สเตฟาเนียได้พาเลวอนไปยังร้านทำผม The Barber ในย่านจัตุรัสเมืองเก่า ภายในดูค่อนข้างอึมครึมและปูด้วยพื้นไม้ เมื่อเดินทางมาถึงสถานที่ดังกล่าว เธอรีบจับร่างเขานั่งลงบนเก้าอี้เบาะนุ่มหน้ากระจกเงา แล้วส่งต่อให้ช่างตัดผมจัดการโดยใช้เวลาจัดแต่งทรงไม่เกินสามสิบนาที ในระหว่างนี้เด็กหนุ่มทำได้แค่เพียงก้มหน้าหลับตาปี๋จนถึงวินาทีสุดท้าย กลัวว่าผลลัพธ์จะออกมาดูแย่หรือไม่เข้ากับบุคลิกตนเอง
“ลืมตาขึ้นมาสิคะ”
สเตฟาเนียโน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบกระซาบข้างใบหูซ้ายของเลวอน ทำเอาสุภาพบุรุษหนุ่มใสซื่อสะดุ้งตกใจรีบลืมตาตื่นขึ้นมาทันที สิ่งที่พบเห็นเป็นอันดับแรกนอกเหนือจากหน้าตักตน คือกองเส้นผมสีขาวโพลนบนพื้นระเบียงซึ่งถูกตัดเล็มออก แน่นอนว่าเขาแอบรู้สึกนึกเสียดายอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะกว่าที่จะไว้ผมให้ได้ยาวนุ่มสลวยจนถึงขนาดนี้ เขาต้องใช้เวลานานเกือบสิบปีเลยทีเดียว
“น… นี่มัน”
เลวอนค่อย ๆ เงยศีรษะขึ้นมาส่องดูตนเองผ่านกระจกเงา จากสีหน้ากังวลหม่นหมองกลับแปรเปลี่ยนเป็นความโล่งอกปนประหลาดใจโดยพลัน เส้นผมซึ่งเคยปรกตรงบริเวณสันจมูกกับช่วงหน้าผากนั้น ถูกตัดออกเพียงเล็กน้อยให้อยู่ในระดับเหนือดวงตาพอประมาณ เปียข้างใบหน้าเรียวงามทั้งสองฝั่งซึ่งยาวจนสามารถพันรอบคอคล้องบ่าได้ ถูกทอนให้สั้นสูงเหนือแผงอกและปล่อยให้ชี้ลงพื้นตามธรรมชาติ ส่วนหางม้าใกล้ต้นคอถูกบั่นให้สั้นเหลือเพียงช่วงไหล่
หากพูดให้เข้าใจโดยง่าย เลวอนนั้นก็แค่ถูกตัดผมให้สั้นลงพองาม แต่ยังคงเค้าของทรงผมเดิมหลงเหลืออยู่บ้าง โดยที่ไม่สูญเสียเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากจนเกินไป
การจัดทรงผมใหม่ของพ่อมดหนุ่มในครั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้คือความเป็นระเบียบเรียบร้อยแลดูสุภาพบุรุษมากขึ้น มองเห็นเค้าโครงใบหน้าอันคมคายและงดงามชัดเจน ในระหว่างนั้นเขาเริ่มเอียงใบหน้าหันซ้ายสลับขวา สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงให้ได้มากที่สุด
สเตฟาเนียซึ่งยืนมองดูอยู่ใกล้ ๆ แอบนึกหวั่นวิตก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ปริปากเอ่ยถ้อยคำใด ๆ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะเกริ่นถ้อยคำสำนึกผิดต่อเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พลางหลบสายตาไม่กล้าสู้หน้าโดยตรง
“รุ่นพี่คงจะชอบทรงผมแบบเก่ามากกว่างั้นสินะคะ ขอโทษด้วยนะคะที่ฉันเอาแต่ใจจนทำให้คุณต้องเดือดร้อน ใจจริงฉันก็แค่อยากจะให้รุ่นพี่เลวอนมีบุคลิกภาพที่ดูดีเท่านั้นเอง”
“สเตฟก้า…”
เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างผ่านทางคำพูดของอีกฝ่าย ทำให้เขารับรู้ได้โดยทันทีว่าแท้จริงแล้วแม่มดสาวคนนี้มีจิตใจค่อนข้างอ่อนไหว ทั้งที่ในยามปกติเธอมักจะแสดงสีหน้าอากัปกิริยามาดนิ่งเย็นชาราวกับไม่แยแสต่อสิ่งอื่นใดแท้ ๆ ด้วยเหตุนี้เลวอนจึงเกริ่นถนอมน้ำใจต่อสเตฟาเนียเพื่อปลอบประโลม
“พูดอะไรแบบนั้น เธอไม่ได้ทำให้ผมต้องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลยสักหน่อย”
“ไม่ต้องปลอบใจฉันก็ได้นะคะ ถ้าหากเป็นคำพูดของรุ่นพี่ล่ะก็ฉันยินดีรับฟังความเห็นตรง ๆ จากคุณเสมอค่ะ”
เด็กสาวผมสีส้มยังคงก้มหน้าลงต่ำหลบสายตา ขยับมือขวาขึ้นมากุมท่อนแขนเรียวบางอีกข้างพลางใช้ปลายนิ้วขยุ้มลงเพื่อสะกดกลั้นหรือเก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ บุรุษวัยฉกรรจ์ตัดสินใจที่จะบอกกล่าวออกไปอย่างสัตย์จริงด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มจาง ๆ เพื่อให้เธอคลายกังวลใจ
“ผมแค่รู้สึกใจหายนิดหน่อยที่จู่ ๆ ก็ถูกตัดออกไป ทั้งที่เคยไว้ผมยาวมาโดยตลอด แต่พอลองตัดดูแล้วก็รู้สึกเบาสบายศีรษะและไม่บดบังทัศนวิสัยสายตาด้วย… ทางนี้กลับรู้สึกดีใจเสียอีกที่สเตฟก้าใส่ใจในตัวผม อย่างน้อยก็ทำให้ผมได้รับรู้ว่ายังมีคนใกล้ตัวคอยเป็นห่วงอยู่เสมอ… ขอบคุณมากนะสเตฟก้า”
สเตฟาเนียหันหน้ามาสบตามองเขาอีกครั้ง คราวนี้สองแก้มของเธอแดงฝาด อีกทั้งยังเผยท่าทีผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะแย้มสรวลอันแสนอ่อนโยนออกมาด้วยความปลื้มปีติ
“ใจดีเกินไปแล้วนะคะ… แต่ถ้าหากรุ่นพี่คิดแบบนั้นจริง ๆ ฉันก็พอใจมากแล้วล่ะค่ะ”
“ตายจริงแม่หนู แฟนหนุ่มคนนี้ท่าทางสุภาพอ่อนโยนเหลือเกิน ตาถึงมากเลยล่ะฮ้า”
บุรุษช่างทำผมในชุดเสื้อสเวตเตอร์แขนยาวกับกางเกงขาเดฟ ผู้มีลักษณะท่าทางอ่อนช้อยไปทางอิสตรีซึ่งยืนมองดูอยู่อย่างเงียบ ๆ สักพัก ได้เกริ่นแซวสองวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยความชอบใจ สเตฟาเนียตาโตเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีปฏิเสธหรือต่อต้านต่อถ้อยคำดังกล่าว ในขณะที่เลวอนเผยอากัปกิริยาลนลานรีบชี้แจงกลับไปทั้งที่สองแก้มแดงก่ำจนถึงใบหู
“ม-ไม่ใช่นะครับ พวกเราสองคนเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นเอง!”
“แหม ๆ มาถึงขั้นนี้แล้วอย่าริปฏิเสธต่อหน้าเจ๊สิ ว่าแต่พ่อหนุ่มโดนใจเจ๊มากเลย เดี๋ยวทางนี้จะคิดราคาพิเศษให้นะฮ้า”
บุรุษช่างทำผมส่งเสียงหัวเราะในลำคอปิดท้าย เลวอนและสเตฟาเนียได้หันมาจ้องมองกันด้วยท่าทีเหนียมอาย ด้วยเหตุนี้เองเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันจึงเสียเงินค่าจัดแต่งทรงผมเพียงแค่ไม่กี่สิบยูโร สองพ่อมดแม่มดวัยใสรู้สึกเกรงใจไม่น้อยก่อนจะกล่าวคำขอบคุณแก่เจ้าของร้านที่ช่วยลดราคาให้
เมื่อออกมาจากร้านทำผม ทั้งคู่จึงยืนพักอยู่ตรงบริเวณหน้าอาคารดังกล่าวชั่วคราว เพื่อปรึกษาหารือว่าควรจะมุ่งหน้าเดินทางเยี่ยมชมจุดไหนต่อ ในขณะที่เลวอนกำลังให้ความสนใจกับทรงผมใหม่ของตน สเตฟาเนียก็ได้ฉวยโอกาสนี้หยิบสมาร์ตโฟนสีส้มจากกระเป๋ากระโปรงขึ้นมาถ่ายรูปเขาตอนจังหวะทีเผลอ
แชะ!
“ส-สเตฟก้า อย่าถ่ายสิผมอายนะ”
บุรุษวัยเยาว์รีบขยับแขนขวายกขึ้นมาบังใบหน้าตนอย่างร้อนรนใจ แต่ก็สายเกินไปเสียแล้วเนื่องจากแม่มดสาวผู้น่ารักแสนซนได้บันทึกภาพเอาไว้ทันท่วงที เธอจับจ้องมองดูผลงานบนหน้าจอมือถือพลางยิ้มมุมปาก ก่อนจะสบสายตาพูดคุยกับเขา
“น่าอายตรงไหนกัน ออกจะดูดีด้วยซ้ำไป… รุ่นพี่อย่ากังวลไปเลย ฉันไม่ถือวิสาสะอัปโหลดรูปคนอื่นลงในโซเชียลโดยพลการหรอกนะคะ”
“ช่วยไม่ได้แฮะ ในเมื่อทำถึงขนาดนี้ผมเองคงต้องขอเอาคืนเธอบ้างล่ะ”
“เอ๊ะ?”
สเตฟาเนียส่งเสียงประหลาดใจ ทว่าไม่ทันไรเลวอนก็พลันหยิบสมาร์ตโฟนสีดำขึ้นมาถ่ายรูป พลางเอื้อมแขนคว้าร่างแม่มดสาวผมสีส้มให้แนบชิดตนจนอีกฝ่ายเผยท่าทีตื่นตระหนกเล็กน้อย แล้วใช้นิ้วโป้งกดปุ่มบันทึกภาพคู่กันปิดท้ายทันที
แชะ!
เสร็จแล้วเลวอนจึงคลายร่างสเตฟาเนียออกจากอ้อมแขน ลงมือตรวจเช็กผลงานบนหน้าจอสมาร์ตโฟน โชคดีที่เธอหันสายตามองมายังกล้องเลยทำให้องค์ประกอบของภาพดูลงตัวและเป็นธรรมชาติ แม้ว่าฉากหลังจะเป็นร้านตัดผมก็ตาม อีกฝ่ายชะเง้อตัวมองรูปถ่ายด้วยความสนใจ ก่อนจะทำหน้าคิ้วขมวดใส่พลางเกริ่นแซวน้ำเสียงราบเรียบกลับไป
“คิดจะแบล็กเมล์กันเหรอคะ ช่างร้ายกาจเหมือนอย่างที่คนอื่นเขาว่ามาจริง ๆ ด้วย”
“อ-อะไรกัน ผมไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้นสักหน่อย!” พ่อมดหนุ่มรีบปฏิเสธอย่างลนลาน
“ฉันล้อเล่นค่ะ… จริงสิ รบกวนช่วยนำรูปที่ถ่ายมาเมื่อสักครู่นี้ส่งให้ฉันผ่านทางแชทส่วนตัวสักหน่อย… จะได้ไหมคะ?”
สเตฟาเนียส่งสายตาออดอ้อนอย่างเหนียมอาย คราวนี้ท่าทีของเธอดูสุภาพเรียบร้อยและน่ารักอ่อนโยนกว่าปกติ ทั้งที่เดิมทีตนมักจะแสดงสีหน้ามาดนิ่งราวกับตุ๊กตาที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวาอยู่บ่อยครั้ง ทำเอาเลวอนถึงกับหัวใจเต้นแรงด้วยความหวั่นไหว พร้อมทั้งผงกศีรษะตอบรับคำขอจากอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย
“อื้อ แน่นอนสิ”
“ขอบคุณมากค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”
เลวอนนำรูปถ่ายที่ตนบันทึกเอาไว้ก่อนหน้านี้ส่งให้สเตฟาเนียผ่านทางมือถือ เมื่อภาพถ่ายถูกส่งเข้ามายังแชทส่วนตัวและปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของเด็กสาวผมสีส้ม เธอก็รีบตั้งค่าให้กลายเป็นภาพหน้าจอหลักสมาร์ตโฟนไปโดยปริยาย
ถัดมาสองพ่อมดแม่มดได้มุ่งหน้าไปยังร้านอาหาร Maitrea เพื่อรับประทานมื้อเที่ยง ภายในอาคารปูด้วยพื้นไม้อย่างเป็นระเบียบ ส่วนเสาและเพดานมีลักษณะโค้งเว้าไม่ค่อยสูงมากนัก แต่บรรยากาศกลับอบอุ่นไปด้วยแสงโคมไฟสีเหลืองนวลตา
บางแห่งเป็นพื้นแผ่นหินขรุขระ มีพุ่มไม้เล็ก ๆ ตกแต่งประดับประดาให้มีความเป็นธรรมชาติ ซึ่งกลมกลืนเข้ากันอย่างน่าประหลาด บนโต๊ะแต่ละตัวมีเทียนหอมตั้งวางอยู่ตรงกลางเพื่อเพิ่มความโรแมนติก เหมาะสำหรับการนำพาคนรักมาสังสรรค์เพื่อสร้างความประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งผู้ที่แนะนำร้านแห่งนี้ให้แก่เลวอนย่อมหนีไม่พ้นสเตฟาเนีย
แม้ว่าอาหารส่วนใหญ่จะเป็นมังสวิรัติ แต่กลับมีรสชาติอร่อยและรังสรรค์ออกมาได้น่าทาน ไม่ต่างจากเมนูสไตล์ยุโรปกลางประเภทอื่น ๆ ก่อนลงมือรับประทานมื้อเที่ยง ทั้งสองหนุ่มสาวไม่ลืมที่จะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึก รวมถึงบรรยากาศภายในร้าน และอาหารซึ่งประดับตกแต่งอยู่บนจาน ไว้โอ้อวดแก่เหล่าผองเพื่อนในภายหลัง
“ทานล่ะนะครับ/ทานล่ะนะคะ”
เลวอน และสเตฟาเนีย พนมมือขึ้นกล่าวอย่างพร้อมเพรียง ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาจากฮิคาริอยู่พอสมควร นับตั้งแต่ซามูไรสาวได้ย้ายมาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน ซึ่งก่อนหน้านี้อิทสึกิเองก็คอยรบเร้าทุกคนอยู่เสมอว่าให้มีมารยาทที่ดีในระหว่างรับประทานอาหาร
หลังจากรับประทานมื้อเที่ยงเสร็จ สเตฟาเนียก็ได้พาเลวอนเดินเตร็ดเตร่เที่ยวชมร้านค้าตามตลาดนัด กับแหล่งต่าง ๆ ภายในจัตุรัสเมืองเก่า มีทั้งของขวัญที่ระลึกประจำกรุงปราก ของเล่นตุ๊กตาที่ทำจากไม้ ขนมทานเล่นกับเครื่องดื่ม หรือแม้กระทั่งผ้าผืนยาวที่ออกแบบมาอย่างประณีตงดงาม ซึ่งเจ้าของร้านลงมือถักทอให้นักท่องเที่ยวได้รับชม ท่ามกลางผู้คนมากหน้าหลายตาในยามบ่าย
เลวอนรู้สึกคอแห้ง สเตฟาเนียจึงพาเขาไปซื้อน้ำดื่มกับไอศกรีมโคนมารับประทานคลายร้อน พร้อมทั้งเดินชมในแถบร้านค้าไปพลางเพื่อไม่ให้เสียเวลา ระหว่างนี้ทั้งสองคนได้พูดคุยสนทนากันอย่างสนุกสนาน จนเกิดความสนิทสนมเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม โดยเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่สำคัญในกรุงปราก และชีวิตประจำวันของทั้งคู่
สองพ่อมดแม่มดรับประทานไอศกรีมจนหมด จังหวะนั้นเองเลวอนสังเกตเห็นครีมวานิลลาซึ่งติดอยู่เหนือริมฝีปากซ้ายของสเตฟาเนีย เขาหันมาชี้นิ้วตรงบริเวณดังกล่าวผ่านทางใบหน้าตนเสมือนเป็นกระจกเงาเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว ยุวสตรีนัยน์ตาสีส้มจึงยกมือซ้ายขึ้นมาเช็ดออกให้สะอาด ก่อนจะซักถามต่อบุรุษรูปงามเพื่อความแน่ใจ
“ออกหมดแล้วหรือยังคะ?”
“ยังเลย ขอโทษนะเดี๋ยวทางนี้จะจัดการให้เอง”
เลวอนถือวิสาสะเอื้อมมือขวาเข้าใกล้ใบหน้าสเตฟาเนีย ใช้ปลายนิ้วโป้งลูบไล้เหนือริมฝีปากเด็กสาวอย่างทะนุถนอมจนครีมวานิลลาเปรอะเปื้อนที่นิ้วตนแทน แล้วนำมาโลมเลียให้สะอาดหมดจดด้วยปลายลิ้น จนอีกฝ่ายเผยสีหน้าตาโตพร้อมทั้งแก้มร้อนผ่าว โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวหรือเตรียมใจเลยสักนิด
“เรียบร้อยแล้วล่ะ” บุรุษจอมดาบเวทฉีกยิ้มอย่างไร้ซึ่งเดียงสา
“ขอบคุณมากค่ะ… อ๊ะ ที่ริมฝีปากของรุ่นพี่เองก็มีครีมติดอยู่เหมือนกันนะคะ” สเตฟาเนียรีบชักสีหน้าพร้อมทั้งน้ำเสียงให้กลับมาราบเรียบในมาดนิ่งตามปกติ แล้วแจ้งเตือนให้อีกฝ่ายได้รับทราบด้วยเช่นเดียวกัน
“เอ๊ะ ตรงไหนเหรอ?”
บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนออกอาการลนลานเล็กน้อย ในขณะที่เขากำลังยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ด แม่มดสาวจ้าวเสน่ห์ก็พลันเขย่งปลายเท้าเงยศีรษะ ยกสองมือบางสัมผัสกับใบหน้ารูปงามแล้วขยับเข้าไปใกล้ เพื่อให้เรือนร่างเบียดชิดกัน ก่อนจะประทับจูบข้างริมฝีปากขวาอย่างแผ่วเบา ครั้งนี้ถึงคราวที่เลวอนเป็นฝ่ายเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาบ้างแล้ว
“…!!”
“แผล็บ~”
สเตฟาเนียหลับตาเคลิบเคลิ้มสักพักก่อนจะผละริมฝีปากออกห่างจากกันเล็กน้อย แลบปลายลิ้นบางออกมาโลมเลียครีมรสมะนาวซึ่งเปรอะเปื้อนข้างมุมปากของเลวอนให้สะอาด เสร็จแล้วค่อย ๆ ละมือออกจากใบหน้าร่างสูงโปร่งพลางถอยหลังออกห่างหนึ่งก้าว เล่นทำเอาบุรุษหนุ่มผู้ใสซื่อต้องตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ไปชั่วขณะหนึ่ง
“ส… สเตฟก้า?”
“ออกหมดแล้วนะคะ~”
แม่มดสาวผมสีส้มยกปลายนิ้วชี้ขวาขึ้นมาแตะริมฝีปากตนพลางแย้มสรวลจาง ๆ โดยที่ต่างฝ่ายต่างสบตาจ้องมองกันอย่างลึกซึ้ง เลวอนอดคิดมากไม่ได้เลยว่าสิ่งที่เธอกระทำลงไปนั้นถือเป็นการหยอกล้อเขาหรือเปล่า ทั้งที่สเตฟาเนียกลับเริ่มรู้สึกคิดจริงจังต่ออีกฝ่าย ถึงแม้จะผิดต่อโมนิก้าซึ่งเป็นเพื่อนรักของเธอก็ตาม
สองหนุ่มสาวยังคงเที่ยวชมร้านค้า กับสิ่งที่น่าสนใจตามมุมต่าง ๆ ในย่านจัตุรัสเมืองเก่าปรากต่อไป จนกระทั่งตะวันเริ่มคล้อยลงใกล้เส้นขอบฟ้า โดยที่ทั้งคู่ลืมไปเสียสนิทว่ายังมีผองเพื่อนบางคนกำลังกลัดกลุ้มใจ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกตน รวมถึงปัญหาส่วนตัวที่คอยรบกวนภายในจิตใจทุกครั้งเมื่อได้เห็นเลวอนกับสเตฟาเนียใกล้ชิดกัน
อีกทางด้านฝั่งหนึ่ง โมนิก้าได้ระบายความรู้สึกอัดอั้นตันใจที่มีอยู่ ให้วัตสัน อิทสึกิ และฮิคาริสได้สดับรับฟัง