“แหม ๆ เข้าขากันดีเชียวนะสองคนนี้”
ออเดรย์เกริ่นแซวพลางเก็บดาบยักษ์สีดำทั้งสองเล่มลงในฝัก หลังจากที่ได้เห็นเลวอนกับสเตฟาเนียเผยท่าทีสนิทสนมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ในขณะที่โมนิก้าแอบน้อยเนื้อต่ำใจเมินสายตาไปทางอื่นเพื่อหลบหนีภาพบาดตาดังกล่าวนั้นเอง ฮิคาริก็ได้หันไปกล่าวถ้อยคำชมเชยต่อพ่อมดหนุ่มรูปงามด้วยความลำพองใจ
“สิ่งที่พวกเราคอยพร่ำสอนนายตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมามันเพิ่งจะเริ่มออกผลก็วันนี้แหละ ถึงแม้การเคลื่อนไหวจะยังหยาบ ๆ อยู่ก็เถอะ… แต่เป็นเพราะนายพวกเราทุกคนเลยรอดชีวิตมาได้ จงรู้สึกภาคภูมิใจซะเถอะ”
“ท่านฮิคาริ จะพูดจาชมเชยหรือกล่าวขอบคุณกันดี ๆ ก็ไม่มีใครว่าหรอกนะขอรับ” อิทสึกิสบโอกาสพูดจาหยอกล้อ
“น… หนวกหูย่ะเจ้าลูกหมา!” ซามูไรสาวรีบตอบกลับพลางคิ้วขมวดอย่างไม่สบอารมณ์
“ว่าแต่สเตฟก้าได้พลังเวทมาจากไหนกันตั้งเยอะแยะ ถึงขนาดใช้คาถา ‘Hastam in iustitia! (หอกแห่งการพิพากษา) ’ สุดกำลังได้ถึงสองครั้งทั้งที่พละกำลังควรจะหมดเกลี้ยงไปแล้วแท้ ๆ …นายเองก็ด้วยเลวอน ทำเอาเป็นห่วงแทบแย่ เล่นใช้คาถาโบราณขั้นสูงซัดใส่ Aka Manah เต็มพิกัดแต่ก็ไม่ยักออกอาการปางตายให้เห็น อีกอย่างพวกนายสองคนยังไม่ได้ดื่มน้ำยาฟื้นฟูพละกำลังจากฉันเลย นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?”
วัตสันตั้งข้อสังเกตในขณะที่เวสน่านำกระเป๋าสะพายใส่ยาส่งมอบให้แก่ตน และด้วยเหตุนี้เองทุกคน (ยกเว้นแค่เลวอนกับสเตฟาเนีย) จึงพลอยฉุกคิดเอะใจ ส่วนคลาร่าเริ่มกล่าวเสริมข้อสันนิษฐานตามมา
“ตอนที่คุณเลวอนกับคุณสเตฟาเนียโผล่ขึ้นมาจากหลุมใต้ระเบียงบ้าน ตัวดิฉันเองก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังของทั้งคู่ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าประหลาด ในช่วงระหว่างนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือคะ?”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ทุกคนอย่าได้ใส่ใจเลย”
เลวอนพยายามบ่ายเบี่ยงแต่ก็ไม่เป็นผล สเตฟาเนียยังคงปิดปากเงียบพลางเผยสีหน้าราบเรียบไม่เผยพิรุธใด ๆ ทั้งสิ้น ทว่านั่นกลับทำให้พวกออเดรย์รู้สึกคลางแคลงใจมากยิ่งขึ้น แถมจ้องเขม็งใส่สองชายหญิงอย่างไม่ละสายตาราวกับอีกฝ่ายเป็นผู้ต้องสงสัยเสียกระไรกระนั้น
อาเธอเรียรับเสื้อโค้ตแขนยาวสีเขียวที่ฝากเอาไว้กับเวสน่านำมาสวมใส่ให้เรียบร้อย ก้าวเท้าเดินเข้ามาตบบ่าเด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนเบา ๆ พร้อมทั้งแสดงสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ก่อนจะกล่าวเตือนเขาด้วยความปรารถนาดี
“การโกหกหรือปิดบังความลับต่อหน้าซิสเตอร์ถือว่าเป็นบาปอย่างหนึ่งนะ เพราะงั้นรีบสารภาพออกมาซะเถอะ”
เลวอน และสเตฟาเนีย ได้หันไปสบสายตาต่อเวสน่า โดยที่นักพรตสาวจับจ้องมองดูพวกตนด้วยรอยยิ้มไร้ซึ่งเดียงสา จนสองหนุ่มสาวต่างรู้สึกหวั่นวิตก อยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่าควรจะชี้แจงเรื่องราวทั้งหมดนี้ออกไปอย่างไรดี
โมนิก้าถือโอกาสนี้เข้าใกล้ชิดพ่อมดหนุ่มรูปงามกับแม่มดสาวนัยน์ตาสีส้ม เพื่อสำรวจสิ่งผิดปกติตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแบบทุกซอกทุกมุมด้วยสีหน้าคิ้วขมวด ก่อนจะละตัวออกห่างแล้วเริ่มสอบปากคำอีกฝ่ายโดยปราศจากความเกรงใจ
“มีรอยแดงจาง ๆ ตรงบริเวณต้นคอซ้ายของสเตฟก้าคล้ายกับโดนคมเขี้ยวขบกัด เสื้อผ้าของทั้งสองคนมีรอยยับแลดูผิดธรรมชาติ แถมยังแสดงท่าทีสนิทสนมกับคุณเลวอนมากขึ้นต่างจากเมื่อก่อนด้วย… น-นี่อย่าบอกนะว่าทั้งสองคนมีอะไรกันเรียบร้อยแล้ว?”
“ด-เดี๋ยวสิคะคุณโมนิก้า พูดจากล่าวหากันแบบนั้นฉันว่ามันออกจะ…” ซิสเตอร์รีบห้ามปราม
“เป็นไปได้ยังไงกันคะ เพียงแค่ช่วงเวลาสองวินาทีหลังจากที่คุณเลวอนกับคุณสเตฟาเนียตกลงไปยังใต้ชั้นระเบียงแล้วขี่ไม้กวาดบินกลับขึ้นมา แต่กลับฟื้นฟูพลังเวทมากมายมหาศาลได้แบบนั้น เว้นเสียแต่จะใช้เวทมนตร์หรือไอเท็มบางอย่างเพื่อหยุดเวลา… อ๊ะ!?”
ในขณะอธิบายนั้นเองคลาร่าเริ่มเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ โมนิก้าจึงพลันเฉลยปมปริศนาทั้งหมดโดยไม่รีรอช้า
“ใช่ค่ะ สเตฟก้าคือผู้ถือครองนาฬิกาเวทมนตร์สำหรับใช้หยุดเวลาเพื่อสร้างมิติคู่ขนาน หากอ้างอิงตามข้อสันนิษฐานของวัตสันแล้ว โอกาสที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจึงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง… ใช่ไหมล่ะคะทั้งสองคน?”
ด้วยแนวคิดของโมนิก้าและวัตสันนี้เองทำให้เหล่าผองเพื่อนไม่อาจปฏิเสธได้ สเตฟาเนียผู้ซึ่งไม่ได้มีอุปนิสัยชอบพูดจาโกหกใครอยู่แล้วจึงตัดสินใจผงกศีรษะยอมรับข้อกล่าวหา เลวอนเองก็พยักหน้ายืนยันคำตอบโดยดุษณีเช่นเดียวกัน ในขณะที่เขาและเธอต่างเขินอายเล็กน้อยพลางหลบสายตาไปทางอื่น
“เอ๋!? /หา!? /โกหกน่า!?”
เหล่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรพากันส่งเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจ และนั่นก็ทำให้โมนิก้ารู้สึกเจ็บปวดใจมากขึ้นจนปั้นสีหน้าไม่ถูก ไม่นึกเลยว่าเด็กหนุ่มที่เธอแอบหลงใหลมาเป็นเวลานาน จะไปมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับเพื่อนสนิทของตนแม้จะเป็นเหตุสุดวิสัยหรือด้วยความจำเป็นก็ตาม ส่วนคลาร่า ฮิคาริ และเวสน่า ต่างอ้าปากค้างแก้มแดงก่ำถึงใบหู ด้วยความที่พวกเธอยังอ่อนประสบการณ์ในเรื่องรักใคร่แบบผู้ใหญ่
“เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนั้นยังจะมีกะจิตกะใจ… ท-ท-ท-ทำเรื่องน่าอายกันอีกเรอะ นายนี่มันแย่ที่สุดเลย!”
“ได้สเตฟก้าไปเชยชมแบบนี้ แถมยังเป็นสาวงามที่เหล่าวัยรุ่นชายต่างหมายปองอีกด้วย… ไม่เลวเลยนี่นา”
“นี่แกจะโชคดีเกินไปแล้วนะเฟ้ย!”
“ในที่สุดท่านเลวอนก็ได้เติบโตกลายเป็นบุรุษหนุ่มเต็มตัวเสียทีนะขอรับ”
“ร… รุ่นพี่เลวอนร้ายกาจที่สุดเลย!”
ฮิคาริ อาเธอเรีย วัตสัน อิทสึกิ และออเดรย์ ต่างสนทนาต่อพ่อมดหนุ่มรูปงามด้วยอากัปกิริยาที่แตกต่างกันตามลำดับ ในขณะที่เวสน่า และคลาร่า ไม่อาจกลั่นกรองความรู้สึกผ่านถ้อยคำออกมาได้อย่างชัดเจน สเตฟาเนียได้แต่นิ่งเงียบพลางจับจ้องมองโมนิก้าด้วยความสำนึกผิด โดยที่อีกฝ่ายยังคงก้มหน้าเม้มริมฝีปากอย่างขื่นขม
เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายลงไปกว่านี้ เลวอนจึงรีบอธิบายแก้ต่างต่อบรรดาสหายทุกคนอย่างตะลีตะลาน
“ท-ทุกคนอย่าเพิ่งเข้าใจผิดกันสิ เรื่องนี้มันมีเหตุผลอยู่นะ!”
——เพียะ!
เสียงบางอย่างดังกึกก้องขึ้นหลังจากที่เลวอนพูดจบ ทุกคนต่างสะดุ้งตกใจเล็กน้อยเมื่อโมนิก้าได้นำสองมือบางตบเข้าที่ใบหน้าตนจนแก้มแดงฝาด ตอนแรกเขาและสเตฟาเนียแอบทำใจเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มแล้วว่า ทั้งคู่อาจต้องโดนกระทำเช่นนั้นด้วยน้ำมือของอีกฝ่ายเป็นแน่แท้ ไม่ว่าจะเพราะความรู้สึกหึงหวงหรือไม่สบอารมณ์ก็ตาม
“ม… โมนิก้า?”
เลวอนเอ่ยทักเด็กสาวร่างเล็กผมสีน้ำตาลอ่อนอย่างเป็นห่วง โมนิก้าจึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธแล้วเริ่มสนทนาอย่างใจเย็น
“ขอโทษด้วยนะคะ ฉันแค่ประหลาดใจนิดหน่อยจนปรับตัวแทบไม่ทันก็เท่านั้นเอง… ฉันเข้าใจดีค่ะว่าสิ่งที่คุณเลวอนกับสเตฟก้าทำลงไปนั้นเป็นเพราะโดนสถานการณ์บีบบังคับ อีกทั้งยังช่วยให้พวกเราทุกคนรอดชีวิตและเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งลงได้ด้วย แม้ว่าวิธีการจะดูนอกลู่นอกทางเกินไปหน่อยก็ตาม…”
ในระหว่างนี้วัตสันแอบชำเลืองตามองโมนิก้าอย่างเป็นกังวล ด้วยความที่เขาเป็นผู้ชายอีกหนึ่งคนซึ่งใกล้ชิดสนิทสนมกับเธอมากที่สุด จึงพอคาดเดาอารมณ์ส่วนลึกที่เก็บซ่อนเอาไว้ภายในใจของอีกฝ่ายออก ส่วนเลวอนเริ่มเกริ่นต่อสมาชิกทุกคนด้วยท่าทีสำนึกผิด
“ทุกคนคงจะโกรธผมงั้นสินะครับ เรื่องที่พวกเราลงมือทำอะไรแบบนั้นโดยพลการ…”
“ทำไมพวกเราต้องโกรธด้วยล่ะคะ ก็ในเมื่อทั้งสองคนยอมทำเพื่อพวกเราถึงขนาดนี้ ความจริงฉันกลับรู้สึกทึ่งและดีใจด้วยซ้ำที่พวกคุณยังนึกถึงความปลอดภัยของเพื่อนร่วมทีม ทั้งที่ตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเหมือนกัน… หรือว่าคุณเลวอนไปบังคับขืนใจสเตฟก้ากันล่ะคะ?”
โมนิก้าหันไปซักถามเพื่อนสนิทตน สเตฟาเนียจึงให้คำตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบฟังดูสุขุม โดยที่ภายในใจเธอแอบรู้สึกผิดต่อคู่สนทนาด้วยเช่นเดียวกัน
“เปล่าค่ะ ฉันเป็นคนเสนอความคิดนี้เอง… ในตอนนั้นฉันไม่มีพลังเวทเหลือพอที่จะขี่ไม้กวาดบินขึ้นมาจากชั้นใต้ดินได้ ครั้นจะดื่มเลือดของรุ่นพี่เลวอนเพื่อฟื้นฟูพลังเวทก็คงต้องใช้เป็นลิตร และนั่นอาจทำให้ร่างกายเขาเกิดอาการช็อกได้ เพราะงั้นเราสองคนก็เลย…”
“ล… แล้วแบบนี้คุณสเตฟาเนียจะไม่เป็นไรเหรอคะ ถ้าเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา…?”
เวสน่าเอ่ยทักท้วงถึงปัญหาดังกล่าวด้วยท่าทีพะวงใจ ทุกคนจึงพลอยสะดุ้งตกใจเผยสีหน้าเคร่งเครียดตามเธอ ยกเว้นวัตสันกับสเตฟาเนียเท่านั้น พ่อมดหนุ่มนักปรุงยาพลันสบโอกาสนี้กล่าวชี้แจงทันทีเพื่อให้เหล่าบรรดาสมาชิกคลายความวิตก
“อย่ากังวลไปเลยซิสเตอร์ ยัยนี่ชำนาญเรื่องการปรุงยาประเภทนั้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นยาเสียสาว ยาต้องเสน่ห์ แม้แต่ยาคุมกำเนิดก็ไม่เว้น เพราะงั้นไม่ท้องง่าย ๆ หรอก แถมยังทำขายให้เหล่าวัยรุ่นสาวใช้อีกด้วย… อีกอย่างดูเหมือนเจ้าตัวน่าจะเคยผ่านประสบการณ์ด้านนั้นมาบ้างแล้วแหละถึงได้กล้าทำอะไรห่าม ๆ แบบนี้”
เหล่าแม่มดวัยเยาว์ต่างถอนหายใจโล่งอกหลังจากที่ได้ยินคำอธิบายดังนั้น โดยเฉพาะโมนิก้าผู้ซึ่งเผยกิริยาท่าทีเบาใจอย่างชัดเจน สเตฟาเนียพลันจ้องเขม็งใส่วัตสัน พร้อมทั้งพูดจาทักท้วงแก้ไขประโยคชวนเข้าใจผิดอย่างไม่รีรอ
“เสียมารยาท นี่ถือเป็นครั้งแรกของฉันเลยนะคะ”
“ก-โกหกน่า!? …นี่แกโชคดีเกินไปแล้วนะเฟ้ยเจ้าเลวอน!”
วัตสันเข้าไปกระชากคอเสื้อพลางเขย่าร่างเลวอนด้วยความอิจฉา ฮิคาริเผยสีหน้าท่าทีบึ้งตึงแสดงความไม่พึงพอใจต่อบุรุษรูปงาม แม้นว่าเธอจะพอเข้าใจถึงเหตุผลของอีกฝ่าย แต่ก็มิอาจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นได้แบบทันทีทันใดนัก
“นายนี่มันศัตรูสำหรับผู้หญิงชัด ๆ จากนี้ไปห้ามเข้ามาใกล้ฉันเกินสองเมตรโดยเด็ดขาด”
“ธ… โธ่ คุณฮิคาริ”
เลวอนถึงกับคอตกอย่างเศร้าใจ หลังจากถูกถ้อยคำของซามูไรสาวทิ่มแทงใส่พร้อมด้วยสายตาดูแคลน สเตฟาเนียจึงตัดสินใจกล่าวปกป้องเขา ทั้งที่เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ได้มีใครเป็นฝ่ายผิดเลย
“ถ้าจะกล่าวโทษคุณเลวอนล่ะก็ เช่นนั้นฉันขอเป็นฝ่ายยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียวเองค่ะ เพราะฉันเป็นคนเชิญชวนและยื่นข้อเสนอนั้นให้แก่เขา…”
“ไม่ใช่นะ เป็นเพราะผมต่างหากที่ไม่ยอมหักห้ามใจตัวเองให้ดี ทั้งที่บางทีมันอาจจะมีหนทางอื่นนอกเหนือจากนี้ก็ได้ เพียงแต่พวกเรามองไม่เห็นมันก็เท่านั้นเอง อีกอย่างถ้าหากทำแบบนั้นคนที่เสียหายจะมีแต่สเตฟก้า ขืนเป็นแบบนี้สู้ให้ผมยอมโดนทุกคนเกลียดใส่ยังจะดีเสียกว่าเลย…!”
บุรุษจอมดาบเวทผมสีขาวโพลนไม่ยอมน้อยหน้า เขาหันไปห้ามปรามพร้อมพูดจาปกป้องเด็กสาวจ้าวเสน่ห์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ จนอาเธอเรียถึงกับเอ่ยแซวลูกศิษย์ตนด้วยความเอ็นดู
“ว้าว… นายนี่มันสุภาพบุรุษกว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีกแฮะ”
“ก่อนหน้านี้ฉันเคยคิดอยู่เหมือนกันนะคะว่า สองคนนี้แอบมีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกันบ้างรึเปล่า ที่แท้ก็ตรงนิสัยชอบปกป้องพวกพ้องนี่เอง… ถือเป็นเรื่องที่ดีมากเลยล่ะค่ะ” เวสน่ากล่าวชื่นชมต่อเลวอนและสเตฟาเนียอย่างภาคภูมิใจ
“อะแฮ่ม! เลิกโทษตัวเองกันได้แล้วค่ะ” โมนิก้าส่งเสียงกระแอมด้วยความหึงหวง ก่อนจะอธิบายต่อไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นปนเศร้าสร้อย “เพราะแบบนี้ฉันถึงทำใจยอมรับได้ยังไงล่ะคะ ในเมื่อทั้งสองคนยินยอมด้วยความเต็มใจ และตัวฉันเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงงี่เง่าถึงขนาดไม่ยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่น… เพราะถ้าหากเป็นฉันเองก็คงตัดสินใจทำเรื่องแบบนั้นเหมือนกัน”
“โมนิก้า…”
สเตฟาเนียเรียกขานชื่อเพื่อนสนิทอย่างแผ่วเบาพลางจับจ้องมองดูท่าทีที่เข้มแข็งของอีกฝ่าย เธอในตอนนี้พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างในตัวโมนิก้าแล้ว ว่าเพราะเหตุใดแม่มดสาวร่างอรชรคนนี้ถึงออกอาการหึงหวงหรือมักใกล้ชิดเลวอนอยู่บ่อยครั้ง และนั่นก็ทำให้ตอกย้ำความรู้สึกผิดภายในใจมากยิ่งขึ้น
เลวอนไม่ได้เป็นบุรุษหนุ่มสมองทึบ ความจริงเขาพอจะทราบเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าโมนิก้าแอบรู้สึกอย่างไรกับตน เนื่องจากตัวเขาเองก็แอบชื่นชอบและรักใคร่เอ็นดูเธอไม่แพ้กัน ด้วยเหตุนี้จึงแอบรู้สึกเจ็บปวดใจทุกครั้งเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายแสดงสีหน้าท่าทีเศร้าสลดออกมา
ระหว่างนั้นเองวัตสันได้เอ่ยถ้อยคำซาบซึ้งต่อสองหนุ่มสาวผู้ห้าวหาญ เพื่อทำลายบรรยากาศอันหมองหม่นให้หมดสิ้น
“จะยังไงก็เถอะ เลวอน สเตฟก้า ขอขอบคุณพวกนายสองคนมากเลยนะที่อุตส่าห์ทำเพื่อพวกเราถึงขนาดนี้ ไม่งั้นล่ะก็คงได้ตายหมดยกปาร์ตี้แหง ๆ …เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพวกนายสองคนน่ะอย่าได้คิดมากไปเลย พวกเราไม่ได้ว่าอะไรหรอก”
“แหม ๆ เพิ่งจะเคยได้ยินรุ่นพี่วัตสันพูดขอบคุณสเตฟก้าก็วันนี้แหละ” ออเดรย์รีบสบโอกาสนี้กล่าวหยอกล้อบุรุษหนุ่มนักปรุงยาจอมมาดทะเล้นอย่างเป็นกันเอง
“เงียบไปเลยเฟ้ย!”
วัตสันเผยสีหน้าบึ้งตึงใส่จิ้งจอกสาวด้วยท่าทีลนลาน ทำเอาเหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสเริ่มฉีกยิ้มส่งเสียงหัวเราะในลำคอทันใด ทว่าไม่นานนักโมนิก้าก็ได้ตกอยู่ในห้วงอารมณ์น้อยเนื้อต่ำใจอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มสนทนาถึงภารกิจที่เกิดขึ้นในวันนี้ขึ้นมา
“สุดท้ายแล้วตัวฉันไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับทุกคนเลย ทั้งที่คุณเลวอน สเตฟก้า และทุกคนในแนวหน้าต่างเสี่ยงอันตรายเข้าปะทะกับ Aka Manah อย่างกล้าหาญ… พูดตามตรงฉันรู้สึกเจ็บใจในความอ่อนแอและความขี้ขลาดของตัวเองเหลือเกิน ถ้าหากฉันเก่งกาจพอที่จะร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับทุกคนได้ล่ะก็…”