แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 30: ปีศาจนักเชิดมนุษย์ (2)

               หลังจากแจงแจกหน้าที่เสร็จสิ้น เด็กหนุ่มรูปงามนัยน์ตาสีอำพันจึงลุกขึ้นยืนหันหน้าไปยังทิศทางของศัตรู เคลื่อนออกห่างจากพวกเวสน่าประมาณห้าถึงหกก้าว ตามด้วยสไลด์เท้าขวาไปข้างหน้าพลางคลี่ผ้าสีดำซึ่งพันรอบศัสตราวุธออก แสดงให้เห็นถึงด้ามคาตานะสีดำสลับลวดลายสีทองส่องประกายสดใส เป็นดาบที่พ่อของอิทสึกิได้ตีขึ้นมาให้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง

               เลวอนเลื่อนมือซ้ายกำฝักดาบ หมุนพลิกให้ส่วนซึ่งเป็นคมหันเข้าหาพื้น แล้วนำมืออีกข้างจับด้ามคาตานะให้มั่นคงในลักษณะถือศัสตราวุธแบบชี้คมลงด้านล่างหรือกลับหัว ก่อนจะประกาศให้เหล่าสมาชิกทีมเตรียมตัวเริ่มแผนการโต้กลับไปดังนี้

               “เตรียมร่ายคาถาเพลิงเอาไว้ หลังจากที่ผมให้สัญญาณแล้ว รีบลงมือเผาศพพวกนี้ให้สิ้นซากไปเลย!”

               “ไม่ไหวหรอกเลวอน ขนาดใช้คาถาธาตุไฟขั้นสูงโจมตียังทำอะไรพวกมันไม่ได้เลย!”

               ฮิคาริโต้แย้ง โดยที่พวกเธอและฝ่ายศัตรูต่างหยุดเคลื่อนไหวเพื่อดูชั้นเชิง ทว่าบุรุษจอมดาบเวทยังคงยืนยันความตั้งใจด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพร้อมทั้งแววตาขึงขัง แตกต่างจากเลวอนผู้แสนสุภาพใจดีตามปกติ

               “ลองเชื่อใจผมดูสักครั้งเถอะ ตอนนี้ผมหาวิธีหยุดยั้งซากศพได้แล้วล่ะ”

               ชิ้ง…!

               เลวอนดึงคาตานะออกจากฝักเพียงหนึ่งคืบเตรียมพร้อมประจัญบาน โดยที่แววตาคู่นั้นจับจ้อง มองไปยัง Aka Manah อย่างไม่ลดละ อิทสึกิสังเกตเห็นท่าจับดาบของสหายร่วมรบดังนั้นก็ถึงกับส่งเสียงอุทานแปลกใจทันที

               “ท… ท่าชักดาบแบบนั้นมัน…!”

               “Sonantis tonitrui! (อัสนีวายุ) ”

               สิ้นเสียงคำร่ายคาถา ประกายแสงสายฟ้าจึงพลันสว่างวาบปกคลุมร่างของพ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนตามด้วยสายลมหมุนวนรอบตัว ดูดกลืนพลังเข้าไปภายในร่างแล้วตั้งสมาธิให้มั่นคง วิชานี้คือเทคนิคเวทมนตร์ผสมผสานโดยนำเอารูปแบบของพลังสองชนิดทั้งจากสายตะวันตกกับสายตะวันออกมารวมกัน กลายมาเป็น “ลำนำสัประยุทธ์ (Cantus Bellax) ” นั่นเอง

               ซูมมมม! เปรี๊ยะเปรี๊ยะ…!

               ปีศาจนักเชิดมนุษย์หรือ Aka Manah ถึงกับแสยะยิ้มอย่างชอบใจ หลังจากที่ได้เห็นอีกฝ่ายเริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์เป็นที่ประจักษ์ พร้อมเอ่ยน้ำเสียงแหบแห้งออกมา

               “น่าสนใจนี่ดี ไหนลองแสดงฝีมือให้ข้าดูหน่อยสิ ว่าเจ้าคู่ควรที่จะเป็นหุ่นเชิดตัวโปรดของข้าหรือไม่”

               เลวอนไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ๆ รีบขยับเท้าเกิดเสียงกระแทกดัง “ตึ้ง!!” จนพื้นระเบียงที่ทำจากแผ่นไม้ยุบตัวลงตามแรงกด ภายในเสี้ยววินาทีร่างของเด็กหนุ่มก็ได้พลันอันตรธานหายไปจากสายตาทุกคน หลงเหลือไว้แค่เพียงประกายสายฟ้าเท่านั้น

               “ห… หายตัวไปแล้ว!?”

               โมนิก้าเอ่ยน้ำเสียงประหลาดใจ แม้แต่สมาชิกทีม Order of the Dragon ที่เหลือเองยังต้องเผยอากัปกิริยาดังกล่าวเช่นเดียวกัน Aka Manah รีบหันซ้ายแลขวาค้นหาร่องรอยและอ่านการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ แต่กลับไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติอะไรจนกระทั่งเกิดเสียงบางอย่างดังขึ้นจากทิศทางด้านบน

               ฉัวะ… ปึ้ง!

               เลวอนใช้คมดาบตัดลวดสีชาดซึ่งห้อยระโยงระยางลงมาจากโคมไฟคริสตัลบนเพดาน เท้าทั้งสองสัมผัสเข้ากับแผ่นไม้ตรงบริเวณดังกล่าวในท่าย่อเข่าแบบกลับหัวเตรียมจู่โจม ส่วนดาบคาตานะถูกชักออกมาจากฝักจนสุด แสดงให้เห็นถึงลักษณะของศัสตราวุธซึ่งทำออกมาได้อย่างประณีตงดงามและไร้ที่ติ เนื้อโลหะส่วนคมสีทองกับตัวแผ่นเหล็กสีเงินนั้นแทบจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน หากบอกว่าของสิ่งนี้คืองานศิลปะอันล้ำค่าก็คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงแต่อย่างใดเลย

               ไม่ทันที่ปีศาจนักเชิดมนุษย์จะแหงนมองขึ้นไปดูให้เห็นเต็มสองตา บุรุษวัยเยาว์ก็เร่งออกแรงกระแทกเพดานพุ่งลงเข้าหาศัตรูร่างสูงใหญ่ หมุนข้อมือขวาทวนเข็มนาฬิกาพลิกให้ส่วนปลายแหลมคมชี้ออกนอกตัว ตัดลวดเส้นบางสีแดงที่เชื่อมเข้ากับปลายนิ้วของอีกฝ่ายทั้งหมดจนขาดสะบัดในคราเดียว

               ฉึบ… ตึ้ง!

               “ตอนนี้แหละ!”

               หลังจากลงคมดาบพร้อมแตะเท้าลงสู่พื้นเสร็จสิ้น เลวอนรีบเปล่งเสียงให้สัญญาณแก่พวกพ้องโดยพลัน Aka Manah ได้สูญเสียลวดที่ใช้ในการควบคุมซากศพ และไม่สามารถส่งพลังเวทเพื่อป้องกันความเสียหายให้แก่ร่างไร้วิญญาณได้อีกต่อไป

               “Flamma ignisa! (พระเพลิงพิโรธ) ”

               “On aganaya in maya sowaka! (อัคนีสีชาด) ”

               พรึ่บพรึ่บ ซูมมมมม!

               ไม่รอช้าเหล่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรจึงลงมือร่ายคาถา วัตสัน คลาร่า สเตฟาเนีย และโมนิก้า ขับขานมนตราเป็นภาษาละติน ส่วนอิทสึกิและฮิคาริร่ายบทสวดลงทัณฑ์ พร้อมใจกันชี้อุปกรณ์สื่อนำไปยังบรรดาซากศพทั้งยี่สิบร่าง เผามอดไหม้พวกมันด้วยเปลวเพลิงอันร้อนระอุ ลุกโชนกลายเป็นจุณไม่เหลือแม้แต่เศษซากเดียว

               “พวกเจ้า บังอาจทำลายเหล่าหุ่นเชิดที่น่ารักของข้า อภัยให้ไม่ได้!”

               ปีศาจนักเชิดมนุษย์แสดงอาการโทสะพร้อมทั้งเหวี่ยงกำปั้นหมายจะทำร้ายเลวอน บุรุษหนุ่มผมสีขาวโพลนซึ่งตั้งใจจะเอื้อมมือคว้ากระเป๋าเป้ของวัตสันไปจากอีกฝ่าย จำต้องถอดใจรีบถอยออกห่างจากศัตรูอย่างรวดเร็วเพียงชั่วพริบตา เพื่อไม่ให้ร่างกายตนเองได้รับบาดเจ็บจนปลุกวิญญาณของวลาดที่สามขึ้นมา

               จังหวะนั้นเอง อาเธอเรียซึ่งได้ร่ายคาถา “Sonantis tonitrui (อัสนีวายุ) ” ใส่ร่างตนเพื่อเพิ่มพละกำลังเตรียมพร้อมเอาไว้ล่วงหน้า ตามแบบฉบับเวทมนตร์ผสมผสาน “ลำนำสัประยุทธ์ (Cantus Bellax) ” ก็รีบพุ่งเข้าหา Aka Manah ฉับพลัน ก้มตัวลงต่ำง้างหมัดขวาจากด้านล่างก่อนจะเกริ่นน้ำเสียงอันดุดันปิดท้าย

               “คู่ต่อสู้ของแกคือฉันต่างหาก!”

               ——เปรี้ยง!!

               ยุวสตรีจอมพลังเหวี่ยงกำปั้นขวาเสยเข้าปลายคางศัตรูด้วยท่าอัพเปอร์คัต จนร่างแกร่งลอยขึ้นสูงเหนือพื้นทะลุเพดาน ทะยานสู่เวหาเพียงชั่วพริบตาเดียว กระแทกใส่ม่านพลังที่คลาร่าได้ร่ายคาถากางปิดกั้นเอาไว้ ขณะที่ปีศาจนักเชิดมนุษย์กำลังจะร่วงหล่นลงสู่พื้น อาเธอเรียก็ได้กระโดดขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งเหนือร่างตนเข้าเสียแล้ว

               “ว… ไวมาก!”

               Aka Manah ชื่นชมอย่างประทับใจ แต่ผลตอบแทนที่ได้รับคือการถูกแม่มดสาวสุดบ้าบิ่นเหวี่ยงขาสะบัดลงในแนวดิ่ง ส้นของรองเท้าเสริมเหล็กซัดกระแทกเข้าใส่หน้าท้องของอสูรร่างกำยำดัง “พลั่ก!!” จนพุ่งลงสู่เบื้องล่างกระแทกกับพื้นระเบียง เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่วบริเวณ

               ตึ้ง!!

               ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ของปีศาจนักเชิดมนุษย์พร้อมกับแรงกระทบอันรุนแรงมหาศาล ส่งผลให้พื้นแผ่นไม้แตกหักยุบตัวจนร่างจมลงไปเกือบมิด ท่ามกลางหมอกควันซึ่งปกคลุมไปทั่วพื้นที่บดบังทัศนวิสัย และเพื่อไม่ให้ Aka Manah มีโอกาสฟื้นตัวหรือลุกขึ้นมาตั้งรับได้อีก อาเธอเรีย ฮิคาริ และอิทสึกิ จึงอาศัยโอกาสนี้พุ่งเข้าตีเผด็จศึก ไม่ว่าจะเป็นทิศทางจากเหนือพื้นพสุธา หรือแม้กระทั่งขนาบซ้ายขวาก็ตาม

               “ไปลงนรกซะไอ้กร๊วก!”

               “จบเพียงแค่นี้แหละเจ้าอสูรร้าย!”

               “เสร็จข้าล่ะขอรับ!”

               วูบบบบบ!

               ขณะเดียวกัน สองเขาอันแหลมเกลียวข้างศีรษะของอสูรร่างแกร่งพลันส่องสว่างสีแดงฉาน เลวอนสังเกตเห็นถึงความผิดปกติจึงกล่าวเตือนพรรคพวกให้รีบหยุดยั้งการกระทำที่ฮึกเหิมอย่างร้อนรนใจ

               “ทุกคนรีบถอยออกมาเร็วเข้า!”

               ควับ ฉึบฉึบฉึบ!

               ดูเหมือนว่าบุรุษหนุ่มรูปงามจะเตือนช้าไปเสียแล้ว ลวดสีเงินบางเฉียบหลายสิบเส้นซึ่งมีความเหนียวและทนทานกว่าได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากเขาทั้งสองข้างของ Aka Manah เข้าไปรัดพันร่างของอิทสึกิ ฮิคาริ และอาเธอเรียเอาไว้ตามอวัยวะและข้อต่อส่วนต่าง ๆ จนทั้งสามคนไม่อาจขยับตัวได้ดั่งใจนึก พร้อมทั้งถูกควบคุมให้ลอยอยู่เหนือพื้น

               “ด… เดี๋ยวสิขอรับ นี่มันอะไรกันเนี่ย!?”

               “ขยะแขยงเป็นบ้าเลย ปล่อยเดี๋ยวนี้นะไอ้ปีศาจโรคจิต!”

               “แย่แล้ว เจ้านี่มันดูดกลืนพลังเวทของพวกเราผ่านทางเส้นลวด!”

               เทพสุนัขหนุ่ม ซามูไรหญิง และแม่มดสาวจอมห้าวต่างส่งเสียงหวั่นวิตกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเหล่าผู้ใช้ศัสตราวุธไม่สามารถนำคมดาบตัดเส้นลวดซึ่งมีความยืดหยุ่น แข็งแรง และเหนียวแน่นเหล่านี้ให้ขาดสะบั้นได้ วัตสันเห็นดังนั้นถึงกับสบถใส่อย่างไม่สบอารมณ์ รีบลุกขึ้นถือไม้กายสิทธิ์ก้าวเท้ามุ่งปรี่เข้าหาศัตรูราวกับจะระเบิดอารมณ์ออกมา

               “ไอ้ปีศาจบ้านี่ ลูกเล่นเยอะเกินไปแล้วนะเฟ้ย ฉันจะไม่ทนดูอยู่เฉยล่ะ…! โมนิก้า สเตฟก้า เลวอน ตอนนี้มีแค่พวกเราเท่านั้นที่ยังพอขยับเคลื่อนไหวโจมตีได้อยู่ รีบล้อมตัวเอาไว้แล้วรุมกระทืบมันซะ!”

               “เข้าใจแล้วค่ะ!”

               “ถึงจะใช้คำที่ไม่สุภาพสักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ฉันขอยอมทำตามคำสั่งของคุณอย่างเต็มใจค่ะ”

               โมนิก้าและสเตฟาเนียขานรับคำสั่งของพ่อมดนักปรุงยา พร้อมทั้งกระจายกำลังล้อมรอบปีศาจนักเชิดมนุษย์ให้อยู่จุดศูนย์กลาง ซึ่งพวกเธอเองต่างก็รู้สึกโกรธแค้นต่อศัตรูที่เล่นงานพวกพ้องของตนจนได้รับอันตรายเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าสมาชิกที่เหลืออยู่ในตอนนี้จะไม่ได้เก่งด้านการต่อสู้ในระยะประชิดก็ตามที

               “ถ้างั้นผมขอรับหน้าที่เป็นแนวหน้าให้เอง”

               เลวอนเกริ่นอาสาพลางถือคาตานะให้กระชับในลักษณะชี้ปลายคมลงล่างเช่นเคย โดยลดมือขวาที่ถือศัสตราวุธให้อยู่ในระดับเอวฝั่งขวา ยื่นแขนอีกข้างงอศอกไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อยกการ์ดตั้งรับ โดยนำวิชาดาบและศิลปะการต่อสู้มือเปล่ามาผสมผสานกัน ซึ่งการจัดตำแหน่งล้อมศัตรูสี่ทิศทางเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ Aka Manah รับมือกับพวกเขาได้ยากลำบากแล้ว

               “ฉ… ฉันเองก็ต้องไปช่วยพวกรุ่นพี่ด้วย”

               ออเดรย์ซึ่งนอนอยู่ในอ้อมแขนของเวสน่าพยายามประคองตัวลุกขึ้น ทว่าเนื่องด้วยอาการบาดเจ็บจากการโจมตีอย่างหนักหน่วงและเพิ่งจะฟื้นตัวได้ไม่นานนัก จึงไม่มีแรงพอจะขยับแขนขามากนัก นักพรตหญิงรีบห้ามปรามจิ้งจอกสาวเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง โดยยังคงร่ายคาถารักษาคอยประคับประคองอาการให้แก่อีกฝ่ายไปพลาง

               “ไม่ได้นะคะ อย่างน้อยก็ควรบรรเทาอาการช้ำในให้หายดีเสียก่อน!”

               วัตสันไม่ยอมเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ รีบตวัดไม้กายสิทธิ์เปล่งวาจาร่ายคาถาเปิดฉากโจมตีใส่ปีศาจนักเชิดมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือพวกพ้องที่กำลังถูกอีกฝ่ายพันธนาการร่างเอาไว้ทันที และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ใช้เวทมนตร์สาปแช่งขั้นสูงทำร้ายศัตรูตรงเบื้องหน้าอย่างไม่ลังเล

               “Spiritus draconis! (ลมหายใจมังกร) ”

               ไม่ทันที่พ่อมดนักปรุงยาจะตวัดไม้กายสิทธิ์ Aka Manah ก็ได้ใช้ไพ่ตายปกป้องตนเองโดยนำเอาร่างของฮิคาริมาเป็นโล่กำบัง ทำให้เขาต้องง้างมือหยุดชักไว้เพียงแค่นั้น ก่อนที่อสูรร่างแกร่งจะแสยะยิ้มกล่าวเย้ยหยันอย่างผู้มีชัย

               “ถ้าไม่คิดเป็นห่วงชีวิตของแม่หนูคนนี้ก็ลงมือโจมตีใส่ข้าได้เลย”

               “อ… ไอ้ปีศาจขี้ขลาด!”

               วัตสันกัดฟันสบถจับจ้องมองศัตรูอย่างเกรี้ยวกราด ฮิคาริซึ่งถูกพันธนาการอยู่ก็รีบส่งเสียงตวาดเพื่อเตือนสติเขา

               “อย่าใจอ่อนสิยะเจ้าทึ่ม ไม่ต้องเป็นห่วงฉันแล้วรีบ ๆ จัดการมันไปซะ!”

               “เธอต่างหากที่บ้า นี่มันคาถาสาปแช่งเลยนะเฟ้ย ถ้าเธอตายฉันก็แย่น่ะสิ!”

               ในระหว่างที่สองหนุ่มสาวกำลังถกเถียงกัน โมนิก้าก็ได้ตวัดไม้กายสิทธิ์เอ่ยนามแห่งคาถาขึ้นมา แล้วชี้ไปยังเหล่าเส้นลวดที่พันร่างของพวกอาเธอเรียอย่างระมัดระวังหมายจะตัดให้ขาดสะบั้น

               “Perdere! (คาถาทำลายสสาร) ”

               ฉัวะ!

               เกิดแสงประกายไฟระยิบระยับตรงเส้นลวดนับสิบ ทว่าคาถาดังกล่าวกลับไร้ผลไม่อาจทำให้สิ่งนั้นผุกร่อนแต่อย่างใด Aka Manah เห็นดังนั้นจึงเมตตากล่าวเตือนต่อทุกคนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

               “เปล่าประโยชน์ เส้นลวดเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาจากปลายเขาของข้า มีความเหนียว ยืดหยุ่น และทนทานมากกว่าเส้นลวดปกติหลายเท่าตัว คมดาบของพวกเจ้าตัดมันไม่ขาดง่าย ๆ หรอก… จงยอมรับความพ่ายแพ้เสียเถิด”

               “บ้าเอ๊ย กะอีแค่เส้นด้ายของเล่นพรรค์นี้…!”

               อาเธอเรียพยายามออกแรงสุดฤทธิ์หวังจะสลัดให้หลุดพ้นจากเส้นลวด แต่ด้วยความบางที่ค่อนข้างคมกริบของมันจึงทำให้เสื้อผ้าของเธอเริ่มฉีกขาด มิหนำซ้ำผิวหนังตามร่างกายได้ปรากฏรอยบาดแผลขึ้นมาจนเลือดไหลซิบ ปีศาจนักเชิดหุ่นจึงชี้แจงเพิ่มเติมไปดังนี้

               “ลืมบอกไป ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าอยู่เฉย ๆ อย่าได้ขัดขืนดิ้นรนจะดีกว่า ถ้าไม่อยากให้ร่างกายอันแสนบอบบางของพวกเจ้าถูกแยกส่วนเป็นชิ้น ๆ ล่ะก็นะ”

               “ให้พวกข้าอยู่นิ่ง ๆ แล้วปล่อยให้ท่านสูบพลังไปจนหมดน่ะเหรอ ไม่ตลกเลยนะขอรับ!”

               อิทสึกิโต้คารมโดยที่ตนเองพยายามหาทางดิ้นรนสลัดเส้นลวดออกด้วยเช่นเดียวกัน ไม่นานนักทั้งเขา ฮิคาริ แม้กระทั่งอาเธอเรียเองเริ่มเผยท่าทีอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากถูก Aka Manah ค่อย ๆ สูบพลังเวทกับพลังชีวิตไปทีละน้อย

               เลวอนซึ่งยังอยู่ในโหมดลำนำสัประยุทธ์ตัดสินใจพุ่งเข้าหาอมนุษย์ร่างแกร่ง พยายามใช้คมดาบคาตานะฟันเส้นลวดที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากปลายเขาของอสูรร้ายร่างใหญ่อย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้พวกพ้องของตนตกอยู่ในอันตรายไปมากกว่านี้

               ฉัวะฉัวะฉัวะ! ชิ้ง!

               ต่อให้เป็นคมดาบหรือวิชาลำนำสัประยุทธ์ก็ไม่สามารถตัดลวดสีเงินให้ขาดลงได้ ถึงกระนั้นแล้วบุรุษวัยเยาว์นัยน์ตาสีอำพันยังคงไม่ละทิ้งความพยายาม เขาเปลี่ยนแผนมาโจมตีใส่ Aka Manah อย่างกล้าหาญบ้าบิ่นจนลืมคำนึงถึงขีดจำกัดของตนเอง ทางด้านปีศาจนักเชิดมนุษย์ก็ได้ปล่อยเส้นเหล็กอันเรียวบางปัดป้องการรุกรานจากศัตรู ไม่ว่าจะเป็นทิศทางฝั่งซ้าย ขวา หรือแม้กระทั่งด้านหลังซึ่งเป็นจุดบอดก็ตาม ทำให้คมดาบของเลวอนไม่อาจเข้าถึงตัวมันได้เลยแม้เพียงมิลลิเมตรเดียว

               “ดีมากเจ้าหนู จิตใจมุ่งมั่นแบบนี้ข้าล่ะชอบยิ่งนัก เพราะมันควรค่าแก่การบดขยี้…! ข้าจะยอมเมตตาไม่ใช้พรรคพวกของเจ้าเป็นโล่กำบังดูสักครั้งเพื่อนับถือความพยายามอันสูญเปล่า จงดิ้นรนต่อไปให้สาแก่ใจจนกว่าจะหมดแรงเถิด ฮะฮะฮะ!”

               ฉัวะฉัวะ! ปึ้ง!

               หลังจากพ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนใช้ศัสตราวุธฟาดฟันใส่เป้าหมายเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน เขาก็ได้หยุดการโจมตีกะทันหันพลางส่งเสียงหายใจเหนื่อยหอบ ไม่ว่าจะทุ่มแรงโจมตีสักเท่าใดก็ไม่อาจระคายผิวของอสุรกายตนนี้ได้เลยแม้แต่รอยแผลเดียว ในขณะที่พวกฮิคาริทำได้แค่เฝ้าดูเลวอนด้วยความเป็นกังวลใจ เพราะกลัวว่าเขาจะแสดงอาการป่วยขึ้นมากลางคัน

               จ้าวแห่งนักเชิดซากศพจึงกล่าวน้ำเสียงลำพองใจปนความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

               “อะไรกัน ทำได้แค่นี้เองหรอกเรอะ?”

               “แฮ่ก แฮ่ก… เดี๋ยวก็ได้รู้กันครับว่าความรู้สึกตอนที่โดนแทงข้างหลังมันเป็นยังไง เพราะคนที่พอจะมีฝีมือในการโจมตีระยะประชิดน่ะ เป็นหนึ่งในท็อปคลาสของโรงเรียนเราเชียวนะ”

               เลวอนเผยน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อยพร้อมทั้งคลายวิชาลำนำสัประยุทธ์ โดยที่คราวนี้ตนเป็นฝ่ายแสยะยิ้มออกมาบ้าง Aka Manah เห็นท่าทีของพ่อมดหนุ่มดังนั้นจึงรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล รีบหันหน้ามองดูทางเบื้องหลังอย่างหวาดระแวง แต่กว่าจะรู้ตัวว่าตนเองถูกเบี่ยงเบนความสนใจมันก็สายเกินไปเสียแล้ว

               “Hastam in iustitia! (หอกแห่งการพิพากษา) ”

               สเตฟาเนียยกไม้กวาดด้ามยาวส่งเสียงเรียกขานนามแห่งคาถา โดยจับในลักษณะคล้ายท่าถือหอกโดยหันปลายแท่งชี้ไปยังศัตรู อาวุธคู่ใจของเธอเปล่งแสงสีขาวสว่างวูบวาบสลับกับสีเงินสุกสกาว ก่อนจะก้าวเท้าพุ่งเข้าโจมตีใส่แผ่นหลังของ Aka Manah รีดเร้นพลังเวทมนตร์ทั้งหมดที่มีอยู่อย่างสุดกำลัง หวังปลิดชีพราชันแห่งการควบคุมร่างมนุษย์ให้สิ้นใจในคราวเดียว

               ——เปรี้ยง!!!

               เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่นทั่วอาคารราวกับอสนีบาตผ่าลงมายังภาคพื้นดิน แสงสว่างสีขาวอันเจิดจ้าทำให้สายตาของทุกคนพร่ามัวเกิดอาการมึนงงไปชั่วขณะ การโจมตีด้วยความเร็วเหนือเสียงเมื่อสักครู่นี้ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจยืนนิ่งอยู่เฉยได้ตลอดไปแน่ ต่อให้เป็นปีศาจดุร้ายอย่าง Aka Manah ก็ตาม

               “อั๊ก…!?”

               อีกฝ่ายเซถลาไปข้างหน้าพลางกระอักเลือดออกมา แทนที่ด้ามไม้กวาดจะเสียบทะลุร่างศัตรู ทว่ามันกลับถูกหยุดยั้งเอาไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ชุดสูทสีดำทมิฬโทนแดงซึ่งปีศาจตนนี้สวมใส่อยู่หาได้ปรากฏรอยขีดข่วนหรือฉีกขาดเลยแม้แต่น้อย จนสเตฟาเนียถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตะลึงพรึงเพริด

               “ก… โกหกน่า”

               “เสียใจด้วย แม้แต่เสื้อผ้าชุดนี้เองก็ทำมาจากลวดสีเงินเช่นเดียวกัน”

               Aka Manah หันมาพูดจาเย้ยหยันก่อนจะง้างหมัดขวาเตรียมซัดใส่เด็กสาว โดยนำเส้นลวดสีเงินมาพันไว้รอบกำปั้นเพื่อเสริมแรงโจมตีคล้ายกับการสวมสนับมือ เลวอนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบส่งเสียงเตือนเธอ พร้อมทั้งกระโจนตัวเข้าไปช่วยเหลืออย่างไม่คิดชีวิตทันที

               “สเตฟก้าระวัง!”

               ——เปรี้ยง!!

               พ่อมดหนุ่มผู้กล้าหาญเร่งยกดาบขึ้นมาให้อยู่ในระดับหน้าผากเพื่อตั้งรับการรุกราน โชคดีที่เขาพุ่งตัวเข้ามาช่วยเหลือแม่มดสาวได้ทันท่วงที แต่ด้วยน้ำหนักของอสูรร่างแกร่งที่กดทับลงมาในแนวดิ่งทำให้เลวอนไม่อาจต้านทานรับไหว มิหนำซ้ำพื้นระเบียงแผ่นไม้ซึ่งตนและสเตฟาเนียกำลังยืนเหยียบอยู่ถือเป็นจุดบอบบางมากที่สุด ก็ได้แตกหักทรุดกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่

               ในท้ายที่สุดผลลัพธ์ทั้งหมดจึงลงเอยด้วยประการเช่นนี้

               ครึ่ก… ปึ้ง!!

               “อ๊าาาาาาาาาาาา!!/ว้ายยยยยยยยยย!!”

               เลวอนและสเตฟาเนียได้ตกลงสู่หุบเหวแห่งความมืดภายใต้บ้านร้างสุดแสนจะอันตราย ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าจุดหมายปลายทางของก้นบึ้งแห่งนี้จะมีความลึกชันสักเพียงใด วัตสันและพรรคพวกจึงทำได้แค่เพียงมองดูสองสหายส่งเสียงกรีดร้องร่วงหล่นลงไปในห้วงแห่งปริศนาเท่านั้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ

               “เลวอน!/สเตฟก้า!”

Options

not work with dark mode
Reset