“เฮ้เดี๋ยวก่อนสิ จะปล่อยให้เลวอนต่อสู้กับจอมมารไซตอนคนเดียวงั้นเหรอ!? เดี๋ยวหมอนั่นก็ได้โดนอีกฝ่ายฆ่าตายกันพอดี ให้พวกฉันช่วยสนับสนุนการโจมตีอีกแรงเถอะน่า!”
พ่อมดหนุ่มนักปรุงยาร่างสูงโปร่งผู้มีนัยน์ตาสีน้ำเงิน เจ้าของเรือนผมสีส้มในชุดลำลองค่อนข้างรุ่มร่าม หรือ “วัตสัน โรเวลล์” รีบเกริ่นอาสาอย่างร้อนรนใจ แต่สเตฟาเนียกลับส่ายศีรษะห้ามปรามพร้อมทั้งให้เหตุผลดังนี้
“สภาพของพวกรุ่นพี่วัตสันในตอนนี้คงยื่นมือเข้าช่วยเหลือคุณเลวอนไม่ไหวหรอกค่ะ คนที่พอสนับสนุนการโจมตีหรือตัดกำลังศัตรูได้ก็มีเพียงแค่ฉันคนเดียวเท่านั้น”
“ไม่ได้นะคะ อย่างน้อยน่าจะให้ฉันอยู่ใช้พลังเวทคอยฟื้นฟูพละกำลังให้กับพวกคุณสองคนบ้าง!”
แม่มดสาวหน้าตาสะสวยนัยน์ตาสีเหลือง เจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีม่วงรวบผมถักเปียโพนีเทล ในชุดนักพรตรัดรูปเปิดหัวไหล่ หรือ “เวสน่า ซีมูนอฟว่า” รีบกล่าวน้ำเสียงกังวลใจแสดงความเป็นห่วง อย่างไรก็ดีสเตฟาเนียยังคงยืนกรานปฏิเสธน้ำใจของอีกฝ่ายพร้อมทั้งให้คำแนะนำอย่างสุภาพ
“ความสามารถของคุณเวสน่านั้นสำคัญต่อทุกคนในหมู่บ้าน ควรใช้พลังนี้คอยรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่ผู้คนอื่น ๆ น่าจะดีกว่า อีกอย่างฉันกับคุณเลวอนต่างก็เรียนรู้คาถาฟื้นฟูร่างกายมาจากคุณพอสมควร เพราะงั้นอย่าได้นึกเป็นห่วงพวกเราเลยนะคะ”
“เธอช่วยเอาดาบของฉันส่งให้เลวอนเพื่อใช้ปราบจอมมารไซตอนที ถ้าหากเป็นหมอนั่นแล้วล่ะก็จะต้องโค่นล้มอีกฝ่ายและจบสงครามในครั้งนี้ได้แน่!”
เด็กสาวผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มนัยน์ตาสีฟ้า มีคิ้วหนาเป็นเอกลักษณ์ในชุดนักเรียนแฟชั่นลำลอง หรือ “อาเธอเรีย เรนนีเดย์” ถือโอกาสเสนอแนะพลางยกมือขวาขึ้นมาทาบลงบนกลางอก ราวกับจะควักดึงหัวใจหรืออะไรบางอย่างออกมาจากร่างตน ทว่าสเตฟาเนียรีบห้ามรั้งเธอไว้แล้วอธิบายเหตุผลไปดังนี้
“ดาบของคุณอาเธอเรียถือเป็นไพ่ตายใบสำรองก็จริง แต่ว่าท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ในตอนนี้ ฉันขอแนะนำให้คุณเก็บเอาไว้เพื่อใช้ปกป้องทุกคนให้รอดพ้นจากการโจมตีของกองทัพศัตรูดีกว่า ที่สำคัญต่อให้ใช้ศัสตราวุธศักดิ์สิทธิ์ดี ๆ สักกี่เล่มก็ไม่อาจหยุดยั้งปรากฏการณ์ ‘เจ็ดแสงอรุโณทัย’ ได้หรอกนะคะ”
“แต่อีกฝ่ายเป็นถึงจอมมารระดับชั้นพาลาดินเลยนะขอรับ แถมท่านสเตฟาเนียเองก็มีความเกี่ยวข้องกับคนคนนั้นทางสายเลือดด้วย ข้าเกรงว่ามันอาจจะ…!”
เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำขลับกับนัยน์ตาสีฟ้าในชุดนักเรียนกักคุรัน เผยให้เห็นถึงใบหูพร้อมด้วยหางอันนุ่มสลวยในฐานะเทพสุนัข หรือ “อิทสึกิ นานะโฮชิ” พยายามชี้แจงด้วยสีหน้าท่าทีไม่สบายใจ แต่ถึงกระนั้นสเตฟาเนียได้หันมาตอบกลับต่อเขาอย่างสุขุมเยือกเย็นตามปกติ
“ฉันทราบดีค่ะ สิ่งที่ฉันกำลังจะลงมือทำต่อไปนี้ถือเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสเกินกว่าจะได้รับการให้อภัย ถ้าหากว่ามันสามารถช่วยเหลือผู้คนบริสุทธิ์นับล้านและปกป้องเพื่อนคนสำคัญเอาไว้ได้ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นถึงพ่อผู้บังเกิดเกล้าฉันก็จะทำ”
“ยัยบ้า ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นสักหน่อย!”
แม่มดสาวจอมดาบเวทเจ้าของเรือนผมสีขาวอมม่วงในชุดเครื่องแบบดำทมิฬ หรือ “ฮิคาริ ฮาชิสึเมะ” แผดเสียงเดือดดาลพลางจับจ้องมองคู่สนทนาผ่านดวงตาสีเทาด้วยความขื่นขม ทำให้สเตฟาเนียและผองเพื่อนต่างสะดุ้งตกใจ ถึงกระนั้นแล้วเธอยังคงระบายอารมณ์ต่อไปเพื่อเตือนสติต่ออีกฝ่าย
“ถ้าหากเธอกับเจ้าลูกแกะนั่นตายไป ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะย้อนกลับคืนมาไม่ได้อีกต่อไปแล้วนะ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อคอยพูดจากวนประสาทใส่ฉันอีกแล้วรึยังไง!? ในเมื่อพวกเธอคิดสู้จนตัวตาย ฉันเองก็จะขอร่วมหัวจมท้ายไปด้วยคน!”
“เปล่าประโยชน์ค่ะรุ่นพี่ฮิคาริ เดิมทีสเตฟก้ามีนิสัยค่อนข้างดื้อรั้นอยู่แล้ว ถ้าหากเธอตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดใครหน้าไหนก็ไม่อาจห้ามรั้งเอาไว้ได้แน่… ขอโทษด้วยนะสเตฟก้า ฉันในฐานะที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและครอบครัวเพียงคนเดียวของเธอ พวกเราจะขออยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือพวกเธอเอง!”
เด็กสาวเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีโลหิต ผู้มีปลายใบหูแหลมเรียวเล็กน้อยในชุดเครื่องแบบสีดำนิล กล่าวกับฮิคาริสั้น ๆ ก่อนจะหันหน้ามาเพื่อแสดงถึงเจตนารมณ์ต่อสเตฟาเนีย นัยน์ตาสีเหลืองอำพันจับจ้องมองนาฬิกาเวทมนตร์ในมืออีกฝ่าย พร้อมเอื้อมมือไขว่คว้าหมายจะแย่งชิงของสำคัญอย่างรวดเร็ว ทว่า…
“Confinium… (คาถาพันธนาการ) ”
แม่มดสาวนัยน์ตาสีม่วงขยับปากร่ายคาถา ส่งผลให้ร่างกายของสลาติก้ารวมถึงบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวทุกคนรู้สึกชาไปทั่วทั้งร่าง ไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้แม้แต่ปลายนิ้ว ด้วยเหตุนี้กองกำลังสนับสนุนซึ่งเหล่ากัลยาณมิตรพยายามยื่นข้อเสนอต่อสเตฟาเนียด้วยความหวังดีนั้น จึงต้องกลายเป็นหมันไปโดยปริยาย
“ข-ขยับตัวไม่ได้!?”
“สเตฟก้า นี่เธอทำบ้าอะไรเนี่ย!?”
“บ… แบบนี้มันฆ่าตัวตายชัด ๆ นะคะ!”
“ท่านสเตฟาเนีย ได้โปรดรีบเปลี่ยนใจตอนนี้ก่อนที่มันจะสายเกินไปเถอะนะขอรับ!”
สลาติก้า วัตสัน เวสน่า และอิทสึกิต่างส่งเสียงโวยวายตามลำดับ ส่วนสเตฟาเนียหาได้สนใจต่อคำทัดทานจากเพื่อน ๆ เธอลงมือหมุนปุ่มนาฬิกากรอบสีทองเพื่อปลุกให้มันเริ่มทำงาน จนเข็มชี้บอกเวลาและชิ้นส่วนเล็ก ๆ บนหน้าปัดเคลื่อนที่เปลี่ยนตำแหน่งสลับซับซ้อนไปมา
วูบบบบ…!
พื้นเบื้องล่างที่ทุกคนกำลังเหยียบย่ำอยู่เผยให้เห็นถึงรูปวงแหวนรัศมีกว้างสามเมตร เป็นลำเส้นแสงสีรุ้งผสมผสานมีลักษณะลวดลายคล้ายนาฬิกาดาราศาสตร์ปรากทุกกระเบียดนิ้ว ก่อกำเนิดลมกรรโชกคอยโบกสะบัดพัดผ่านเรือนร่างไปมาจนเส้นผมกับเสื้อผ้าต่างพลิ้วไหว
ร่างกายส่วนล่างตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปจนถึงบริเวณลำตัว ปรากฏภาพบิดเบือนแตกเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นับไม่ถ้วน สร้างความประหลาดใจให้แก่พวกอิทสึกิเป็นอย่างยิ่ง แม้จะไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือมีผลกระทบใด ๆ โดยตรงก็ตาม
“ย-หยุดเดี๋ยวนี้นะสเตฟก้า!” อาเธอเรียที่ถูกพันธนาการเอาไว้พยายามร้องขอต่ออีกฝ่ายอย่างกระวนกระวายใจ
“ทำไมพวกเธอสองคนชอบทำอะไรตามอำเภอใจอยู่ตลอด คิดว่าการเสียสละตัวเองในสงครามครั้งนี้จะทำให้เรื่องราวทั้งหมดจบลงด้วยดีและทำให้พวกเรามีความสุขรึยังไง!? พวกเธอเป็นถึงเพื่อนคนสำคัญของพวกเราเชียวนะ เพราะงั้นอย่าด่วนตัดสินใจโง่ ๆ แบบนี้สิยะสเตฟก้า!”
ฮิคาริแผดเสียงร้องอย่างซื่อตรง ทั้งที่เดิมทีเธอมักจะมีอุปนิสัยปากกับใจไม่ค่อยตรงกันสักเท่าไหร่นัก สเตฟาเนียได้ยินดังนั้นจึงกวาดสายตามองร่างของเด็กสาวทั้งสี่ กำลังนอนสลบไสลไม่ได้สติเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้ พวกเธอเองก็ล้วนเป็นเพื่อนพ้องคนสำคัญเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะมนุษย์จิ้งจอกสาว สตรีผู้ใช้ง้าวเล่มยาว เด็กหญิงในชุดเดรสที่ดูท่าทางมีฐานะ หรือแม้แต่เด็กสาวนักพยากรณ์ดวงชะตาก็ตาม
สเตฟาเนียจ้องมองเหล่าเพื่อน ๆ ด้วยความอาวรณ์ ไม่นานนักเธอก็ได้เงยศีรษะเผยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มจางมอบให้แก่ทุกคน แล้วกล่าวคำอำลาส่งท้ายด้วยน้ำเสียงสลดใจเล็กน้อย ราวกับว่าจะต้องพลัดพรากแยกจากกันไปไกลแสนไกล
และนั่นถือเป็นภาพจำครั้งสุดท้ายที่สเตฟาเนียต้องการเก็บมันเอาไว้ก่อนจากลา
“ถ้าหากฉันกับคุณเลวอนพลาดท่าในศึกครั้งนี้ รบกวนทุกคนช่วยฝากดูแลออเดรย์ คุณเซ็ตสึนะ คุณคลาร่า และโมนิก้า รวมถึงช่วยปกป้องผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ให้ปลอดภัยด้วย ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาแค่เพียงสั้น ๆ แต่ฉันกลับรู้สึกดีใจมากที่ตัวเองได้กลายมาเป็นคนสำคัญของพวกคุณค่ะ… สักวันหนึ่งเราอาจจะได้พบกันอีก”
“สเตฟก้า!/ท่านสเตฟาเนีย!/อย่านะ!”
ซูมมมมมมม…!
วัตสัน อิทสึกิ ฮิคาริ เวสน่า สลาติก้า และอาเธอเรีย ส่งเสียงเรียกขานมิตรสหายด้วยสีหน้าตื่นตระหนกปนกังวลใจ ก่อนที่ร่างของพวกเขาจะอันตรธานหายไปโดยหลงเหลือไว้แค่เพียงละอองแสงระยิบระยับหลากสี เหล่าบรรดาพ่อมดแม่มดทั้งสิบชีวิตถูกเคลื่อนย้ายด้วยวงแหวนเวท และพาไปยังสถานที่ปลอดภัยเป็นอันเสร็จสิ้น
“…ถึงจะรู้สึกผิดต่อทุกคน แต่ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้คุณเลวอนต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวโดยเด็ดขาด”
สเตฟาเนียพึมพำพร้อมปิดฝานาฬิกาเวทมนตร์เรือนสีทอง แล้วเก็บใส่ลงในกระเป๋ากระโปรงตามเดิม ก่อนจะลุกขึ้นยืนหันหลังกลับไปจับจ้องมองดูการต่อสู้ ระหว่างพ่อมดหนุ่มจอมดาบเวทกับจ้าวแห่งศาสตร์มืดผู้ยิ่งใหญ่ ที่ยังคงยืดเยื้อและดำเนินต่อไปอย่างไม่รู้จบ
เคร้งเคร้ง! ตึ้ง! เปรี้ยง!!
สองบุรุษวัยฉกรรจ์ต่างใช้ดาบฟาดฟันใส่กันมาเป็นเวลาพักหนึ่งแล้ว ลำแสงและสายลมคอยฉีกพื้นพสุธาเกิดเป็นรอยแยกด้วยเวทมนตร์คาถาพร้อมเสียงอึกทึกดังกึกก้องไปทั่วสมรภูมิ สว่างวูบวาบและรุนแรงเสียยิ่งกว่าเปลวเพลิงที่กำลังมอดไหม้ผืนป่าและสิ่งปลูกสร้างในหมู่บ้านเป็นหลายร้อยเท่าทวีคูณ
หากมีมนุษย์คนใดโดนการโจมตีนี้เข้าอย่างจังสักครั้งคงอาจถึงคราวตายเป็นแน่แท้
วูบ! ครืดดดดด!
ไซตอนกวัดแกว่งดาบปีศาจเล่มยักษ์โจมตีสีข้างฝั่งซ้ายของคู่ต่อสู้ ทว่าวลาดในร่างพ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนแกมเทาเข้มกลับถอยหลังหลบหลีกอย่างหวุดหวิด เขาสไลด์ตัวออกห่างจากศัตรูราวสิบเมตร นำคาตานะเก็บใส่ลงในฝักดาบแล้วตั้งท่าเตรียมชักดึงออกมาอีกครั้งด้วยวิชาอิไอโด
ด้วยเหตุนี้การปะทะห้ำหั่นกันจึงยุติลงชั่วคราว โดยเปิดโอกาสให้จอมมารได้สนทนาต่อราชันผีดูดเลือดอีกครั้ง
“หากเจ้ายังศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า ก็อย่าได้เข้ามาขัดขวางแผนการของข้า!”
“ตัวข้าศรัทธาในพระองค์มาโดยตลอด ด้วยการที่ไม่ยอมเชื่อฟังคำล่อลวงจากเจ้ายังไงล่ะ!”
วลาดที่สามแห่งวาลาเคียเร่งฝีเท้าพุ่งเข้าหาศัตรูด้วยความเร็วสูงสุด ชักดึงคาตานะออกมาจากฝักด้วยท่าจับแบบปกติ โดยที่ทั่วทั้งร่างส่องสว่างสีขาวเสมือนดั่งมนุษย์สายฟ้า ในเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้นเองบุรุษผู้สวมหน้ากากกะโหลกปีศาจก็ได้ง้างศัสตราวุธเล่มยักษ์ขึ้นศีรษะ เตรียมฟาดฟันใส่อีกฝ่ายให้ขาดสะบั้นตามด้วยแผดเสียงคำรามอย่างฮึกเหิม
“ย้ากกกกกกกก!!”
“Battou Rasetsu!! (ดาบเดี่ยวรากษส) ”
พ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำทะเลสะบัดดาบคาตานะลงในแนวดิ่งรับการโจมตีโดยเอียงตัวดาบไปทางขวาเล็กน้อย จนเกิดลำแสงสายฟ้าสว่างเจิดจ้าพร้อมลมกรรโชกลูกใหญ่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งปฐพี ต่างฝ่ายต่างใส่พละกำลังตนลงในศัสตราวุธเต็มที่ เพื่อวัดพลังความแข็งแกร่งท่ามกลางกระแสอัสนีวายุอันบ้าคลั่ง
“โอ้วววววววว!!”
เปรี้ยง! ครืนครืนนนนน…! เคร้ง!!
ลมพายุและสายฟ้าพลันสงบลงหลังจากที่วลาดเหวี่ยงคาตานะไปทางด้านซ้ายเพื่อเบี่ยงวิถีดาบเล่มยักษ์ เขารีบสลับสับเปลี่ยนการจับอาวุธให้ใบมีดชี้ปลายคมลง ตวัดยกขึ้นแทงใส่หน้ากากกะโหลกปีศาจของคู่ต่อสู้โดยใช้มือซ้ายดันด้ามจับเพื่อเพิ่มแรงโจมตี ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ไซตอนได้ปัดป้องหรือโต้ตอบกลับใด ๆ
ปึ้ง! แคร่กแคร่ก… กร๊อบ!
หน้ากากที่ใช้ปิดบังใบหน้าเกิดรอยร้าวก่อนจะแตกหักครึ่งเป็นสองส่วนและตกลงสู่พื้นดิน ตัวจริงของจอมมารถูกเผยโฉมให้เห็นแล้ว เป็นชายวัยผู้ใหญ่เจ้าของเรือนผมหยักศกสีดำขลับดูธรรมดามากกว่าที่คาดคิด ด้วยรูปลักษณ์และดวงตาสีนิลอันคุ้นเคย ทำให้วลาดลดความแข็งกร้าวลงกะทันหันพลางเผยอากัปกิริยาตกตะลึงเล็กน้อย
“…!!”
“อย่าเข้ามาใกล้ฉันไอ้ผีดูดเลือดโสโครก!!”
จ้าวแห่งศาสตร์มืดฉวยโอกาสนี้เหวี่ยงดาบสะบัดไปทางด้านซ้ายด้วยอารมณ์บันดาลโทสะ เลวอนที่เพิ่งได้สติรีบเลื่อนคาตานะลงมาปัดป้องเสียงดัง “เคร้ง!” แต่ก็ไม่อาจยืนหยัดต้านแรงปะทะเอาไว้ได้ เขากระเด็นถอยหลังม้วนตัวลงพื้นสองสามตลบก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นมาตั้งหลักอย่างรวดเร็ว
พรึ่บพรึ่บ ครืนนนนน…!
ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ยังคงแผดเผาสิ่งปลูกสร้างและป่าไม้ในหมู่บ้าน สองบุรุษต่างส่งเสียงหายใจหอบพลางจับจ้องสบสายตามองกันอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าจะทักษะด้านเพลงดาบหรือแม้กระทั่งประชันด้วยคาถาเวทมนตร์โบราณขั้นสูง ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นยังคงสูสีสมน้ำสมเนื้อและไม่สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้ในทันที
เลวอนรู้สึกได้ถึงแรงบีบคั้นภายในอกต่อการตัดสินใจอันยากลำบาก ภายหลังจากที่ตนทำลายหน้ากากของไซตอนได้สำเร็จ ความทรงจำที่ร่วมสร้างด้วยกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทำให้เด็กหนุ่มสับสนลังเลใจเล็กน้อย และไม่อาจลงมือทำร้ายอีกฝ่ายได้อย่างเด็ดขาด มิหนำซ้ำสีของนัยน์ตาเองก็พลันแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นสีเหลืองอำพันตามปกติ
สิ่งที่พ่อมดหนุ่มผู้กล้าหาญทำได้ในเวลานี้คือการเรียกขานชื่อของอีกฝ่ายเท่านั้น
“ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟ…!”
“เลวอน ฉันไม่ได้มีความคิดอยากจะฆ่าเธอเลยแม้แต่น้อย แต่เจ้าผีดูดเลือดชั่วร้ายที่สิงอยู่ในร่างเธอกำลังต่อต้านฉัน หลังจากทำลายเธอแล้วขยี้ดวงวิญญาณของมันให้สิ้นซาก ฉันขอสัญญาว่าจะใช้พลังเวทมนตร์ที่มีอยู่เพื่อชุบชีวิตให้เธออีกครั้ง แต่คงต้องร่ายวิชาปลูกฝังจิตสำนึกเสียใหม่เพื่อให้เชื่อฟังคำสั่งฉันสักหน่อยล่ะ”
ไซตอน หรือบุรุษที่เลวอนเรียกขานเขาว่า “ยาโรสลาฟ” กล่าวอย่างท่าทีสงบเสงี่ยม หลังจากที่ตนได้แสดงความบ้าคลั่งออกมาเป็นเวลาพักหนึ่ง เลวอนเริ่มระบายถ้อยคำภายในใจออกมาอย่างเศร้าสลด ทั้งที่ตัวเขาเองแทบจะสะกดกลั้นน้ำตาแห่งความเศร้าโศกเอาไว้ไม่อยู่
“ผมเองก็ไม่ได้คิดอยากจะฆ่าคุณเหมือนกัน แต่เพื่อให้ผู้คนบนโลกใบนี้รวมถึงพวกพ้องคนสำคัญของผมรอดพ้นจากสงครามแห่งความเกลียดชัง ถึงตายผมก็จะต้องหยุดยั้งแผนการของคุณให้ได้ ถึงแม้ว่าผมจะเคยให้ความเคารพต่อคุณเหมือนดั่งอาจารย์คนหนึ่งก็ตาม”
“น่าเสียดายจังเลยนะที่ทัศนคติของพวกเรามันช่างแตกต่างกัน เมื่อก่อนฉันเองก็เคยคิดว่าเธอเป็นเหมือนดั่งลูกหลานคนสำคัญที่ต้องดูแล แต่ในเมื่อต่างฝ่ายดื้อด้านไม่ยอมความแบบนี้ก็คงต้องปล่อยให้โชคชะตาเป็นตัวตัดสิน… ไม่สิ ฉันจะทำให้เรื่องราวทั้งหมดมันจบลงด้วยมือของเอง”
จ้าวแห่งศาสตร์มืดนำดาบปีศาจเล่มยักษ์ปักลงยังพื้นดินให้มั่นคง ขยับยกมือขวาไปยังเบื้องหน้าพร้อมทั้งทอดสายตาจับจ้องมองพ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนอย่างเด็ดเดี่ยว ในขณะที่เลวอนนำคาตานะเก็บใส่ลงในฝักดาบอย่างระมัดระวัง เพราะนับจากนี้เป็นต้นไปศัสตราวุธศักดิ์สิทธิ์หรือแม้กระทั่งคาถาโบราณขั้นสูงชนิดต่าง ๆ ทั้งหมดจะไร้ซึ่งความหมาย
ทุกสรรพสิ่งจะต้องถูกสยบลงด้วยเวทมนตร์ต้องห้าม ที่แม้แต่เหล่าบรรดาจอมเวททั่วไปไม่อาจสำเร็จวิชานี้ได้โดยง่าย
“…ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ”
เลวอนเกริ่นพึมพำพลางหลับตาลง พยายามทำสมาธิประคองจิตใจให้มั่นคงเพื่อสะบัดความเห็นอกเห็นใจออกไปจนหมดสิ้น ภายหลังจากที่เขาอาลัยอาวรณ์ต่ออริศัตรูผู้ซึ่งเคยมีความสำคัญต่อเส้นทางชีวิตของตนมาเป็นเวลานับแรมปี ก่อนจะเบิกเนตรจ้องมองไซตอนอีกครั้งพลางยกมือขวาไปยังเบื้องหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงจอมมารผู้มีอุดมการณ์อันโหดร้ายทารุณก็ตาม
ในท้ายที่สุด บุรุษผู้ใช้อาคมทั้งสองได้เปล่งสุรเสียงร่ายคาถาออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“Septema auroratium!! (เจ็ดแสงอรุโณทัย/เจ็ดแสงทมิฬ) ”
เปรี้ยง ซูมซูม ครืนนนนนนนน!!
เบื้องหน้าของสองจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่พลันก่อกำเนิดลมกรรโชก พัดแยกออกเป็นสองฟากฝั่งจนชุดแต่งกายและเส้นผมของพวกเขาต่างสะบัดพลิ้วไหว ลำแสงหลากสีส่องสว่างเจิดจ้าถูกปลดปล่อยออกมาจากปลายนิ้วเข้าปะทะกัน โดยที่ท้องฟ้าสีโลหิตซึ่งปกคลุมไปด้วยกลุ่มควันไฟนั้นถูกย้อมด้วยสรรพสีต่าง ๆ แบ่งออกเป็นสองรูปแบบอย่างชัดเจน
ท้องฟ้าเหนือศีรษะของเลวอนหรือซีกหนึ่งถูกย้อมด้วยสีเหลืองอำพันแก่ ฟ้าคราม น้ำเงิน ม่วงอ่อน ม่วงแก่ และม่วงเข้มซึ่งผสมกลมกลืนกันอย่างงดงามตระการตา อันเป็นลักษณะเด่นของวิชา “เจ็ดแสงอรุโณทัย” มองแล้วให้ความรู้สึกงดงาม อบอุ่น เปี่ยมล้นไปด้วยพลังอันบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งชั่วร้ายเจือปน
ในขณะที่ทางฝั่งไซตอน หรือท้องฟ้าอีกฟากฝั่งหนึ่งกลับย้อมไปด้วยสีโทนมืดอย่างเขียวเข้ม กรมท่า ม่วงเข้ม แดงเลือด และดำทมิฬ อันเป็นลักษณะเด่นของวิชา “เจ็ดแสงทมิฬ” ชวนให้ความรู้สึกหดหู่ เศร้าหมอง เย็นยะเยือกน่าหวั่นสะพรึงกลัว อัดแน่นไปด้วยพลังอันชั่วร้ายพร้อมทั้งรังสีฆ่าฟัน
ลำแสงซึ่งปะทะกันอยู่ตรงเบื้องหน้าของผู้ร่ายล้วนเป็นพลังเวทที่ถูกรีดเร้นออกมาถึงขีดสุด
เวทมนตร์อันมหาศาลของทั้งสองบุรุษได้ปะทะเข้าหากันอย่างรุนแรง อีกทั้งยังพรั่งพรูจิตสังหารออกมาจนทำให้เหล่ากองทัพอสูร ไม่เว้นแม้กระทั่งบรรดาชาวบ้านที่ยังรอดชีวิตอยู่หรือกำลังนอนบาดเจ็บท่ามกลางสมรภูมิรบ ถึงกับเผยสีหน้าหวั่นสะพรึงกลัวต่อสิ่งมหัศจรรย์ดังกล่าวด้วยความแปลกประหลาดใจ
เหตุการณ์ท้องฟ้าหลากสีในครั้งนี้ได้อุบัติขึ้นไปทั่วทุกมุมโลก ทุกคนในฐานะผู้เป็นสักขีพยานต่างแหงนหน้ามองดูห้วงนภาอันแสนกว้างใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ โดยไม่อาจละสายตาไปจากมันได้เลยราวกับกำลังต้องมนตร์สะกด
นี่คือการต่อสู้ระหว่างพ่อมดหนุ่มจอมดาบเวทผู้มากล้นพรสวรรค์กับราชันเจ้าแห่งศาสตร์มืด ด้วยเวทมนตร์โบราณขั้นสูงสุดเต็มรูปแบบโดยใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่ หากผู้ใดเพลี่ยงพล้ำพลาดท่าไปเสียก่อนนั่นอาจหมายถึงความพ่ายแพ้ ที่มาพร้อมกับความหายนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“อึ้ก…!”
ศึกในครั้งนี้ดูเหมือนเลวอนจะกลายเป็นฝ่ายปราชัย ลำแสงสีโทนมืดของไซตอนค่อย ๆ ดันลำแสงสรรพสีของตนเข้ามา แม้รีดเร้นพลังเวทมนตร์ออกมาอย่างสุดความสามารถสักเพียงใด แต่ก็มิอาจผลักไสหรือต้านทานแรงเคียดแค้นจากศัตรูได้อยู่ดี สิ่งที่เด็กหนุ่มสัมผัสได้ในเวลานี้แทบไม่ต่างอะไรกับการใช้นิ้วดันกำแพงเลยเสียด้วยซ้ำ ร่างกายของเขาเริ่มแข็งเกร็งราวกับกำลังจะถูกแยกส่วนออกจากกันเป็นชิ้น ๆ
จะต้านไม่ไหวแล้ว…!
หมับ!
ทันใดนั้นเองสเตฟาเนียได้วิ่งเข้ามาหาเลวอนจากทางด้านหลังยืนอยู่เคียงข้างเขาทางฝั่งขวา นำสองมือเล็กบางสัมผัสกับข้อแขนและหลังมืออันหนาหยาบหวังจะเป็นกำลังสำคัญให้แก่พ่อมดแวมไพร์ สร้างความประหลาดใจต่อสองบุรุษผู้ชำนาญวิชาอาคมอย่างมาก ในขณะที่การปะทะกันของลำแสงอภิมหาเวทมนตร์เหนือธรรมชาติยังคงดำเนินต่อไปตามปกติ ไม่ได้สนใจเลยว่าตัวเองนั้นอาจถูกลูกหลงหรือต้องรับเคราะห์ตามเขาไปด้วย
“ส-สเตฟก้า มันอันตรายนะ ทำไมไม่หนีไปพร้อมกับเพื่อน ๆ ล่ะ!?”
เด็กหนุ่มรูปงามผมสีขาวโพลนหันหน้าซักถามเธอเล็กน้อยพลางเผยสีหน้าวิตกกังวลใจ เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะได้รับอันตรายจากศึกตัดสินในครั้งนี้ ทว่าแม่มดสาวผมสีส้มผู้มีดวงตาสีม่วงสดใสกลับส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วอธิบายเหตุผลต่อเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมทั้งกิริยาท่าทีสุขุมนุ่มลึก
“เพราะฉันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความแค้นของท่านพ่อในครั้งนี้ ที่สำคัญฉันจะไม่ยอมปล่อยให้คุณต้องหนีจากพวกเราไปไหนไกลอีก และจะคอยเป็นกำลังให้แก่คุณเอง… เลฟ คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว ฉะนั้นได้โปรดขอให้ฉันได้อยู่เคียงข้างคุณตราบจนถึงช่วงวินาทีสุดท้ายด้วยเถอะนะคะ”
“…ขอบคุณมากนะ สเตฟก้า”
เลวอนเกริ่นซาบซึ้งด้วยความสบายใจ สเตฟาเนียแย้มสรวลจาง ๆ พร้อมทั้งสัมผัสมือหนาและลำแขนของเขาเอาไว้มั่น บุรุษจอมดาบเวทรู้สึกสงบจิตใจลงโดยที่พลังเวทเริ่มเสถียรมากขึ้น เพียงพอที่จะต้านทานลำแสงสีดำนั้นให้หยุดนิ่งและไม่รุกคืบเข้ามาใกล้ตนได้มากกว่านี้อีก
ไซตอนเห็นว่าบุตรสาวของตนให้ความช่วยเหลือแก่คู่ต่อสู้จึงแผดเสียงซักถามออกไปอย่างไม่พึงพอใจ
“ซาตาเนีย ทำไมลูกถึงต่อต้านพ่อ!?”
“ก็เพราะว่าท่านพ่อกำลังจะทำลายและพรากสิ่งที่สำคัญทั้งหมดไปจากชีวิตหนูยังไงล่ะคะ!”
เด็กสาวผู้มีสายเลือดครึ่งมารให้คำตอบแก่พ่อผู้บังเกิดเกล้าอย่างห้าวหาญ แววตาของเธอจับจ้องมองจ้าวแห่งศาสตร์มืดโดยไร้ซึ่งความอาวรณ์ หลังจากใช้เวลาทำใจตั้งตัวเป็นปรปักษ์มาได้สักระยะหนึ่ง ถึงแม้ว่าความรู้สึกภายในส่วนลึกจะยังคงผูกพัน ห่วงใย และอยากจะพูดคุยกับเขาเพื่อให้เข้าใจกันมากกว่านี้ก็ตาม
ท้ายที่สุดบุตรีแห่งไซตอนก็ได้เรียกขานนามแห่งมนตราออกมา
“Septema auroratium!! (เจ็ดแสงอรุโณทัย) ”
วูบบบบบบบ!!
ลำแสงสรรพสีกลุ่มใหญ่พลันสว่างเจิดจ้ากลืนกินผู้คนบริเวณรอบข้าง ทุกสิ่งทุกอย่างจมดิ่งหายไปท่ามกลางทะเลแห่งความว่างเปล่าสีขาวโพลนจนยากที่จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ โดยรอบ โดยไม่อาจมีผู้ใดคาดเดาถึงเส้นทางแห่งจุดจบนี้ได้เลย
สิ่งที่จะเล่าขานต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องราวของจอมเวทผู้ทรงอำนาจ นักบวชผู้ทรงศีล ปรมาจารย์นักปรุงยา จอมมาร หรือแม้กระทั่งนักรบผู้เก่งกาจในหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน แต่นี่คือเรื่องราวการผจญภัยและการใช้ชีวิตของเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งต้องทนทุกข์ทรมานต่ออาการป่วยจากคำสาปที่ฝังรากลึกอยู่ในร่างนับแรมปี
พรสวรรค์ที่เริ่มต้นขึ้นจากศูนย์ สร้างพรแสวงเพื่อให้ตนกลายมาเป็นจอมเวทพาลาดินผู้สูงส่งเพียงช่วงเวลาไม่ถึงสองปี พยายามฝ่าฟันโชคชะตาและอุปสรรคเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายหลายครั้งจนค่อย ๆ เติบโตทางความคิด รวมทั้งเรียนรู้จิตใจของมนุษย์เพื่อเข้าใจถึงสังคมโลกใบนี้ให้มากยิ่งขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังหล่อหลอมให้เขานำไปสู่เส้นทางอันยิ่งใหญ่
บัดนี้เรื่องราวความเป็นมาของพ่อมดหนุ่มจอมดาบเวทผู้กล้าหาญได้เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นแล้ว