เตชินรู้สึกโมโหอย่างมากที่ไม่ได้ข้อมูลผู้อยู่เบื้องหลังเลย
เขาจึงหันไปเอ่ยกับผู้ช่วยคังด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
” สืบมาให้ละเอียด “
” ครับ “
เอ่ยจบเตชินก็เดินออกไป ผู้ช่วยของณัชชาก็ถูกตำรวจคุมตัวไป
ส่วนณัชชา เธอยืนนิ่งด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าผู้ช่วยที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี
ดูเป็นห่วงเป็นใย ให้คำแนะนำ คอยเป็นมือเป็นขาให้จะเป็นเพียงแค่การเสแสร้งแกล้งทำ
เพื่อให้เธอตายใจ ตั้งแต่เกิดเรื่อง เธอไม่เคยเอะใจ หรือสงสัยในตัวผู้ช่วยเลย
เธอรู้สึกผิดต่อเตชินมาก ที่เลี้ยงงูเห่าไว้ข้างกาย จนกลับมาฉกพวกเขาเองแบบนี้
เธอเดินไปที่ห้องของเตชิน ยกมือเคาะประตูเบาๆแล้วเดินเข้าไปในห้อง
เตชินมองเธอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แววตาเย็นชา ทำให้เธอรู้สึกเย็นไปถึงขั้วหัวใจ
แต่ก็ฝืนเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังด้วยความรู้สึกผิด
” ฉันขอโทษค่ะ ที่ไม่ระวังคนรอบข้างให้ดี ไว้ใจคนง่ายเกินไป
จนทำให้บริษัทเกิดปัญหาใหญ่ แต่คุณไม่ต้องห่วงนะคะ
ฉันจะทำทุกวิถีทาง สร้างความเชื่อมั่นให้
นักลงทุนให้กลับมาร่วมลงทุน ซื้อหุ้นของบริษัทเราอีกครั้งให้ได้ค่ะ “
เตชินจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำว่า
” พรุ่งนี้ผมจะจัดแถลงข่าว ผมจะให้โอกาสคุณได้แก้ตัวสักครั้ง
ต่อไปจะรับใครเข้ามาทำงานคงรู้นะว่าไม่ควรใช้ความรู้สึกส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง “
” ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว “
เตชินรู้ว่าณัชชาเป็นคนใจอ่อน ขี้สงสาร จึงเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ผู้ไม่หวังดีใช้เป็นเครื่องมือได้ง่าย
แม้เธอจะเก่ง มองผิวเผินแลดูเพรียบพร้อม แต่แท้จริงแล้วณัชชาขาดความเป็นผู้นำหลายจุด
มองคนไม่ทะลุปรุโปร่ง ใจอ่อน ขี้สงสาร ชอบใช้ความรู้สึกส่วนตัว และไม่มีความเด็ดขาด
จากนั้นเตชินก็เอ่ยต่ออย่างเหนื่อยหน่ายว่า
” คุณออกไปเถอะ “
ณัชชามองเตชินด้วยสีหน้ารู้สึกผิดแววตาเจือความเศร้า
ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปแล้วปรับสีหน้าให้
นิ่งเฉย
แต่ยังคงความสง่าไว้ในทุกท่วงท่าในการเดิน
หลังจากที่ณัชชาออกไป เตชินก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปหาพิม
เมื่อพิมรับสายเขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างตำหนิว่า
” ผมจ้างคุณเดือนละสองหมื่นเพื่อมาเล่นซ่อนแอบหรือไง คุณถึงใช้ทางเดินบันได้หนีไฟ
พิมคุณอย่าคิดจะใช้ลูกเล่นกับผมนะ ผมไม่ได้มีความอดทนกับคุณหรอกนะ “
พิมได้ยินดังนั้นเธอทั้งน้อยใจ และอารมณ์ขึ้นทันที จึงเอ่ยตอบไปด้วยความโมโหว่า
” นี่ฉันช่วยให้คุณจับตัวผู้ที่ทำให้บริษัทของคุณเสียหายได้ แทนที่จะขอบคุณ
คุณกลับโทรมาตำหนิฉัน มันเหมาะสมแล้วเหรอ ผู้บริหารอย่างคุณทำกับผู้มีพระคุณแบบนี้เหรอ
ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป จริงๆเลย
แล้วก็ไม่ต้องเอาเงินสองหมื่นมาพูด ไม่ต้องเอาเงินสองล้านมาขู่ เข้าใจมั้ย “
ด่าเสร็จเธอก็กดวางสายไป เท้าเอวหายใจออกมาแรงๆด้วยความโมโห แล้วบ่นว่า
” พิมนะพิม ไม่น่าไปทำสัญญาบ้าบอนั่นเลย
ชีวิตที่เคยสงบ กลับวุ่นวาย ไม่สงบสุขอีกเลยตั้งแต่เซ็นสัญญาบ้าบอนั่น “
เตชินนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานบริษัทด้วยท่าทางสุขุม สง่าผ่าเผย
ใบหน้าเหล่อเหลาคิ้วขมวดเข้าหากัน เมื่อถูกพิมวางสายใส่เป็นครั้งที่สอง
เขาไม่รู้จะว่าอะไรเธอจึงเอ่ยออกมาอย่างหงุดหงิดใจ
สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาราวกับก้อนน้ำแข็ง
” อวดดี! “
แล้วเขาก็โยนโทรศัพท์ทิ้งไปไกลออกไปจากตัวเขา
จากนั้นก็ก้มหน้าทำงานต่ออย่างเงียบๆ พอถึงตอนเที่ยง เขามองออกไปที่ประตู
แต่ก็ไม่มีเงาของพิมโผล่มา แล้วเขาก็ก้มหน้าทำงานต่อ
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง เขาเริ่มหิว มองดูนาฬิกาที่ข้อมือ เป็นเวลาเที่ยงครึ่งแล้ว พิมก็ยังไม่มาอีก
เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป เอ่ยกับผู้ช่วยคังที่อยู่หน้าห้อง ด้วยสีหน้าเย็นชาว่า
” กลับไปทานข้าวที่บ้าน “
ได้ยินดังนั้นผู้ช่วยคังถึงกับอึ้งไปสามวิ ดวงตาเบิกกว้าง
พอได้สติ คิดว่าตัวเองได้ยินผิดไปจึงเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
” คุณชายว่าไงนะครับ “
เตชินมองเขาแล้วเอ่ยเสียงเย็น
” ผมไม่พูดเป็นครั้งที่สอง “
พูดจบเขาก็เดินออกไป ผู้ช่วยคังรีบเดินตามเขาไปแบบงงๆ
ที่อยู่ๆคุณชายเขาก็อยากกลับไปทานมื้อเที่ยง
ที่บ้าน แต่ก็ไม่เอ่ยถามอะไรอีก
ได้แต่ไปเอารถมารับเจ้านาย แล้วขับออกไปมุ่งหน้ากลับไปที่บ้าน
พิมอยู่บ้าน วุ่นวายอยู่กับการล้างผักกาด เธอเสียใจที่ถูกตำหนิ จึงรู้สึกคิดถึงบ้านขึ้นมา
เลยทำจอผักกาดกิน เธอนำเนื้อหมูและซีโครงลงไปต้มในหม้อ
แล้วมานำเอาพริกกับกระเทียมและหอมแดงมาโขลกจนละเอียด
จากนั้นเธอก็ตักกะปิใส่ลงไปโขลกให้เข้ากัน พอเนื้อหมูเริ่มสุกส่งกลิ่นหอม
เธอก็ตักพริกแกงที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในหม้อ จากนั้นก็ใส่ปลาร้าและรสดีลงไป
ใส่เกลือนิดหน่อยแล้วใส่น้ำมะขามเปียกที่เตรียมไว้
ตามด้วยใส่ผักกาดกับมะเขือเทศลูกเล็กหรือมะเขือส้ม
เพื่อเพิ่มความนัว เพิ่มความกลมกล่อมให้น้ำแกง
จากนั้นเธอก็ปิดฝาหม้อรอให้ผักกาดสุก
เมื่อสุกแล้วเธอก็ตักออกมาใส่ถ้วยไปวางไว้บนโต๊ะอาหาร
เตชินเดินเข้ามาในบ้านได้กลิ่นหอมของจอผักกาด
ก็รู้สึกหิวจัดขึ้นมาทันที จนท้องร้องออกมา
เขาเดินมานั่งลงแล้วหยิบช้อนขึ้นมาชิมแล้วเอ่ย
” อืม รสชาติใช้ได้ อมเปรี้ยว อมหวาน อมเค็ม เป็นรสชาติที่แปลกใหม่ อร่อยดี “
เขาไม่เคยทานอาหารทางเหนือเลย และเป็นคนไม่ทานกะปิกับปลาร้าด้วย
แต่ครั้งนี้ เขากลับรู้สึกว่า อาหารบนโต๊ะนั้นส่งกลิ่นหอมจนเขาต้องชิม
พิมเดินออกมาพร้อมข้าวสวย เมื่อเห็นเตชิน เธอก็มองเขาด้วยแววตาเย็นชา สีหน้าขุ่นเคือง
เธอคิดว่าเขายังไม่ได้ทานข้าว จึงตักข้าวใส่จานวางลงตรงหน้าเขา
แล้วเธอก็หมุนตัวเดินออกไปด้วยสีหน้าบึ้งตึงโดยไม่เอ่ยอะไร
คิดว่าจะเข้าไปทานข้าวในห้องครัว เพราะไม่อยากมองหน้านายจ้างคนนี้
เตชินเห็นดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น
” คุณจะไปไหน มานั่งทานข้าวตรงนี้ “
เธอจึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า
” ฉันไม่หิว คุณทานก่อนเลย “
เตชินรู้ว่าเธอโกรธเรื่องเมื่อเช้า และรู้ว่าตอนนี้เธอหิวมาก
เธอเตรียมอาหารบนโต๊ะก็เพื่อตัวเองไม่ใช่เพื่อเขา เขาจึงเอ่ยต่อว่า
” งั้นเหรอ แต่ดูเหมือนอาหารที่หน้าตาอัปลักษณ์ กลิ่นเหม็นแปลกๆนี่ ไม่ได้ถูกเตรียมมาเพื่อผมนะ “
ได้ยินเขาว่าให้อาหารที่เธอทำแบบนั้นเธอจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยเย็นชาว่า
” ถ้าคุณไม่ชอบ ฉันจะไปเก็บค่ะ แล้วจะให้ผู้ช่วยคังสั่งอาหารราคาแพงๆหน้าตาน่าทานๆให้ค่ะ “
พูดจบเธอก็เดินกลับมาที่โต๊ะอาหาร เตรียมจะเก็บถ้วยแกง พอมือไปสัมผัสถ้วยแกง
เตชินก็จับมือเธอไว้ แล้วมองหน้าเธอที่กำลังบึ้งตึงและเย็นชาอย่างเงียบๆ แล้วเอ่ย
” ผมขอโทษ คุณพอใจยัง ถ้าพอใจแล้วก็นั่งลงทานข้าวกับผม ตามข้อตกลงในสัญญา ผมหิวแล้ว “
แล้วเขาก็ลุกขึ้นกดไหล่พิมให้นั่งลงข้างๆเขา จากนั้นก็ไปตักข้าวใส่จานให้เธอแล้วเอ่ย
” วันนี้ผมบริการคุณ ตอบแทนที่คุณช่วยจับผู้ไม่หวังดีมาลงโทษ “
เขาวางจานข้าวลงตรงหน้าเธอแล้วเอ่ยต่อว่า
” ทานข้าวเถอะ ผมรู้ว่าคุณหิว “
ด้วยความที่หิวมาก พิมจึงจับช้อน แล้วก้มหน้าก้มตาทานข้าวอย่างเงียบๆ
โดยที่ไม่พูดไม่จาอะไรอีกต่อไป
เตชินทานข้าวไปมองเธอไป จนเผยยิ้มในหน้าออกมาอย่างเงียบๆ