วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม เวลา 5 นาฬิกา 57 นาที บ้านของครอบครัวทาวิเทียนในหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน
เลวอนยังคงนอนห่มผ้าหลับสนิทอยู่บนเตียงภายในห้องพักส่วนตัวชั้นที่สอง โดยอยู่ในชุดลำลองกึ่งสุภาพ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้กับปีศาจนักเชิดมนุษย์หรือ Aka Manah มิหนำซ้ำยังเดินเที่ยวชมความงดงามในกรุงปรากไปพร้อม ๆ กับบรรดามิตรสหายเมื่อวันก่อน ย่อมต้องมีอาการเมื่อยล้าเป็นเรื่องธรรมดา
ระหว่างนั้นเองเด็กหนุ่มกลับค่อย ๆ รู้สึกตัวพลางส่งเสียงงัวเงีย ไม่ใช่เพราะแสงตะวันที่กำลังสาดส่องเข้ามาผ่านทางบานหน้าต่าง แต่เป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่กดทับบนเรือนร่างจนเริ่มหายใจลำบากต่างหาก
เลวอนลืมตาขึ้นด้วยอาการสะลึมสะลือ ละสายตาออกจากเพดานห้องแล้วเหลือบมองลงต่ำพลางชะโงกศีรษะ สังเกตได้ว่าภายใต้ผ้าห่มที่ใช้คลุมอยู่นั้นมีอะไรบางอย่างตั้งนูนเป็นรูปร่างขนาดใหญ่ อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ครั้นจะบอกว่าเป็นหมอนข้างก็คงไม่ใช่เสียทีเดียว
บุรุษจอมดาบเวทตัดสินใจใช้มือขวาจับขอบผ้าห่มแล้วเลิกมันออกไปทางด้านข้าง แล้วพบว่ามีเด็กสาวหน้าตาสะสวยเจ้าของเรือนผมหางม้าสีส้มในชุดลำลองกึ่งสุภาพ หรือสเตฟาเนีย กำลังนอนทับร่างตนในลักษณะหันหน้าเข้าหากัน พลางนำสองมือบางวางลงบนบ่าร่างแกร่งโดยที่นัยน์ตาสีแสดสุกสกาวจับจ้องมองมาทางนี้ สร้างความประหลาดใจให้แก่เด็กหนุ่มยิ่งนัก
“ส… สเตฟก้า!?”
“รุ่นพี่เลวอน อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
แม่มดสาวตอบกลับด้วยสีหน้าน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเผยรอยยิ้มมุมอย่างละมุนละไมเป็นการทักทาย ทำให้เลวอนตกใจจนเริ่มตาสว่าง พร้อมทั้งรีบซักถามเธอด้วยความฉงนทันที
“อรุณสวัสดิ์… ไม่ใช่สิ นี่เธอเข้ามาในห้องนอนผมได้ยังไงกัน ก็ในเมื่ออุตส่าห์ล็อกห้องเอาไว้…”
“พอดีเห็นว่าบานหน้าต่างชั้นนี้ไม่ได้ลงกลอนแถมยังแง้มออกมานิดหน่อย ฉันเลยถือวิสาสะแอบเข้ามาเพราะไม่อยากรบกวนครอบครัวของคุณตอนเช้าตรู่น่ะค่ะ… ขอโทษด้วยนะคะที่แอบเข้ามาโดยพลการ ฉันก็แค่อยากจะพบเจอคุณเท่านั้นเอง”
“สเตฟก้า…”
เลวอนแก้มแดงระเรื่อ พร้อมทั้งรู้สึกสงสัยคาใจเล็กน้อยถึงเหตุผลที่สเตฟาเนียอยากจะพบเจอตน โดยพยายามไม่คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป เขารู้ดีว่าที่เธอมาหาก็เพื่อจะปรึกษาหารือเกี่ยวกับปัญหาทางใจของโมนิก้าซึ่งเป็นอยู่ในขณะนี้ต่างหาก
เด็กหนุ่มสลัดรีบความคิดอันฟุ้งซ่านออกไปให้พ้น พลางนำสองมือจับไหล่ร่างบางแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงละมุนละไม
“ด… ดีใจนะที่ได้ยินแบบนั้น ผมเองก็อยากพบเจอสเตฟก้าเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมต้องลุกขึ้นไปวิ่งออกกำลังกายสักสามสิบนาที แล้วกลับมาอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะงั้น…”
“ยังไม่เจ็ดโมงเช้าเลย รุ่นพี่จะนอนพักต่ออีกสักหน่อยก็ได้นะคะ ระหว่างนี้เดี๋ยวฉันจะช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายเอง”
แม่มดสาวพราวเสน่ห์แสนซนขยับตัวเล็กน้อย จนหน้าอกอวบอิ่มคู่นั้นประทับลงบนร่างสูงโปร่งอย่างแนบแน่น ทำให้ใบหน้าของทั้งสองคนอยู่ในระดับเดียวกัน จนบุรุษหนุ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นทับทิมอันหอมหวาน รวมถึงปลายเส้นผมนุ่มสลวยสีส้มปรกลงข้างซอกคอ โดยที่ช่วงล่างของเธอแทรกลงอยู่ตรงหว่างขาของเขาไปพลาง
เลวอนใจเต้นตึกตักจนสเตฟาเนียรับรู้ถึงมันได้ ยุวสตรีหน้าตาน่ารักผู้มีเรือนร่างอันเย้ายวนจึงกระหยิ่มยิ้มย่องชอบใจต่ออากัปกิริยาของฝ่ายตรงข้าม ก่อนที่เขาจะเกริ่นน้ำเสียงตะกุกตะกักออกมา
“ด… ดูเหมือนจะเป็นการกลั่นแกล้ง มากกว่าจะช่วยทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายนะ”
“แต่ก็ชอบให้ทำแบบนี้ใช่ไหมล่ะคะ?”
สเตฟาเนียพูดจาหยอกเย้าจนเลวอนไม่อาจปฏิเสธได้ ในขณะที่สายตาของทั้งคู่จับจ้องประสานกันอย่างไม่ลดละด้วยความโหยหา อีกทั้งยังเคยผ่านประสบการณ์เริงรักร่วมกันมาก่อน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาและเธอนึกอยากจะสัมผัสและมอบความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันอีกครั้ง
แม่มดสาวนัยน์ตาสีส้มเริ่มโน้มใบหน้าเข้าใกล้หวังจะประทับริมฝีปากเข้าหากัน พลางใช้มือซ้ายเสยเส้นผมข้างขึ้นมาทัดกับซอกใบหู พ่อมดหนุ่มรูปงามจึงตอบสนองความต้องการของเธอโดยหลับตาลงเตรียมรับจุมพิต แล้วเลื่อนสองมือหนาโอบกอดเอวร่างบาง ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วทั้งคู่ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้สึกประหม่าเหนียมอายอีกต่อไป
แกร๊ก…!
“ใกล้จะเจ็ดโมงเช้าแล้วนะเลวอน ไม่ตื่นออกไปวิ่งรึไง… อ๊ะ!?”
ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา ตามด้วยสุภาพสตรีเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวสลวยในชุดชาวพื้นเมืองอาร์มีเนีย หรือ “เยวา ทาวิเทียน” แม่ของเลวอน ได้เดินขึ้นมายังชั้นสองของบ้านเพื่อปลุกลูกชายให้ลุกขึ้นตื่น แต่ก็ต้องอ้าปากค้างตาโตพลางชะงักท่าทีไปชั่วขณะ เมื่อได้พบเห็นบางสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงเบื้องหน้า
“ม… แม่!?”
เลวอนสะดุ้งตกใจ รีบหันไปมองดูผู้เป็นแม่ซึ่งยืนอยู่ตรงบริเวณทางเข้าออกจนทำตัวไม่ถูก สเตฟาเนียผละตัวออกจากร่างของเด็กหนุ่มมาอยู่ในท่านั่งพับเพียบอย่างรวดเร็ว สบสายตามองเยวาด้วยสีหน้าราบเรียบพร้อมแก้มแดงระเรื่อ ทั้งที่ใจจริงเธอรู้สึกอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปจากที่นี่เสียให้ได้ แต่ถึงกระนั้นเธอยังคงกล่าวแนะนำตัวต่ออีกฝ่ายตามมารยาท
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ หนูชื่อสเตฟาเนีย เลฮารอฟว่า ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
“น… หนูคนนั้นที่เคยเจอกันในศูนย์พยาบาลเมื่อหลายวันก่อนนี่นา ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ… ไม่สิ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่ใช่ไหม? ขอโทษด้วยนะที่เข้ามาขัดจังหวะ ทั้งสองคนเชิญตามสบายเลยเดี๋ยวแม่จะลงไปเตรียมอาหารเช้าเอาไว้ให้ แต่อย่าส่งเสียงดังรบกวนคนข้างบ้านเขาเชียวล่ะ”
“ด-เดี๋ยว มันไม่ใช่อย่างที่แม่คิดนะครับ!”
พ่อมดหนุ่มส่งเสียงรั้งเอาไว้ด้วยท่าทีลนลาน แต่ก่อนที่เยวาจะปิดประตูห้องนั้น เธอได้หันไปมองเด็กสาวจ้าวเสน่ห์สักประเดี๋ยวหนึ่ง ก่อนจะให้คำแนะนำอย่างใจเย็นแม้ว่าท่าทีของตนจะยังคงแข็งเกร็งอยู่บ้างก็ตาม
“จ… จริงสิ ทั้งสองคนอย่าลืมป้องกันด้วยนะจ๊ะ”
“อย่าได้กังวลเลยค่ะ หนูเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”
สเตฟาเนียหยิบหลอดน้ำยาคุมกำเนิดขึ้นมาจากกระเป๋ากระโปรง พร้อมทั้งกล่าวต่อเยวาเพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวลใจ สุภาพสตรีนัยน์ตาสีน้ำเงินจึงรีบเกริ่นสนทนาอีกครั้งเป็นการปิดท้ายลาจาก
“ด… ดีแล้วล่ะจ้ะ ถ้างั้นแม่ขอตัวก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวกลายเป็นก้างขวางคอพวกเธอเสียเปล่า ๆ”
“เดี๋ยวก่อนนนนน!”
เลวอนไม่ทันได้อธิบายความจริงออกไป อีกฝ่ายก็พลันก้าวเท้าออกจากห้องปิดประตูเสียงดังปังทันที โดยปล่อยให้เขาและสเตฟาเนียอยู่กันตามลำพังสองต่อสอง จนบุรุษวัยเยาว์ถึงกับคอตกแสดงสีหน้าสลดราวกับว่าชีวิตของตนได้จบสิ้นลงแล้ว ในขณะที่แม่มดสาวผู้ซุกซนเองได้แต่นิ่งเงียบหลบสายตามองต่ำด้วยความรู้สึกสำนึกผิด
ปิ๊บปิ๊บ ปิ๊บปิ๊บ…
“เหวอ!?”
เสียงนาฬิกาปลุกดิจิตอลดังขึ้นจากหัวเตียงจนเลวอนสะดุ้งตกใจอีกครั้ง เขารีบหันตัวเอื้อมมือเพื่อกดปุ่มปิดสัญญาณแจ้งเตือน ทำให้ภายในห้องนอนแห่งนี้กลับคืนสู่ความเงียบสงบตามปกติ ก่อนจะถอนหายใจเอือมระอาต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อสักครู่นี้
“ขอโทษด้วยนะคะ ฉันทำให้คุณแม่ของรุ่นพี่ลำบากใจจนได้…”
สเตฟาเนียเกริ่นน้ำเสียงแผ่วเบา พลางนำสองมือที่วางอยู่บนหน้าตักกำชายกระโปรงเอาไว้แน่น สีหน้าของเธอเผยถึงความสลดหดหู่ใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทว่าบุรุษจอมดาบเวทนัยน์ตาสีอำพันกลับแย้มสรวลจาง ๆ ให้ พร้อมทั้งปลอบโยนเพื่อบรรเทาอารมณ์ขุ่นมัวของอีกฝ่ายลง
“ไม่หรอก ถึงจะอธิบายให้ตายยังไงแม่ก็คงไม่เชื่อสนิทใจอยู่แล้ว อีกอย่างส่วนหนึ่งเป็นเพราะความสะเพร่าของผมด้วยที่ไม่ล็อกกลอนหน้าต่างเอาไว้ให้ดี… เพราะงั้นสเตฟก้าอย่าได้แบกรับความผิดชอบเอาไว้ตามลำพังสิ”
“รุ่นพี่เลวอน ใจดีเกินไปแล้วนะคะ…”
สเตฟาเนียเหลือบสายตามองคู่สนทนาโดยที่สองแก้มแดงระเรื่อ ไม่อาจปั้นสีหน้าให้แน่นิ่งเหมือนอย่างที่ผ่านมาได้อีก ระหว่างนั้นเองเด็กหนุ่มผู้ใสซื่อได้เหยียดแขนซ้ายขวาชูขึ้นเหนือศีรษะ พลางยืดเส้นยืดสายบิดตัวไปมาเล็กน้อย จากนั้นจึงเกริ่นสนทนาอีกครั้ง
“เอาล่ะ ได้เวลาวิ่งออกกำลังกายสักที… สเตฟก้านั่งรอผมอยู่ในห้องนี้ หรืออยู่ในห้องรับแขกชั้นล่างก่อนก็ได้นะ อีกสักประมาณสามสิบนาทีเดี๋ยวผมจะกลับมา แล้วค่อยมาทานอาหารเช้าด้วยกัน”
“ฉันขอตามรุ่นพี่ไปด้วยได้ไหมคะ?”
“เอ๊ะ… ม-ไม่เป็นไร สเตฟก้าอย่าได้ลำบากตามผมมาเลย อีกอย่างพักหลังมานี้ผมเริ่มวิ่งในระยะทางที่ไกล ๆ ได้แล้ว เพราะงั้นนั่งพักอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ”
“ฉันไม่อยากให้รุ่นพี่เลวอนต้องเป็นลมล้มพับหรือมีอาการป่วยกำเริบในระหว่างทางค่ะ เพื่อความไม่ประมาท ได้โปรดให้ฉันขี่ไม้กวาดตามไปดูแลคุณทุกฝีก้าวด้วยเถอะนะคะ”
แม่มดสาวพราวเสน่ห์ยังคงยืนกรานความตั้งใจพลางจับจ้องมองเลวอนอย่างแน่วแน่ ด้วยความที่ตนอยากชดใช้บาปในสิ่งที่ก่อขึ้นเมื่อสักครู่ พ่อมดหนุ่มรูปงามไม่อาจหาญกล้าปฏิเสธน้ำใจของเธอได้ จึงผงกศีรษะยอมรับข้อเสนอด้วยท่าทีแจ่มใส
“เข้าใจแล้ว… ขอบคุณมากนะสเตฟก้า ถ้างั้นเช้านี้ผมขอรบกวนเธอหน่อยล่ะ”
“ด้วยความยินดีเลยค่ะ”
สเตฟาเนียเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ มุมปากอย่างอบอุ่นหัวใจ ทั้งที่เดิมทีแล้วเธอไม่ค่อยให้ความสนใจต่อเพศตรงข้ามหรือสิ่งรอบตัวอื่นใด นอกเสียจากครอบครัวและบรรดาเพื่อนสนิทเท่านั้น ทว่าภายหลังจากที่ได้พบเจอกับเลวอน ก็ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะเริ่มแสดงสีหน้าร่าเริงสดใสออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
ในขณะที่ความรักและความหวังดีของสเตฟาเนียซึ่งมีให้ต่อเลวอนเอง ก็ค่อย ๆ ชัดเจนเพิ่มมากขึ้น
********************
เลวอนออกจากบ้านพักเพื่อวิ่งออกกำลังกาย อยู่ในชุดวอร์มสีกรมท่ากับรองเท้าผ้าใบสีขาว โดยมีสเตฟาเนียคอยขี่ไม้กวาดตามไปประกบเพื่อดูแลเขาอย่างใกล้ชิด พร้อมถือเครื่องดื่มเกลือแร่และผ้าเช็ดหน้าให้เสร็จสรรพ ในระหว่างทางทั้งคู่ได้หาจังหวะพูดคุยกันอย่างสนิทสนมตามประสาวัยรุ่นไปพลาง
เด็กหนุ่มผู้แสนสุภาพใช้เวลาในการวิ่งออกกำลังกายประมาณสามสิบนาที ก่อนจะย้อนกลับไปยังบ้านพักเพื่ออาบน้ำแต่งตัวเตรียมรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับครอบครัว แน่นอนว่าทางสเตฟาเนียก็ได้รับคำเชิญให้อยู่ร่วมสังสรรค์ด้วยเช่นกัน โดยเมนูบนโต๊ะวันนี้มีทั้งข้าวผัด สลัด ขนมปัง เคบับ และบาร์บีคิวสไตล์อาร์มีเนีย ถูกจัดตกแต่งบนภาชนะอย่างสวยสดงดงามชวนน่ารับประทานด้วยฝีมือของเยวา
เมื่อทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในห้องครัว สเตฟาเนียจึงกล่าวแนะนำตัวอย่างเป็นทางการต่อเยวา และเลออนผู้ซึ่งเป็นพ่อของเลวอน โดยสนทนากันพอหอมปากหอมคอ ซึ่งสองสามีภรรยาทาวิเทียนต่างก็ให้การต้อนรับเด็กสาวเป็นอย่างดี จากนั้นเริ่มลงมือรับประทานอาหารที่อยู่บนโต๊ะจนกระทั่งอิ่มหนำสำราญ
ภายหลังจากรับประทานเสร็จ สเตฟาเนียจึงวางช้อนส้อมลงบนจานของตนอย่างเป็นระเบียบโดยที่ไม่เหลือเศษอาหารหรือเม็ดข้าวเลยแม้แต่ชิ้นเดียว หยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดริมฝีปากให้สะอาด แล้วยกแก้วน้ำเย็น ๆ ขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหาย จากนั้นก็เริ่มเกริ่นน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยรอยยิ้มจาง
“ขอบพระคุณสำหรับมื้อเช้าค่ะ อร่อยมากเลย”
“แหมค่อยยังชั่ว นึกว่ารสชาติจะไม่ถูกปากแล้วเสียอีก”
เยวากล่าวโล่งอกปนดีใจ ด้วยความที่ตนถนัดรังสรรค์แต่อาหารพื้นบ้านของอาร์มีเนีย จึงทำให้เธอแอบนึกหวั่นวิตกอยู่พอสมควรว่าสเตฟาเนียซึ่งเป็นชาวยุโรปนั้นจะพึงพอใจกับรสชาติเหล่านี้บ้างหรือไม่ เลออน บุรุษวัยกลางคนเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนรวบหางม้าในชุดลำลองสุภาพเอง ก็ได้หันไปสนทนากับภรรยาซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างทางฝั่งซ้ายมือด้วยสีหน้าอารมณ์ดี
“ครั้งหน้าแม่ก็ช่วยสอนวิธีการทำอาหารให้กับสเตฟาเนียซะเลยสิ เผื่อในอนาคตลูกชายเราจะได้ไม่ต้องลำบากยังไงล่ะ”
“เดี๋ยวนะครับพ่อ เมื่อกี้นี้หมายความว่ายังไงกัน?” เลวอนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแอบคิ้วขมวดใส่เล็กน้อย
“แหมไอ้ลูกคนนี้ ไม่ต้องมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เลย พ่อกับแม่รู้เรื่องหมดทุกอย่างแล้วนะ”
“ร… เรื่องอะไรเหรอครับ?”
“ก็เรื่องที่ทั้งสองคนกำลังคบหาดูใจกันอยู่ยังไงล่ะจ๊ะ”
เยวาฝ่ายตอบกลับด้วยสีหน้าชื่นมื่น เด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนจึงรีบกล่าวปฏิเสธทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำอย่างลนลาน
“ไม่ใช่นะครับ เราสองคนยังไม่ได้คบกันสักหน่อย!”
“ที่คุณน้าเยวาเห็นเมื่อเช้านี้เป็นเพียงแค่สกินชิพตามประสาเพื่อนสนิทเท่านั้นเองค่ะ”
สเตฟาเนียยืนยันในคำตอบด้วยสีหน้าแน่นิ่งไร้ซึ่งอากัปกิริยาตกใจ ทว่าสองแก้มที่แดงระเรื่อนั้นไม่อาจปิดบังความจริงอันซ่อนเร้นอยู่ภายในใจเอาไว้ได้ อีกทั้งยังไม่ได้ปฏิเสธต่อคำพูดของเยวาอย่างชัดเจน เรียกได้ว่าใช้วาจาบ่ายเบี่ยงเพื่อให้อีกฝ่ายไปตีความกันเอาเองเสียมากกว่า
“แต่ที่น้าเห็นเมื่อเช้านี้มันค่อนข้างเลยเถิดเกินกว่าจะเป็นสกินชีพแล้วนะ นี่ถ้าหากไม่ขึ้นไปดูที่ห้องล่ะก็มีหวังทั้งคู่คงได้ข้ามขั้นไปไกลกว่านี้แน่ ๆ” สุภาพสตรีเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มเกริ่นจาแซวใส่สองวัยรุ่นหนุ่มสาว
“สเตฟก้า เห็นเลวอนใสซื่อแบบนี้แต่ความจริงแล้วเป็นคนร้ายกาจน่าดูเชียวล่ะ ที่สำคัญยังทำอาหารไม่เก่ง ขี่ไม้กวาดไม่ชำนาญ เล่นดนตรีไม่เป็น แถมยังร้องเพลงแย่อีกต่างหาก… ยังไงก็ขอให้ระมัดระวังตัวและคอยดูแลเขาเอาไว้ให้ดีด้วยนะ”
บุรุษวัยกลางคนนัยน์ตาสีอำพันเองก็คอยสาธยายถึงข้อเสียของลูกชายตนให้สเตฟาเนียฟัง เลวอนที่ไม่อาจนิ่งนอนใจได้จึงรีบส่งเสียงขัดจังหวะด้วยท่าทีกระวนกระวายโดยพลัน
“เหวอ!? พ่อครับอย่าเอาเรื่องพรรค์นั้นมาเผาให้สเตฟก้าฟังสิ!”
“แต่ถึงอย่างนั้นแล้วรุ่นพี่เลวอนเขาก็เป็นลูกผู้ชายที่กล้าหาญและมีน้ำใจมากพอสมควร โดยเฉพาะตอนที่พวกเราต่อสู้กับปีศาจ Aka Manah เมื่อวานนี้เขาก็ได้แสดงสิ่งนั้นให้ทุกคนเห็น มิหนำซ้ำยังเอาตัวเข้ามาปกป้องหนูเพื่อให้รอดพ้นจากภัยอันตรายอีกด้วย… ดังนั้นได้โปรดอย่าพูดจาตัดกำลังใจรุ่นพี่เขาแบบนั้นเลยนะคะ”
ทว่าแม่มดสาวจ้าวเสน่ห์กลับเล่าถึงข้อดีสำคัญของเลวอนออกมา หาได้ให้ความสนใจถึงจุดเสียของเขาสักเท่าไหร่นัก เลออนกับเยวาได้ยินเช่นนั้นจึงแปลกประหลาดใจเล็กน้อย ส่วนเลวอนกล่าวถ่อมตนต่อเธอซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างอย่างเหนียมอาย
“ส… สเตฟก้าก็พูดเกินไป ผมไม่ได้กล้าหาญถึงขนาดนั้นสักหน่อย”
“มั่นใจในตัวเองให้มากกว่านี้หน่อยสิคะรุ่นพี่ การถ่อมตนมากเกินไปอาจทำให้ตัวเองหมดเสน่ห์ลง จนถึงขั้นกลายเป็นผู้ชายเหลาะแหละได้เลยเชียวนะ”
แม้จะเป็นคำพูดที่ฟังดูโผงผาง แต่สิ่งที่สเตฟาเนียให้คำแนะนำมานั้น กลับสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและเจตนาดีผ่านทางน้ำเสียงชัดเจน ต่อให้สีหน้าของเธอซึ่งแสดงออกมาจะราบเรียบราวกับตุ๊กตาที่ปราศจากอารมณ์ก็ตาม ส่วนเลวอนรีบผงกศีรษะน้อมรับข้อคิดเห็นจากอีกฝ่ายอย่างว่านอนสอนง่ายทันที
“ง… งั้นเหรอ เข้าใจแล้วล่ะ”
“ดีมากค่ะรุ่นพี่”
สเตฟาเนียแย้มสรวลมุมปากอย่างพึงพอใจ เธอและเด็กหนุ่มต่างสบสายตามองกันราวกับคู่รักข้าวใหม่ปลามัน จนลืมไปเสียสนิทว่ายังมีเยวากับเลออนกำลังนั่งจับจ้องเฝ้าดูพวกตนอยู่ ด้วยเหตุนี้สองสามีภรรยาจึงออกอาการยิ้มกรุ้มกริ่มหันมาส่งเสียงซุบซิบกันเองต่อหน้าลูกชายทันที
“พ่อจ๊ะ ดูเหมือนว่าลูกชายเราจะโดนแม่หนูคนนี้คุมบังเหียนจนอยู่หมัดเสียแล้วล่ะสิ”
“นั่นน่ะสิแม่ ทีพวกเราคอยตักเตือนชี้แนะกลับดื้อด้านไม่ค่อยอยากจะทำตามซะงั้น”
“ถ้าได้มาเป็นลูกสะใภ้บ้านเราล่ะก็ คงช่วยให้เลวอนลดความดื้อรั้นลงไปได้มากเลย”
“เผลอ ๆ พวกเราอาจจะได้อุ้มหลานก่อนถึงวัยเกษียณอีกด้วยนะแม่ ฮะฮะฮะ”
“พ่ออย่าพูดเรื่องแบบนั้นต่อหน้าเด็ก ๆ สิ… จะว่าไปแล้วแม่เองก็แอบคิดแบบนั้นเหมือนกัน หุหุหุ”
เพียงเท่านี้ก็ทำให้เลวอนรู้สึกอับอายมากเกินพอแล้ว เขารีบลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงดังครืดทั้งที่ใบหน้าแดงแปร๊ด ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยคำพูดฟังดูฉะฉานเพื่อยุติบทสนทนาโดยเร็ว
“ขอบคุณสำหรับมื้อเช้า ผมขอตัวไปฝึกพิเศษก่อนนะครับ!!”
เด็กหนุ่มเร่งก้าวเท้าออกจากห้องครัวมุ่งไปยังห้องนอนชั้นสอง เพื่อแต่งตัวและเตรียมอุปกรณ์การเรียนให้พร้อมสรรพ โดยปล่อยให้พ่อแม่ของตนนั่งส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ ไม่นานนักสเตฟาเนียได้เกริ่นคำอำลาต่อสองสามีภรรยาทาวิเทียนตามมารยาทด้วยอากัปกิริยาสุภาพ
“ขอบพระคุณสำหรับมื้อเช้าค่ะ แล้วก็ต้องขออภัยด้วยที่ถือวิสาสะแอบเข้ามาโดยพลการ เช่นนั้นแล้วทางนี้ขอตัวก่อน ครั้งหน้าเดี๋ยวหนูจะนำของฝากมาเยี่ยมคุณอากับคุณน้านะคะ”
“เรื่องของฝากน่ะไม่เป็นไรหรอก ขอแค่เธอยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อเลวอน เพียงเท่านี้พวกอาก็ดีใจมากแล้วล่ะ”
“ว่าง ๆ ก็แวะมาทานข้าวกับพวกเราที่นี่ได้อีกนะจ๊ะ ทางนี้ยินดีต้อนรับเสมอ”
เลออน และเยวา กล่าวด้วยสีหน้าน้ำเสียงเป็นมิตร พร้อมทั้งทอดสายตาจับจ้องมองสเตฟาเนียอย่างเอ็นดูประดุจดั่งลูกหลานแท้ ๆ คนหนึ่ง แม่มดสาวนัยน์ตาสีส้มพราวเสน่ห์จึงเผยรอยยิ้มบางตอบรับน้ำใจไมตรีจิตอันแสนอบอุ่นจากสองสามีภรรยา ก่อนจะก้มโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพแล้วเอ่ยถ้อยคำซาบซึ้งอย่างปลื้มปีติ
“คุณอาเลออน คุณน้าเยวา… ขอบพระคุณมากค่ะ”