอาหารเช้าเสร็จก็คงไปเลย” หยางเฉินพูด
ซูซานยิ้มเล็กน้อย “ได้ มีเวลาก็มาเลี้ยงข้าวฉันด้วยล่ะ ถือว่าเป็นค่าแรงสำหรับงานอันลำบากหนักหน่วงเมื่อคืน”
“ได้เลย!” หยางเฉินพูด
หลังจากเห็นซูซานออกไป หยางเฉินก็รีบหยิบโทรศัพท์โทรไปหาฉินซี
ทันทีที่โทรศัพท์ดังขึ้น ฉินซีก็รีบรับสายในทันใด “สามี เมื่อคืนคุณไปอยู่ไหนมา?ทำไมไม่รับโทรศัพท์ฉัน?”
ใบหน้าของหยางเฉินโทษตัวเอง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจะบอกกับฉินซีไม่ได้เด็ดขาด หากเธอรู้จะต้องเข้าใจผิดเป็นแน่
“เมื่อคืนผมดื่มเป็นเพื่อนลูกค้าน่ะ กว่าจะมาถึงโรงแรมก็ดึกมากแล้ว ขอโทษจริงๆ!” หยางเฉินพูดอย่างรู้สึกผิด
นอนที่โรงแรมเป็นเรื่องจริง ส่วนเรื่องดื่มกับลูกค้าเป็นเรื่องโกหก
“คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าฉินซีดูโล่งใจพร้อมกับพูดต่อว่า “ฉันจัดการเรื่องที่นี่เสร็จแล้ว ตอนนี้ฉันอยู่บนเครื่องบินและกำลังจะขึ้นเครื่องเร็วๆนี้ ฉันจะไปจัดการเรื่องที่ซานเหอกรุ๊ปในเจียงโจวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปเมืองเยี่ยนตูด้วยรอยยิ้ม”
“ผมก็จะกลับไปที่เจียงโจวในอีกสองวันและจัดการเรื่องให้เรียบร้อย จากนั้นพวกเราค่อยมาด้วยกันก็แล้วกันนะ”
หยางเฉินรีบพูด หลังจากที่วางสายลง ในที่สุดหัวใจที่ถูกแขวนไว้ก็ได้ปล่อยวางลงเสียที
ในเวลานี้ ภายในคฤหาสน์สุดหรู
ในวิลล่าบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง มีหญิงวัยกลางคนเดินไปมารอบบ้านด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย
“แม่ ท่านไม่ต้องกังวลไป พี่ชายต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ”
หญิงสาวที่มีใบหน้าอันงดงามก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกับกุมมือหญิงวัยกลางคนและพูดปลอบโยนด้วยเสียงโทนต่ำ
สิ่งที่หล่อนไม่รู้ก็คือในขณะที่หล่อนกำลังเกลี้ยกล่อมผู้เป็นแม่อยู่นั้น ใบหน้าของหล่อนเองกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเสียเอง