ในห้องเรียนมัธยมศึกษาปลายชั้นปีที่สาม ณ ปราสาทสีขาว เวลา 14 นาฬิกา 40 นาที ขณะนี้การเรียนการสอนสำหรับคาบบ่ายได้เสร็จสิ้นลงก่อนกำหนด ก่อนที่ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟจะแจกแบบฟอร์มชมรมทางเลือกให้แก่เหล่าลูกศิษย์ สำหรับผู้ที่ต้องการคะแนนพิเศษจากวิชาเรียนเสริมทักษะ
กิจกรรมคาบชมรมจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม ในแบบฟอร์มนั้นมีตัวเลือกหลากหลายพร้อมคำอธิบายเบื้องต้น เพื่อให้นักเรียนตัดสินใจได้อย่างถี่ถ้วนก่อนทำการสมัคร อาทิเช่นชมรมปรุงยา ชมรมประวัติศาสตร์เวทมนตร์ ชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ชมรมดาราศาสตร์ หรือแม้กระทั่งชมรมประชาสัมพันธ์เป็นต้น
เหล่าวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่ไม่ชอบความยากลำบากหรือเรื่องราวอันซับซ้อน ก็มักจะเลือกลงชมรมที่ทำกิจกรรมแบบง่าย ๆ ในทางกลับกันยังมีอีกชมรมหนึ่งซึ่งค่อนข้างเสี่ยงอันตรายและไม่เป็นที่นิยมของนักศึกษา แต่ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่าพอสมควรนั่นก็คือชมรมปราบมาร
เลวอน วัตสัน อิทสึกิ และเวสน่า ต่างก้มหน้าก้มตากรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์ม พวกเขาตัดสินใจเลือกชมรมปราบมารตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ฮิคาริเห็นพ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนกรอกตัวเลือกดังกล่าว จึงรีบซักถามเขาอย่างแปลกประหลาดใจ
“ไม่นึกเลยว่าจะเลือกเดินเส้นทางที่เสี่ยงอันตรายแบบนี้ นายแน่ใจแล้วเหรอ?”
“แน่ใจสิครับ” เลวอนผงกศีรษะให้คำตอบอย่างแน่วแน่ “เดิมทีผมตั้งใจอยากจะเป็นจอมดาบเวทอยู่แล้ว อีกอย่างการได้ออกเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์นอกหมู่บ้านจะทำให้เรามีแข็งแกร่งเร็วยิ่งขึ้นด้วย… แล้วคุณฮิคาริล่ะครับ?”
“ฉันเหรอ แน่นอนก็ต้องเลือกชมรมปราบมารน่ะสิ” ซามูไรสาวชูใบสมัครขึ้นมาจนเป็นที่ประจักษ์แก่คู่สนทนา “สำหรับฉันแล้วแต่ละชมรมดูค่อนข้างน่าเบื่อไปหน่อย ดีไม่ดีเดี๋ยวฝีมือเพลงดาบฉันจะขึ้นสนิมเปล่า ๆ”
“ว้าว… ท่านวัตสัน ท่านซิสเตอร์ ดูเหมือนว่าชมรมของพวกเราจะได้สมาชิกคนใหม่เพิ่มขึ้นแล้วนะขอรับ” อิทสึกิเกริ่นอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เห ดูท่าทางพวกนายจะคงเป็นสมาชิกตัวยงเลยล่ะสิ… แต่ฉันกลับไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่มีความสามารถในการปรุงยาอย่างวัตสันและนักพรตผู้ทรงศีลอย่างซิสเตอร์เวสน่า ถึงได้เลือกชมรมนี้ทั้งที่ไม่ใช่สายถนัดของตนเอง? ถ้าเป็นอิทสึกิกับเลวอนก็ว่าไปอย่าง”
ฮิคาริซักถามด้วยความสงสัย วัตสันแย้มสรวลอย่างอารมณ์ดีพร้อมทั้งมอบคำตอบแก่เธอ
“แหม การจะทดลองพืชพรรณสมุนไพรชนิดต่าง ๆ เพื่อปรุงยาสักตัวมันก็ต้องใช้เงินทุนเหมือนกันนะ ถึงแม้ว่าชมรมนี้จะเสี่ยงอันตรายแต่อย่างน้อยก็ยังได้รับค่าตอบแทนสูง แถมยังได้เรียนรู้คาถาชนิดต่าง ๆ ที่ไม่เคยมีสอนในคาบเรียนปกติด้วย”
“สำหรับฉันนอกจากต้องทำเพื่อนำรายได้ไปบูรณะซ่อมแซมศาสนสถานแล้ว ยังต้องนำเงินอีกส่วนหนึ่งคอยดูแลเหล่าแม่ชีกับลูกศิษย์ท่านอื่น ๆ อีกด้วย ที่สำคัญการชำระล้างสิ่งชั่วร้าย รวมถึงใช้พลังเวทมนตร์คอยรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการผจญภัย ก็ถือเป็นอีกหนึ่งงานสำคัญที่ฉันจะต้องทำค่ะ” เวสน่าอธิบายน้ำเสียงนุ่มละมุนด้วยรอยยิ้มบาง
“ส่วนข้า-”
ไม่ทันที่อิทสึกิจะชี้แจงเหตุผลส่วนตัวใด ๆ ฮิคาริกลับแทรกขัดจังหวะเขาเสียกระนั้น
“ที่นายร่วมเข้าชมรมนี้ก็เพราะอยากจะฟัดกับเจ้าภูตผีปีศาจ เพื่อปกป้องผู้คนและคอยผดุงความยุติธรรมใช่ไหมล่ะ?”
“ท… ท่านรู้ได้ยังไงขอรับ!?” เทพสุนัขหนุ่มสะดุ้งโหยงเผยอากัปกิริยาหวาดระแวงทันที
“คนซื่อบื้ออย่างนายน่ะแค่อ้าปากก็มองเห็นลิ้นไก่แล้วย่ะ”
จอมดาบสาวเหล่ตาจ้องมองพร้อมด้วยถ้อยคำเสียดสี อิทสึกิจึงทำได้แค่เพียงคิ้วขมวดแง่งอนหันหน้าหนีอีกฝ่ายแทนเนื่องจากไม่สบอารมณ์ ส่วนเลวอน เวสน่า และวัตสัน ต่างส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ
หลังจากที่บรรดานักศึกษากรอกรายละเอียดลงในแบบฟอร์มเสร็จสิ้น จึงนำใบสมัครส่งมอบให้แก่ยาโรสลาฟซึ่งกำลังนั่งประจำที่ตรงโต๊ะครูผู้สอนหน้าชั้นเรียน ก่อนจะพากันแยกย้ายเดินทางกลับบ้านหรือทำกิจกรรมสันทนาการยามบ่าย เลวอนและเหล่าผองเพื่อนรีบมุ่งหน้าไปยังบริเวณสนามหญ้าลานกว้างใต้ร่มไม้นอกตัวปราสาทสีขาว เพื่อพบปะนัดเจอกับสเตฟาเนีย ออเดรย์ คลาร่า และโมนิก้าอีกครั้ง
“ทุกท่าน ขอโทษที่ทำให้รอนะขอรับ… อ้าว แล้วท่านอาเธอเรียล่ะ?”
อิทสึกิเกริ่นทักทายพลางสอดส่องมองหาบุคคลที่ตนกล่าวถึงจากพวกสเตฟาเนีย ออเดรย์จึงให้คำชี้แจงไปสั้น ๆ
“กลับไปก่อนแล้วล่ะ เห็นบอกว่าต้องฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้น่ะ”
“ยัยนั่นขยันเหมือนเดิมเลยแฮะ” วัตสันบ่นพึมพำ “จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีผู้ชายคนไหนเอาชนะเธอได้เลยสักคน ช่างเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งเกินหน้าเกินตาจริง ๆ”
“ไม่ใช่ว่าพวกรุ่นพี่อ่อนปวกเปียกเองเหรอคะ?” สเตฟาเนียรีบอาศัยจังหวะนี้กล่าวกระแหนะกระแหนใส่ทันที
“อุ๊ก… พักนี้ปากคอเราะรายขึ้นนะสเตฟก้า”
พ่อมดหนุ่มนักปรุงยาผู้มาดทะเล้นถึงกับแสดงอาการกระอักกระอ่วน ในขณะที่เทพสุนัขหนุ่มนั้นทำได้แค่เพียงยิ้มแหยยอมรับความจริงในสิ่งที่เด็กสาวจอมปากจัดเกริ่นมาเมื่อสักครู่เท่านั้น
“คือว่า ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ ดิฉันอยากจะเชิญชวนทุกท่านเข้าร่วมปาร์ตี้น้ำชายามบ่ายที่บ้านสักหน่อย ไม่ทราบว่ามีใครพอจะสะดวกเวลาบ้างไหมคะ?” คลาร่าถือโอกาสเปลี่ยนบทสนทนาด้วยท่าทีสุภาพ เพื่อไม่ให้บรรยากาศดูกร่อยลง
“อ๊ะ ขอโทษด้วยนะครับ วันนี้ผมตั้งใจว่าจะออกไปฝึกซ้อมเวทมนตร์ใกล้พื้นที่นอกเขตหมู่บ้านน่ะ”
“ทางนี้มีธุระสำคัญที่โบสถ์พอดี ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ค่ะ”
“วันนี้ฉันโดนเพื่อนร่วมชั้นตามติดแจจนรู้สึกเมื่อยล้าสุด ๆ เพราะงั้นขอผ่านนะ”
“ช่วงนี้ข้ายังต้องทำหน้าที่เป็นบุรุษไปรษณีย์จนกว่าจะถึงวันพุธนะขอรับ”
“ย… เย็นนี้ฉันมีเรียนพิเศษเกี่ยวกับวิชาพยากรณ์น่ะค่ะ”
“ขอโทษด้วยนะคลาร่า เอาไว้คราวหน้าได้รึเปล่า? พอดีฉันต้องออกลาดตระเวนในพื้นที่ป่านอกเขตหมู่บ้านเพื่อรักษาความปลอดภัยน่ะ ช่วงนี้ยิ่งมีปีศาจพลัดถิ่นหลงทางมาแถวนี้ค่อนข้างบ่อยด้วย”
“ส่วนฉันต้องรีบกลับไปนั่งอ่านตำราสมุนไพรที่บ้านค่ะ”
เลวอน เวสน่า ฮิคาริ อิทสึกิ โมนิก้า ออเดรย์ และสเตฟาเนีย ตอบปฏิเสธด้วยความรู้สึกเสียดายตามลำดับ เมื่อวัตสันเห็นพวกพ้องต่างไม่สะดวกตอบรับคำเชิญก็ถึงกับอ้าปากค้างทำตัวไม่ถูก ก่อนจะแสดงน้ำเสียงท่าทีกระวนกระวายใจออกมา
“อะไรกันเนี่ย ทำไมทุกคนถึงพร้อมใจกันไม่ว่างแบบนี้? ถ้างั้นฉันขอตัวไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นดีกว่า เดินทางไปที่บ้านคลาร่าเพียงลำพังคงดูไม่ดีไม่งามเท่าไหร่… ขอโทษด้วยนะ ใจจริงฉันอยากจะเข้าร่วมปาร์ตี้น้ำชามาก ๆ เลยล่ะ แต่เจ้าเลวอนกับอิทสึกิดันไม่ยอมไปด้วยเนี่ยสิ”
“น่าเสียดายจัง… ไม่เป็นไรค่ะดิฉันเข้าใจ แต่ถ้าหากทุกท่านสนใจล่ะก็เชิญแวะมาเยี่ยมที่บ้านดิฉันได้ทุกเมื่อเลยนะคะ ทางนี้ยินดีต้อนรับทุกคนเสมอ”
แม่มดสาวร่างเล็กผมทวินเทลแย้มสรวลด้วยท่าทีสุภาพอ่อนหวาน แม้ว่าภายในใจจะแอบผิดหวังเล็กน้อยก็ตามที เมื่อเหล่ามิตรสหายเห็นดังนั้นแล้วจึงเกิดความรู้สึกผิดต่อเธอทันที
“ให้ตายสิ คลาร่าเนี่ยเป็นผู้หญิงที่น่ารักและสุภาพเรียบร้อยชะมัด ผิดกับใครบางคนแถวนี้ที่ชอบใช้คำพูดโผงผางหรือทำตัวไม่สมกับเป็นกุลสตรีเลยสักนิด”
วัตสันพูดปลอบโยนเพื่อแสดงความเห็นใจแก่คลาร่า แล้วเหล่ตามองไปยังออเดรย์ สเตฟาเนีย และโมนิก้าด้วยสีหน้าผิดหวัง สามสาวนงเยาว์จึงพากันคิ้วขมวดกริ้วใส่เด็กหนุ่มมาดทะเล้นเปล่งเสียงทักท้วงออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“ว่าไงนะ!?”
หง่าง… หง่าง… หง่าง…
เสียงระฆังดังขึ้นจากบนยอดหอของปราสาทสีขาวในช่วงเวลา 15 นาฬิกา ถือเป็นสัญญาณหมดคาบเรียนสำหรับวันนี้ เวสน่า นักพรตสาวพราวเสน่ห์จึงสบโอกาสกล่าวคำอำลาแก่ทุกคน
“อ๊ะ… ได้เวลาแล้ว ถ้างั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ ไว้พบกันใหม่พรุ่งนี้ค่ะ”
“พวกเราแยกย้ายกันตรงนี้เถอะ… เดินทางกลับบ้านกันดี ๆ ล่ะทุกคน ไว้เจอกันใหม่นะ”
วัตสันเกริ่นปิดท้าย เหล่าสหายพ่อมดแม่มดวัยใสจึงโบกมืออำลาก่อนจะแยกย้ายจากกันท่ามกลางแสงตะวันยามเย็น โดยที่เลวอนรีบเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังพื้นที่ใกล้นอกเขตหมู่บ้านทางฝั่งทิศเหนืออย่างรวดเร็วตาม ประสาพ่อมดหนุ่มผู้ร้อนในวิชา
ในระหว่างนั้นเอง โมนิก้าซึ่งกำลังจะก้าวเท้าเดินทางออกจากพื้นที่ปราสาทสีขาวแห่งนี้ ก็ได้หันกลับไปมองยังแผ่นหลังของบุรุษหนุ่มผมสีขาวโพลน ที่ค่อย ๆ ถอยห่างไกลออกไปด้วยความกังวลใจเล็กน้อย
“คุณเลวอน…”
ราวกับว่าเธอสัมผัสได้ถึงลางร้ายอะไรบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นแก่เขาในเร็ววันนี้
********************
พื้นที่สุดเขตของหมู่บ้านทางทิศเหนือ ห่างจากปราสาทสีขาวประมาณห้ากิโลเมตร หรือจุดที่เลวอนเคยใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมเวทมนตร์ในช่วงเมื่อไม่นานมานี้
เมื่อถึงที่หมายแล้วเลวอนก็ต้องเผยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย พบว่าตำแหน่งซึ่งเคยร่ายคาถาใส่จนเกิดหลุมแอ่งใหญ่นั้นกลับกลายเป็นพื้นราบตามปกติ ราวกับว่าไม่เคยได้รับความเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นซากต้นไม้หลายสิบท่อนที่ยังคงปรากฏให้เห็นโดยตั้งกองสูงเนินเป็นระเบียบเรียบร้อย
พ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันหยิบไม้กายสิทธิ์จากกระเป๋าเป้สะพายพาดไหล่ขึ้นมา ทำการซ้อมร่ายเวทมนตร์พื้นฐานไปจนถึงระดับขั้นสูงอย่างไม่รีบร้อนท่ามกลางผืนหญ้าอันโล่งกว้างใกล้นอกเขตพื้นที่ป่าทึบ โดยอยู่ไม่ไกลจากถนนเส้นหลักมากนัก ในขณะที่ท้องฟ้าเริ่มครึ้มฝนเป็นสีเทา
เลวอนที่ได้รับแรงบันดาลใจพร้อมทั้งคำแนะนำจากยาโรสลาฟเมื่อช่วงเช้านี้ ทำให้เขามองเห็นถึงความสำคัญในการปกป้องชีวิตและการพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ถึงกระนั้นแล้วเด็กหนุ่มยังรู้จักประมาณตน พยายามฝึกซ้อมโดยที่ไม่ฝืนพละกำลังจนทะลุเกินขีดจำกัด แม้ว่าวันนี้จะรับประทานยาบำรุงร่างกายไปแล้วก็ตาม
แหมะแหมะ… ซ่าซ่า…
หยาดน้ำเริ่มโปรยปรายลงมาหลังจากเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง คอยชโลมทั่วร่างจนชุดแต่งกายเปียกซึม และดูท่าว่าจะเทหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ เดิมทีเลวอนมีนิสัยชอบเดินตากฝน ทว่าเพื่อไม่ให้ตนต้องป่วยเป็นไข้หวัดจึงตัดสินใจหยุดการฝึกซ้อม นำไม้กายสิทธิ์เก็บใส่ลงในกระเป๋าสะพายให้เรียบร้อย แล้วเตรียมมุ่งหน้าเดินทางกลับบ้านทันที
“เอาล่ะ วันนี้พอก่อนดีกว่า…”
“กรี๊ดดดดดด!!”
เสียงกรีดร้องของเด็กสาวรายหนึ่งดังขึ้นภายในป่านอกเขตหมู่บ้าน เลวอนจึงรีบหันหลังกลับไปมองอย่างตื่นตระหนก แม้จะไม่ทราบถึงตำแหน่งที่มาชัดเจน แต่เขาก็พอคาดคะเนและรับรู้ได้ว่าจุดเกิดเหตุนั้นอยู่ตรงบริเวณใด
เกิดอะไรขึ้น หรือว่ามีคนกำลังตกอยู่ในอันตราย แย่แล้วแบบนี้ต้องรีบแจ้งให้ชาวบ้านรู้…! ไม่ได้สิ กว่าจะระดมคนเพื่อช่วยกันค้นหา ถึงตอนนั้นผู้เคราะห์ร้ายคงไม่รอดชีวิตแน่ ๆ …บ้าจริงนี่ไม่ใช่เวลามัวคิดมากนะ ถ้าไม่รีบตามไปช่วยล่ะก็…!”
บุรุษรูปงามใช้เวลาตัดสินใจได้ไม่นาน เขารีบดึงดาบอัศวินออกมาจากฝักแล้วมุ่งหน้าวิ่งออกห่างจากถนนทางเท้าของหมู่บ้านฝ่าเข้าไปในพื้นที่ป่าทึบทันที ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง
“เฮ้ยไอ้หนู ในป่ามันอันตราย อย่าเข้าไปนะ!”
ชาวสวนรายหนึ่งซึ่งกำลังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหาที่หลบฝน เมื่อเห็นดังนั้นจึงส่งเสียงเตือน แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่สนใจคำทัดทานจากผู้หวังดีเลย เพราะต้องแข่งขันกับเวลาเพื่อไม่ให้ตนเข้าช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายช้าจนเกินไป
เลวอนก้าวเท้าเข้ามายังภายในพื้นที่ป่าเป็นระยะทางกว่าหนึ่งร้อยเมตร บริเวณโดยรอบมีเพียงแค่ต้นไม้สูงเรียงรายนับไม่ถ้วน เหล่าใบไม้ตามกิ่งยอดคอยปกคลุมทำให้บรรยากาศแลดูมืดสลัว กลมกลืนไปกับสีของท้องฟ้าที่กำลังเป็นอยู่ ณ ตอนนี้
ขณะเดียวกันเขาชะลอฝีเท้ากวาดสายตามองหาสิ่งที่น่าผิดสังเกต ไม่ได้สนใจว่าสายฝนที่โปรยปรายลงมานั้นจะทำให้ชุดแต่งกายและปลายเส้นผมต้องเปียกชโลมจนร่างกายเริ่มสั่นเทา โชคดีที่กระเป๋าสะพายทำมาจากหนังสัตว์สามารถกันน้ำได้ หาไม่แล้วตำราหนังสือที่เก็บรักษาเอาไว้อยู่ภายในอาจได้รับความเสียหายเป็นแน่
“กรรรรร!”
เสียงคำรามดังแว่วขึ้นจากเบื้องหน้าในระยะทางประมาณ 70 เมตร ถึงแม้ตำแหน่งจะอยู่ไม่ไกลมากนัก ทว่าเนื่องจากสภาพแวดล้อมในตอนนี้ส่งผลให้ทัศนวิสัยย่ำแย่ ขืนดันทุรังวิ่งฝ่าเข้าไปอาจเสี่ยงอันตราย ครั้นมัวเสียเวลาคืบคลานอย่างใจเย็นก็มีโอกาสพลัดหลงจากกันได้ ด้วยเหตุนี้พ่อมดหนุ่มจึงตัดสินใจเร่งฝีเท้าพุ่งไปข้างหน้าแบบไม่คิดชีวิต
ทุกครั้งที่ขยับขาวิ่ง เสียงกระทบระหว่างพื้นรองเท้ากับเศษใบไม้ซึ่งเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นดินก็พลันดังขึ้นตามจังหวะ จนกระทั่งเลวอนมาถึงยังจุดหมายปลายทาง พบเห็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว ณ เบื้องหน้าตนประมาณสิบเมตร จนแทบหยุดชะลอรั้งฝีเท้าตัวเองเอาไว้ไม่อยู่
“น-นี่มัน…!”
เลวอนตาเบิกโพลงด้วยสีหน้าแปลกประหลาดใจ สิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่คือมิโนทอร์ อสูรร้ายผู้มีศีรษะเป็นโค ร่างกายเป็นมนุษย์กำยำร่างใหญ่ผิวสีน้ำตาลสูงประมาณสองถึงสามเมตร โดยที่นัยน์ตาสีแดงฉานกำลังจับจ้องมองบางสิ่งบางอย่างยังผืนแผ่นดินเบื้องล่างภายใต้ร่มไม้เงา
ผู้เคราะห์ร้ายซึ่งนอนสลบอยู่บนพื้นเป็นเด็กสาววัยรุ่นอายุราว 15 ถึง 17 ปี เนื่องจากเธอสวมชุดผ้าคลุมสีดำแบบมีหมวกฮู้ดปกปิดเอาไว้ เลวอนจึงไม่อาจมองเห็นทั้งใบหน้า ชุดแต่งกายอันแสดงถึงเอกลักษณ์ หรือแม้กระทั่งรูปพรรณสัณฐานที่แท้จริงของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
มองดูจากสภาพแล้วสตรีวัยเยาว์รายนี้คงถูกมิโนทอร์ทำร้ายจนหมดสติ ทว่าอมนุษย์ตนนั้นเองก็ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีด้วยเวทมนตร์ขั้นสูงซึ่งยิงเข้าใส่ที่ลำตัวด้วยเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นท่าทางของมันยังคงดูแข็งแรงและอดทนต่อความเจ็บปวดได้เป็นอย่างดี เนื่องจากแผลตรงบริเวณดังกล่าวเป็นเพียงแค่รอยไฟไหม้ธรรมดา
แม้นว่าบุรุษหนุ่มจะไม่รู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของมิโนทอร์ แต่หลังจากที่เขาสังเกตเห็นอวัยวะความเป็นเพศชายของมันกำลังแข็งตัวพร้อมหาคู่ผสมพันธุ์ก็คาดเดาสถานการณ์ได้โดยทันที ก่อนจะส่งเสียงเรียกดึงความสนใจพลางกระชับด้ามดาบในมือไว้ให้มั่น แล้วตั้งท่าเตรียมโจมตี
“ถอยออกห่างจากผู้หญิงคนนั้นซะ!”
เลวอนรู้ดีว่าต่อให้กล่าวคำสั่งออกไปก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใดทั้งสิ้น เพราะอมนุษย์ผู้มีศีรษะเป็นสัตว์ส่วนใหญ่ย่อมไม่เข้าใจภาษาคนทั่วไป แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้โง่เขลาถึงขนาดจะร่ายคาถาขั้นสูงโจมตีใส่มิโนทอร์ ทั้งที่เบื้องล่างยังมีเด็กสาวนอนสลบไสลอยู่ ขืนลงมือสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ทันระวังอาจเป็นอันตรายต่อเธอได้
“กรรรรร!!”
การเบี่ยงเบนความสนใจได้ผล มิโนทอร์หันมาจับจ้องมองพ่อมดผู้กล้าหาญตามเสียงเรียก ก้าวเท้าเข้าพุ่งจู่โจมอย่างกะทันหันโดยไม่ทันได้ตั้งตัว มันแผดคำรามแสดงท่าทีไม่พอใจเรื่องที่ตนถูกขัดจังหวะ พร้อมโน้มตัวลงต่ำหวังจะใช้เขาบนศีรษะไล่ขวิดใส่เป้าหมาย
เลวอนรีบเบี่ยงตัวไปทางขวาเพื่อหลบหนีการโจมตี ปล่อยให้มิโนทอร์วิ่งพุ่งชนใส่ต้นไม้เกิดเสียงดัง “ตู้ม!” จนแผ่นดินสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ ทว่าด้วยแรงปะทะเพียงแค่นี้ไม่อาจหยุดยั้งความตั้งใจของมันได้ ระหว่างนั้นเองบุรุษหนุ่มผมสีขาวโพลนอาศัยจังหวะนี้ตวัดดาบอัศวินแทนไม้กายสิทธิ์ เปล่งวาจาร่ายคาถาโจมตีใส่อีกฝ่ายแบบฉับพลัน
“Ամպրոպ! [Amprop (อสนีบาตพิฆาต) ] ”
เปรี้ยง!!
ลำแสงสายฟ้าสีขาวถูกปลดปล่อยออกจากตัวคมดาบสว่างวูบวาบ พุ่งเข้าใส่ร่างอมนุษย์ก่อกำเนิดเสียงกัมปนาท มันรีบยกสองแขนขึ้นมาปกป้องใบหน้า จนร่างแกร่งสูงใหญ่ส่งกลิ่นเหม็นไหม้เนื่องจากโดยเปลวเพลิงอัสนีแผดเผา ถึงกระนั้นแล้วเวทมนตร์โจมตีพื้นฐานทั่วไปกลับไม่ระคายเคืองผิว หรือทำให้มันเกิดแผลถลอกได้เลยแม้แต่ปลายเล็บเดียว
มิโนทอร์กระทืบสองฝีเท้าลงบนพื้นดินออกตัวพุ่งเข้าชาร์จใส่คู่ต่อสู้ เหวี่ยงหมัดเข้าหาด้วยความเร็วสูงสุด จนผืนพสุธาแตกระแหงเป็นรอยร้าวพร้อมทั้งหยาดน้ำฝนกระเซ็น เลวอนจึงตัดสินใจเนรมิตคาถาส่งสะท้อนตามด้วยใช้ดาบอัศวินฟาดฟันใส่อย่างไม่เกรงกลัว
“Maxime reflexum! (สะท้อนกลับขั้นสูงสุด) ”
——ตู้ม!! เพล้ง!!
เกิดการปะทะกันรุนแรงเสมือนดั่งสายฟ้าฟาด กำปั้นของอสูรซัดเข้าใส่วงแหวนเวทสีฟ้ารูปดาวหกแฉก จนร่างของสองนักสู้กระเด็นถอยหลังปลิวไปคนละทิศละทาง มิโนทอร์พ่ายแพ้ต่อแรงสะท้อนที่ย้อนกลับคืนเข้าหาตนเองหลายเท่าตัว ปรากฏบาดแผลบนแขนขวาจากถูกคมดาบอัศวินเชือดเฉือนเมื่อสักครู่ เลวอนมีสรีระเล็กกว่าไม่อาจต้านทานพละกำลังเหนือมนุษย์ได้ คาถาเกราะป้องกันจึงแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมรับแรงอัดกระแทกพุ่งเข้าชนเต็มเปา
ทั้งคู่ต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส พยายามประคองตัวลุกขึ้นยืนในสภาพสะบักสะบอมพร้อมกระอักเลือดออกมา การต่อสู้ในครั้งนี้ยังไม่จบลงโดยง่าย ในเมื่อต่างฝ่ายมีเจตนาอยากจะเอาชนะคู่ต่อสู้เสียให้ได้ จนกว่าจะมีใครสักคนต้องตายกันไปข้าง
เลวอนส่งเสียงเหนื่อยหอบพลางตั้งสติให้มั่น พยายามนึกถึงรายชื่อคาถาโบราณขั้นสูงที่เขาพอจะจดจำหรือท่องปากเปล่าได้โดยไม่ต้องหยิบหนังสือเวทมนตร์ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาตั้งตัวได้ทัน จึงพลันชูดาบอัศวินให้ด้ามจับตั้งสูงอยู่ในระดับปลายคาง โดยที่สายตาเพ่งเล็งเป้าหมายอย่างไม่ลดละ ก่อนจะเปล่งวาจาร่ายคาถาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“Աստվածների և մարդկանց Հայրը (Astvatsneri yev mardkants Hayry) ข้าแด่มหาเทพแห่งโอลิมปัสผู้ยิ่งใหญ่ โปรดดลบันดาลประทานสิทธิ์อำนาจแห่งสายฟ้า เพื่อลงทัณฑ์เหล่าอริศัตรูเบื้องหน้าให้ศิโรราบในคราเดียวด้วยเทอญ”
ซูมมมมม เปรี๊ยะเปรี๊ยะ…!
ออร่าแสงสีฟ้าสว่างพวยพุ่งรอบตัวบุรุษหนุ่มพร้อมด้วยกระแสไฟฟ้า ท่ามกลางสายฝนซึ่งโหมกระหน่ำลงมาเคล้าคลอเสียงฟ้าคะนอง เหล่าต้นไม้ในป่าทึบต่างโบกพลิ้วไสวไปตามแรงลมกรรโชก ในระหว่างนั้นเองเขาได้เหลือบสายตามองเด็กสาวที่กำลังนอนสลบไสลอยู่ทางฝั่งขวามือประมาณสิบเมตร หากทำการอัญเชิญสายฟ้าลงมาฟาดฟันศัตรูในระยะใกล้อาจทำให้เธอพลอยได้รับอันตรายไปด้วย
เลวอนทำการพลิกแพลงโดยการดึงสายฟ้ามาสถิตในตัวดาบเพื่อสะสมพลังงาน ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกันกับตอนที่ฮิคาริและอิทสึกิเคยแสดงตัวอย่างให้เห็นเมื่อเช้าวานนี้ เมื่อออร่าเวทมนตร์ถูกสะสมจนถึงขีดจำกัดแล้วจึงพลิกตัวดาบให้ปลายคมชี้ลงพื้น ก้าวเท้าขวาไปข้างหลังก่อนจะง้างศัสตราวุธในลักษณะคล้ายท่าเตรียมขว้างหอก ตามด้วยร่ายคำสั่งโจมตีออกมา
“เพลงดาบวัชระโตมร Կայծակի նիզակ! (Kaytsaki nizak) ”
บุรุษหนุ่มผู้กล้าหาญเหวี่ยงแขนขว้างดาบอัศวินออกไปอย่างสุดกำลัง พลังสายฟ้าซึ่งถูกอัญเชิญและดูดซับจากแหล่งธรรมชาติคอยส่งแรงเร่งศัสตราวุธให้พุ่งเข้าหาศัตรูด้วยความเร็วเหนือเสียง จนคมดาบปักทะลุหน้าท้องของมิโนทอร์ที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาทางนี้แบบเต็มรัก
——ฉึก เปรี้ยง!!
เพียงเสี้ยววินาทีดาบอัศวินก็พลันส่องแสงสว่างจ้า ปลดปล่อยสายฟ้าจากภายในจนเกิดเสียงสนั่นก้องทั่วพิภพ พร้อมด้วยคลื่นแรงอัดอากาศลูกใหญ่ ส่งผลให้เหล่าต้นไม้ใบหญ้าต่างโอนเอนสั่นไหวไปมา การโจมตีด้วยวิธีดังกล่าวจึงช่วยลดความเสียหายให้แก่พื้นที่โดยรอบ และไม่ทำให้เด็กสาวผู้เป็นปริศนาถูกลูกหลงจากแรงปะทะอันมหาศาลมากเกินไป
ร่างแกร่งของมิโนทอร์สั่นกระตุกทั้งยืนเนื่องจากอาการชา ทรุดเข่าลงกับพื้นโดยปราศจากพละกำลังต่อต้าน จุดที่โดนแทงปรากฏแผลฉกรรจ์ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ ส่วนดวงตาทั้งสองข้างแลดูเลื่อนลอยราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะ ในจังหวะเดียวกันเลวอนรีบหยิบไม้กายสิทธิ์จากกระเป๋าเป้แล้วชี้ไปยังอสูรร้าย คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของมันอย่างไม่ประมาท เพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่อาจห้าวหาญลุกขึ้นมาต่อกรได้อีก
“กรรรรรร!!”
ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นบุคคลธรรมดาทั่วไปคงต้องถึงคราวสิ้นชีพโดยแน่แท้ ทว่าอมนุษย์ผู้นี้ยังคงมีเรี่ยวแรงฮึดสู้ พยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืนส่งเสียงคำรามดังกึกก้องสะเทือนถึงแก้วหูทั้งที่ร่างกายบาดเจ็บสาหัส ในขณะที่เลวอนหวาดผวากับเสียงอันน่าสะพรึงกลัว มิโนทอร์ก็พลันพุ่งเข้าหาเหวี่ยงเท้าขวาซัดใส่กลางอกของพ่อมดหนุ่มดัง “พลั่ก!” จนร่างสูงโปร่งลอยขึ้นกลางอากาศ ปลิวกระเด็นไปหลายสิบเมตรก่อนจะกระแทกลงกับพื้นอย่างจัง
“อั๊ก…!? แค่กแค่ก… อ๊ากกกกกกก!!”
เลวอนสำลักออกมาเป็นเลือด สองมือหนายกขึ้นกุมอกนอนดิ้นทุรนทุรายพลางเผยสีหน้าบิดเบี้ยว แรงโจมตีเมื่อสักครู่ส่งผลกระทบถึงเขี้ยวซึ่งฝังอยู่ภายในหัวใจ จนรู้สึกได้ถึงความแหลมคมที่ทิ่มแทงเนื้ออย่างเจ็บปวดและยากจะประคองสติไหว
“ให้ข้าช่วยปลดปล่อยเจ้าหลุดพ้นจากความทรมานนี้ไปไหมล่ะ?”
เสียงของบุรุษผู้เป็นปริศนาพลันดังขึ้นภายในหัวของเลวอน ด้วยความเจ็บปวดและความหวาดกลัวที่กำลังรบกวนใจส่งผลให้เด็กหนุ่มรีบส่งเสียงอุทานสงสัย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อาจรับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้เลยก็ตาม
“อ… อะไรน่ะ นี่คุณเป็นใคร ทำไมถึงได้…!?”