ดวงตามู่อวิ๋นซีสั่นไหว “มีผู้อื่นไว้วานให้ฮูหยินฉินมาหรือ?”
ฮูหยินฉินอึ้งไป ในดวงนั้นฉายแววชื่นชม “คุณหนูรองปราชญ์เปรื่องยิ่งนัก พวกนางมิกล้าบากหน้ามาเหมือนกับข้า ช่วงนี้ยังหลบอยู่ในห้องตลอดเวลา มิกล้าพบหน้าคน รู้ว่าข้าใช้หยกวิไลแล้วบาดแผลจางหาย จึงอยากจะซื้อกับทางคุณหนูรองสักตลับ เงินเท่าไหร่ไม่ขัด อย่างไงก็ตามไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่าใบหน้าของพวกนางอีกแล้ว”
“ใบหน้าพวกนางแม้จะถูกหลิ่วเย่ทำร้าย แต่สุดท้ายล้วนตกเป็นความภาระของตระกูลมู่ของข้า ข้ามีหน้าที่คืนความงามให้พวกนางเช่นเดิม เพียงแต่ข้าเกรงว่าหากเข้าไปเยี่ยมเยือนโดยพลการจะถูกทำร้ายเอาได้ ดังนั้นที่ผ่านมาข้าจึงมิกล้าทำอะไร”
“ในเมื่อพวกนางขอร้องถึงฮูหยินฉิน เช่นนั้นข้าจะขอช่วยฮูหยินสักครั้ง”
มู่อวิ๋นซีนำป้ายหยกสองชิ้นจากแขนเสื้อมอบให้ฮูหยินฉิน “ฮูหยินโปรดนำป้ายหยกทั้งสองชิ้นนี้ให้แก่ฮูหยินติงและฮูหยินลู่ เมื่อไปแดงดุจท้อ ใช้สิ่งนี้ก็สามารถรับหยกวิไลได้หนึ่งตลับ ข้ารับรอง ผลของมันไม่แตกต่างจากที่ข้ามอบให้กับฮูหยิน”
ฮูหยินฉินลังเลอยู่ไม่นาน รับป้ายหยกทั้งสองมา “เช่นนั้นข้าขอขอบใจเจ้าแทนพวกนางแล้ว”
นางมองมู่อวิ๋นซีด้วยสายตาจริงจัง “จากนี้ไป จะมีเพียงคุณหนูรองที่เป็นเจ้าของแดงดุจท้อ ตระกูลฉินของข้าจะมิซื้อน้ำแป้งชาดจากอื่นอย่างแน่นอน”
ดวงตามู่อวิ๋นซีเปล่งประกาย ฮูหยินฉินเป็นคนซื่อตรงเปิดเผยต่อผู้อื่น แม้สตรีสูงศักดิ์มากมายในเมืองหลวงจะมิอาจทนดูนางได้ แต่ทว่าฮูหยินฉินกลับเชื่อมั่นในตัวนาง
นางทำเช่นนี้ อย่างน้อยเมื่อคนมากกว่าครึ่งต้องการซื้อน้ำแป้งชาด พวกนางจะเลือกแดงดุจท้อเป็นอันดับแรก
“ฮูหยินโปรดวางใจ ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง”
ฮูหยินฉินยิ้มเล็ก ไม่กล่าวสิ่งใดอีก ปิดผ้าของเหวยเม่าลง “เช่นนั้นวันหลังข้าค่อยมาเข้าเฝ้าองค์หญิง ข้าขอลา”
“ข้าขอส่ง…”
“มู่อวิ๋นซี!”
ทันใดนั้น มู่เซิ่งถลันเข้ามา ประสานตากับฮูหยินฉิน แอบเก็บความโกรธเคืองของตนแล้วฝืนยิ้มทักทาย “คารวะท่านฮูหยินฉิน”
“ที่แท้เป็นท่านรองมู่นี่เอง ข้านึกว่าเด็กที่ไหน” ฮูหยินฉินชำเลืองมองมู่เซิ่งแล้วมองไปทางมู่อวิ๋นซี “ดูเหมือนท่านรองมู่จะมีเรื่องหารือกับเจ้า เจ้ามิต้องส่งข้าแล้ว”
มู่อวิ๋นซีคำนับ เมื่อเห็นฮูหยินฉินจากไปไกลแล้ว นางพึ่งสังเกตเห็นสายตามู่เซิ่งที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก “ท่านรองมู่มีเรื่องอันใดให้ข้ารับใช้?”
“ข้าไม่ได้มาออกคำสั่ง อวิ๋นซี เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ตระกูลมู่เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” มู่เซิ่งกล่าวด้วยความร้อนใจ “ครั้งนี้เจ้าจะนิ่งเฉยมิได้ ไม่เช่นนั้นต่อให้รอจนท่านย่าของเจ้ารักษาไข้จนหาย นางก็ไม่ยอมยกโทษให้เจ้าเป็นแน่”
“เรื่องอะไรหรือ?” มู่อวิ๋นซีถามด้วยความสงสัย
“เรื่องราวละเอียดเจ้าอย่างพึ่งถามเลย ยาสร้างเนื้อล่ะ รีบเอามาให้ข้าสองเม็ด” มู่เซิ่งยื่นมือ
กล่าวถึงยาสร้างอีกแล้ว มู่อวิ๋นซียิ้มร่า “ท่านรองมู่ ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกกับท่านแล้ว เมื่อคืนนี้ข้าได้ฝากฮูหยินเล็กเติ้งไปบอกกับท่าน ว่าข้าไม่มียาสร้างเนื้อแล้ว”
“มู่อวิ๋นซี!”
ดวงตากลมขยับของมู่เซิ่งจ้องนางเขม็ง “เจ้ารู้หรือไม่ วันนี้มีคนทำร้ายธิดาของใต้เท้าผิงจุ่นลิ่งที่จี้ซื่อถัง บนใบหน้านางมีรอยแผลเป็น ใต้เท้าผิงจุ่นลิ่งจะไว้ชีวิตคนจี้ซื่อถังหรือ? เจ้าอย่าลืมนะ เจ้าคือคนของตระกูลมู่ ถึงเวลาเจ้าจะโดนดีอะไรบ้าง?”
“กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา” มู่อวิ๋นซีนิ่งเฉย
“แม้ว่าใต้เท้าจะสร้างปัญหา คนแรกที่ควรจะไปหาคือฮูหยินเล็กเติ้ง หลังจากนั้นก็ต้องมาหาท่านรองมู่ เรื่องค่อยมาถึงข้า ก็ไม่รู้เวลาไหนแล้ว ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันเถิด”
“เจ้า…” มู่เซิ่งโกรธหายใจหอบฟึดฟัด “มู่อวิ๋นซี พวกข้าโชคร้ายแล้วมันมีผลดีอะไรกับตัวเจ้า? เราเป็นครอบครัวเดียวกัน…”
เขาหันมามองมู่ซิ่วที่ยืนขลาดกลัวอยู่ข้างๆ “ซิ่วซิ่ว เจ้าว่ามันสมเหตุสมผลหรือไม่”
มู่ซิ่วค่อนข้างลังเล ก้มหัวเดินไปใกล้มู่อวิ๋นซีเอ่ยเสียงต่ำ “อวิ๋นซี หรือว่าเจ้าจะให้ยาสร้างเนื้อแก่ท่านปู่สักเม็ดดีหรือไม่ ถ้าหากใต้เท้าผิงจุ่นลิ่งเพ่งเล็งแดงดุจท้อ คงมิใช่เรื่องดี เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
“พี่สาว มิใช่ว่าข้าไม่อยากให้ แต่ข้าไม่มีแล้วจริงๆ ”
“หึ!” มู่เซิ่งส่งเสียงเย็นชา เหลียวมองมู่จื่อหลันกำลังยืนที่ประตู สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป
“อวิ๋นซี…”
“พี่สาว” มู่ซิ่วอยากจะโน้มน้าวใจอีกครั้ง มู่อวิ๋นซีตัดบทนาง “เมื่อครู่ที่ฮูหยินฉินพูด เจ้าคงได้ยินแล้ว หลังจากนี้เกรงว่ายังมีคนอีกไม่น้อยที่จะไปแดงดุจท้อเพื่อซื้อน้ำแป้งชาด ดังนั้นสองสามวันนี้ข้าอยากนอนพักที่แปลงดอกไม้ ดูสถานการณ์เรื่องผลิตน้ำแป้งชาด ท่านย่าคงจะฝากฝังให้เจ้าดูแล”
“ต้องไปตอนนี้เลยหรือ?” มู่ซิ่วอุบคำพูดที่กำลังจะออกมาจากปาก
“อืม พี่สาวโปรดวางใจ อย่างน้อยก็เจ็ดวัน อย่างมากก็สิบวัน ข้าก็กลับมาแล้ว” มียาถอนพิษและยาโสม แล้วยังมียาสร้างเนื้อ อาการบาดเจ็บของเฟิ่งเชียนเย่อย่างมากสิบวันก็น่าจะหายแล้ว”
นางเดินทางไปแปลงดอกไม้ครั้งนี้ ที่บอกว่านางไปตรวจสอบการผลิตน้ำแป้งชาดเป็นเรื่องปลอม แต่การรอให้เฟิ่งเชียนเย่หายป่วยนั้นเป็นเรื่องจริง
ถ้าหากพาเฟิ่งเชียนเย่มาอยู่กับนางที่นั่นต่อ ไม่แน่ว่าอาจมีใครบุกเข้าไปอีก เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนางเองก็ไม่อยากแสดงตบตาอีก
“สิบวันเชียวหรือ?” ดวงตามู่ซิ่วยื่งหดหู่ “ถ้าหากท่านย่า…”
“ไม่มีถ้า” มู่อวิ๋นซีตัดบทมู่ซิ่ว “หมอหญิงโจวฝังเข็มให้ท่านย่าทุกวัน นางกล่าวว่าอาการท่านย่าสามารถทรงตัวได้หนึ่งเดือน อาการท่านย่าจะต้องประคองไปถึงหนึ่งเดือนแน่นอน” ถึงเวลานั้น นางก็จะเชิญศิษย์พี่ออกโรง องค์หญิงใหญ่จะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน
“เอาเถิด เจ้าดูแลตัวเองดีๆ ” มู่ซิ่วไม่กล่าวสิ่งใดอีก
มู่จื่อหลันที่ยืนอยู่ตรงประตูเห็นมู่อวิ๋นซีเดินจากไป ถึงจะเดินเข้ามา ถอนหายใจแผ่วเบา “ว่ากันว่า คนจากไปชาเย็นลง* คนนี่ยังไม่ทันไป ชาก็เย็นชืดเสียแล้ว” (*คนจากไปชาเย็นลง หมายถึงคนยังไม่ทันหมดอำนาจก็ไม่มีใครสนใจแล้ว)
มู่ซิ่วมองไปทางมู่จื่อหลันทันที “เจ้าจะพูดอะไร?”
“ซิ่วซิ่ว” มู่จื่อหลันกลับจับมือมู่ซิ่วเอาไว้ “เจ้านี่ช่างโง่เขลาเสียจริง ยังดูไม่ออกอีกรึ คุณหนูรองไปตรวจแปลงดอกไม้ที่ไหนกัน นางเพียงไม่อยากเห็นองค์หญิงใหญ่”
“เป็นไปได้อย่างไร? อวิ๋นซีไม่ใช่คนเช่นนั้น”
“จะไม่ใช่ได้เยี่ยงไร” มู่จื่อหลันถอนหายใจ “หมอหญิงโจวก็เคยกล่าวไว้แล้ว แม้นางจะพยายามสุดกำลัง องค์หญิงก็ทรงมิอาจมีพระชนม์ชีพถึงหนึ่งเดือน มีวันเวลาจำกัด จะมีเรื่องใดสำคัญไปกว่าองค์หญิงอีกเล่า เงินทองภายหลังยังหาใหม่ได้ แต่ถ้าคนไม่อยู่แล้ว ต่อไปจะหาชดเชยได้จากที่ไหนกัน?”
“เหตุผลนี้ เจ้ากับข้าต่างรู้ เป็นไปไม่ได้ที่คุณหนูรองจะไม่รู้ ที่จริงแล้ว เรื่องนี้มิอาจโทษนาง นางกับองค์หญิงรู้จักกันไม่ถึงสองเดือน จะมีความรู้สึกอะไรกันได้? นางทำไปเพื่อวางแผนให้กับตัวเองในภายภาคหน้าแค่นั้น”
นางมองมู่ซิ่วกำลังเม้มริมฝีปาก สีหน้าเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม ในดวงตาเปื้อนยิ้ม “เจ้าก็รู้ ที่นางไม่ทานอาหารเย็นร่วมกับเจ้า นางกำลังทำอะไรอยู่”
“นางบอกว่านางไม่สบาย”
“เห้อะ!” มู่จื่อหลันหัวเราะ “เกรงว่านางจะสบายดีมากๆ น่ะสิ เมื่อคืน ข้ากับท่านแม่ไปส่งบัวหิมะให้กับนาง ข้าเห็นกับตา ว่าสามีของพวกเราออกมาจากห้องนางอย่างอาลัยอาวรณ์”
เมื่อคืนตอนลงบันไดนางไม่ระวัง เท้าเคล็ดจึงเคลื่อนไหวช้าสักระยะ จึงเห็นเจี่ยอี้ออกมาจากห้องมู่อวิ๋นซีกับตาตัวเอง
นางแพศยานั่นโกหกพวกนาง
“ไม่ เป็นไปไม่ได้” มู่ซิ่วอดไม่ได้ที่จะลูบกำไลข้อมือปะการังแดงบนข้อมือนาง “เขาอาจจะมีเรื่องจึงต้องหาอวิ๋นซี”