ปล้นสะดมหรือ? มู่อวิ๋นซีตกใจ นอกเมืองหลวงมีคนปล้นกลางทางงั้นรึ
ร่างนางสั่นไหว สลัดออกจากเฟิ่งเชียนเย่ที่ตรึงรั้งนางไว้แล้วปีนขึ้นมา ไปหน้าแดงราวกับว่าเลือดจะพุ่งออกมา “ขอข้าดูหน่อย”
“ให้เขารู้ว่าข้าบาดเจ็บไม่ได้”
ลมหายใจแผ่วร้อนแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้ามู่อวิ๋นซี ร้อนกกหูของนางก็แดงขึ้น “ใครกัน เหตุใด…”
นางพูดไม่ทันจบ ริมฝีปากของเฟิ่งเชียนเย่ก็ขึ้นมาประกบอีกครั้ง เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นนอกรถม้า
“เฮ้ย พูดจาเหลวไหลอะไรกัน?”
ชายผู้สวมคลุมคำสีดำขนาดใหญ่ ลอยร่อนลงมาด้านหน้ารถม้าราวกับนกบิน คว้าแส้ม้าของมู่จื่อชวนได้ในเสี้ยววินาที พร้อมมองทางกลุ่มโจรสองสามคนที่ยืนขวางทาง หัวเราะร่า
“พูดอะไรกัน? ข้าจะบอกเจ้าให้ ภูเขาแห่งนี้ข้าเป็นผู้บุกเบิก ต้นไม้นี้ ข้าเป็นคนปลูก พวกเจ้าเป็นใครกันมิทราบ? บังอาจเข้ามาปล้นถิ่นของข้า?”
หัวหน้าโจรหยุด สืบถาม “เจ้าเป็นคนของสำนักอินทรีย์หรือ?”
“ผิดแล้ว!” ชายผู้นั้นยกมือขึ้น กลุ่มโจรด้านหลังบินลอยขึ้นมา “สำนักอินทรีย์เป็นของข้า จับพวกมันไว้!”
เขาเอ่ยพึ่งจบ ก็มีเงาสี่คนปรากฏขึ้นจากข้างถนน ไม่นาน นำโจรทั้งหมดมาผูกรวมกันจนกลายเป็นกลุ่มก้อน
“ขอบคุณเจ้าสำนักอินทรีย์ที่ลงมือ” มู่จื่อชวนพุ่งลอยตัวลงมาคารวะเจ้าสำนักอินทรีย์
“ไม่ต้องเกรงใจ” เจ้าสำนักอินทรีย์ไม่มองมู่จื่อชวน แต่มองไปทางรถม้า “ผู้ที่นั่งอยู่ในรถม้าคือ…”
“น้องสาวข้า ข้ากำลังส่งนางไปแปลงดอกไม้” มู่จื่อชวนวิตกเล็กน้อย
“ช่างบังเอิญนัก” แววตานักเจ้าสำนักอินทรีย์ฉายประกาย วิ่งไปทางรถม้า “ครั้งก่อนข้ามิทันได้เสวนากับคุณหนูมู่จบเลย ครั้งนี้ช่างบังเอิญ..”
เขายื่นมือจะเปิดม่านรถม้า ม่านรถขยับ มู่อวิ๋นซีที่ผมยุ่งเหยิงยื่นหัวออกมา พุ่งตรงออกมายิ้มให้เจ้าสำนักอินทรีย์ กล่าวขออภัย “เมื่อครู่ข้าหลับไปเผลอๆ ทำให้เจ้าสำนักหัวเราะเยาะแล้ว มิทราบว่าเจ้าสำนักต้องการจะคุยอะไรกับข้า?”
ขณะที่พูด มู่จื่อชวนประคองนางมาจากรถม้า
“คุณหนูรองหลับจริงหรือ?” เจ้าสำนักอินทรีย์มองข้ามมู่อวิ๋นซีไปทางประตูม่านที่สั่นไหวเล็กน้อย
“ท่านอยากดูหรือ?” มู่อวิ๋นซีเลิกคิ้ว เดินเข้าไปใกล้เจ้าสำนักอินทรีย์ “หรือไม่ว่าอนุภรรยาทั้งสิบแปดห้องของเจ้าสำนักว่านนั้น ล้วนเป็นเพียงของประดับตกแต่ง?”
เจ้าสำนักอินทรีย์อึ้งตะลึง สายตาสงสัยมองมู่อวิ๋นซี แก้มทั้งสองของนางนั้นอาบด้วยแสงอรุโณทัย ในดวงตาคมประกายส่องสาดทิวทัศน์แห่งวสันตฤดู และโดยเฉพาะริมฝีปากแดงก่ำนั้น ยังหลงเหลือรอยเลือด เห็นได้ชัดว่าพึ่งถูกคนขบริมฝีปากมา
กลับมานึกถึงคำพูดที่นางพึ่งกล่าวนั้น คุณหนูมีชื่อเสียงที่ใดจะพูดออกมาเช่นนี้ ท่าทางการพูดจาเหมือนคนสวมรอยชัดๆ
“ฮ่าๆๆ ” เจ้าสำนักอินทรีย์หัวเราะเสียงดัง หันตัวไปดึงหัวหน้าโจรเข้ามา โยนมาตรงหน้ามู่อวิ๋นซี “คุณหนูรองดูเอาเถิด จะจัดการกับโจรพวกนี้อย่างไรดี?”
โจรคนนั้นกำลังมองมู่อวิ๋นซี ลูกตาสะท้อนความดุร้าย กำลังคิดแผนจะต่อรองกับนางอย่างไรดี ได้ยินมู่อวิ๋นซีกล่าวเย็นชา “ได้ยินว่าสำนักอินทรีย์เลี้ยงอินทรีย์ไว้ไม่น้อย สู้พาเขาไปเป็นเพื่อนกับกลุ่มอินทรีย์นั้นเถิด”
สีหน้าโจรซีดเผือดโง่เขลา “เจ้า…เจ้าจะไม่ถามรึว่าใครสั่งให้ข้ามาปล้นสะดมเจ้า?”
“ต้องการให้ข้าบอกเจ้าก็ย่อมได้ รีบปล่อยข้าไป ค่อย…” “ท่านคิดว่าวิธีจัดการของข้าไม่ดีหรือ?”
“ดี ดีแน่นอน เข้ามา ลากตัวมันไป” มือใหญ่ของเจ้าสำนักอินทรีย์โบกเรียกคนมา
“ไม่ ข้าพูดว่า…ข้าจะพูด…” โจรร้องคร่ำครวญเพียงสองครั้ง ถูกคนตีด้านหลังหัวจนสลบเหมือด
“คุณหนูรองช่างตรงไปตรงมานัก” เจ้าสำนักอินทรีย์ชื่นชม ตามองปราดไปที่รถม้า แล้วหันมามองทางมู่อวิ๋นซี แสร้งเอ่ยเสียงสูง
“ขอบอกว่าคู่รักท่าน ว่าเมื่อได้ข่าวคราวมาก็รีบเร่ง ทำให้โจรพวกนี้ได้จังหวะโอกาส ท่านวางใจได้ จากที่นี่ถึงแปลงดอกไม้ อย่าว่าแต่โจรเลย หากทางเส้นนี้มีก้อนหินขวางก็ถือว่าสำนักอินทรีย์ไร้ความสามารถ”
สีหน้ามู่อวิ๋นซีเก้ๆ กังๆ เล็กน้อย กล่าวอวยพรให้แก่เจ้าสำนักอินทรีย์ “เช่นนั้น ขอบคุณเจ้าสำนักว่านมาก”
“เอาเถิด เอาเถิด” เมื่อสิ้นเสียง ก็ไร้เงาเจ้าสำนักอินทรีย์ทันทีเหมือนกับตอนที่ปรากฏตัว
มู่จื่อชวนถอนหายใจ มองไปทางมู่อวิ๋นซี “เจ้าเชิญเจ้าสำนักอินทรีย์หรือ?”
มู่อวิ๋นซีส่ายหัว มองไปที่รถม้า
มู่จื่อชวนเข้าใจแจ่มแจ้ง “เหตุใดเมื่อครู่เจ้าไม่ถามคนผู้นั้น ให้เป็นคนสั่งเขามา? พวกเราจะได้เตรียมป้องกัน”
“ข้ารู้ว่าเป็นใคร ถามอีกก็จะเพิ่มความยุ่งยาก” ขโมยยาสร้างเนื้อของนางไม่สำเร็จ จึงแก้แผนมาปล้นโจ่งแจ้ง ถ้าโจรนั่นเอ่ยชื่อฮูหยินเล็กเติ้งและมู่เซิ่งออกมาจริงๆ พวกเขาจะจัดการได้แย่เสียด้วยซ้ำ สู้แสร้งทำให้เลอะเลือนไปเสียดีกว่า
“ท่านพี่ เมื่อท่านกลับไป ถ้าหากมีคนมาถามว่าเดินทางราบรื่นหรือไม่ ท่านตอบไปว่าเดินทางราบรื่นดี”
“ได้ ข้าจะฟังเจ้า” มู่ชวนจื่อไม่ถามมากความ ตอบเพียงประโยค
จากคำพูดของหัวหน้าสำนัก จากนี้ไปเดินทางราบรื่น พ่อบ้านอู๋แห่งแปลงดอกไม้ได้ข่าวก่อนแล้ว จึงรออยู่ที่ต้นทางแปลงดอกไม้”
“คารวะท่านชาย คารวะคุณหนูรอง!”พ่อบ้านอู๋นำกลุ่มยายรับใช้ สาวใช้เข้าคารวะมู่จื่อชวนและมู่อวิ๋นซี “ทางห้องได้จัดการเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านชาย คุณหนูทางด้านนี้ขอรับ”
เห็นข้ารับใช้เดินเข้าไปจูงม้า มู่จื่อชวนรีบกำชับ “ระวังด้วย ในรถม้ามีเพื่อนคนหนึ่ง ร่างกายยังไม่สู้ดีนัก จะต้องพักอยู่ที่นี่สองสามวัน”
เมื่อเข้าไปในแปลงดอกไม้ ราวกับก้าวจากเหมันต์ฤดูเข้าสู่วสันตฤดู ทั่วบริเวณห่อหุ้มด้วยอากาศอบอุ่น หอมหวาน สิ่งที่เข้าสู่สายตาคือบุปผาผลิบานส่องสว่าง สีแดงดั่งไฟ สีน้ำเงินดั่งทะเล สีเหลืองดั่งทอง แต่ละภาพนั้น ราวกับภาพวาดสีที่กว้างใหญ่มหาศาลและหลากสีสัน
ไม่รอมู่อวิ๋นซีสอบถาม พ่อบ้านอู๋เริ่มแนะนำแล้ว “ปีนี้องค์หญิงทรงเลือกที่นี่สร้างเป็นแปลงดอกไม้ เป็นเพราะว่าที่นี่มีน้ำพุร้อนตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้ ฝ่าบาททรงรับสั่งให้คนขุดเปิดทางน้ำพุร้อนหลายสายให้ไปบริเวณทั่วแปลงดอกไม้ เป็นเพราะน้ำพุร้อนแห่งนี้ อากาศของแปลงดอกไม้ที่นี่จึงสูงกว่าด้านนอกขอรับ”
เขาชี้ไปทางกำแพงล้อมรอบยาวสีเทาทั้งสี่ด้านของแปลงดอกไม้ “กำแพงล้อมเหล่านี้ล้วนคลุมด้วยหนังวัวหนึ่งชั้น สามารถสกัดกั้นความหนาวเย็นจากภายนอกได้ และยังมีด้านบน….”
มู่อวิ๋นซีแหงนหน้ามองตามที่เขาชี้ ด้านบนก็เป็นช่องว่างเหมือนตาราง
“ถ้าหากเจอพายุหนักหรือฝนพายุใดๆ เพียงแค่พวกข้าตระเตรียมปูหนังวัวไว้ที่ด้านบน ดอกไม้เหล่านี้พัง แล้วพ่อบ้านอู๋ชี้ไปที่ที่ว่างเปล่า “ที่นี่ จัดวางไว้เป็นที่เฉพาะเพื่อสกัดหิมะและน้ำฝนที่สะสมไว้ เพื่อเลี่ยงมิให้หนังวัวพังทรุดเมื่อถึงเวลาที่ต้องกั้นฝนและหิมะ”
“คิดดีมากจริงๆ ” มู่อวิ๋นซีชื่นชมด้วยใจจริง
แปลงดอกไม้แห่งนี้ ตั้งแต่การเลือกขนาดจนถึงการสร้าง จนกระทั่งสร้างเสร็จสมบูรณ์ กระทั่งปลูกดอกไม้ในพื้นที่ กระทั่งการเลี้ยงหญ้า ต้องใช้ความใส่ใจขององค์หญิงใหญ่ ท่านพ่อ ท่านแม่ไม่น้อย ทำไปทีละขั้นตอนจนกว่าจะมีวันนี้
ดอกไม้สีสวยสดใส มู่เซิ่งอยากจะได้แปลงดอกไม้แห่งนี้ไป อย่าว่าแต่ช่องประตูเลย แม้แต่หน้าต่างก็ไม่มี
“พ่อบ้านอู๋!” หญิงสาวสวมชุดสีน้ำผึ้งเดินออกมาจากทางด้านหลังซากุระมาขวางทางพวกเขาเอาไว้