ที่นั่งด้านในเต็มหมด จริงๆ แล้วที่นั่งของอวี่ชูห่างจากที่นั่งของจี้ผิงโจวสามที่นั่ง แต่เธอกลับขอเปลี่ยนที่นั่งกับเป๋ยเจี่ยนต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่มากมาย
ก่อนที่จะเปลี่ยนที่นั่ง เธอยังถอดเสื้อคลุมออก เพราะเสื้อคลุมของเธอฉีดน้ำหอมมา จึงกลัวว่าจี้ผิงโจวจะรังเกียจ
เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้านตระกูลอวี่ เธอจะเอาอะไรก็ได้ดั่งใจหมดทุกอย่าง
เรื่องของจี้ผิงโจวขาดเพียงเธอไปเท่านั้น เขาไม่ได้มีความรู้สึกให้กับเธออีก หลายปีที่ผ่านมานี้ คนในบ้านตระกูลอวี่ก็ยังนึกถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ และรู้สึกเสียดายไม่หาย โกรธที่ในตอนแรกไม่ได้รักษาโอกาสไว้ให้ดี ที่ไม่ได้ส่งอวี่ชูไปบ้านตระกูลจี้
ตอนนี้เห็นอวี่ชูนั่งอยู่ข้างๆ จี้ผิงโจว คุณลุงอวี่ก็หัวเราะขึ้นเบาๆ พร้อมกับแซวว่า : “ชูชูก็ยังชอบที่จะอยู่กับโจวเออร์ ไปเรียนถึงต่างประเทศก็ยังบ่นคิดถึงไม่หยุด ครั้งนี้นับว่าฝันของเธอเป็นจริงแล้ว”
อวี่ชูเป็นคนปากหวาน พูดเก่งตั้งแต่เด็ก จึงพูดเอาใจผู้หลักผู้ใหญ่เป็น
“งั้นต้องขอบคุณ คุณอา ที่รอหนูกลับจากต่างประเทศแล้วค่อยมาทานข้าวกับพี่โจวโจว”
ได้ยินเธอพูดแบบนี้ จี้ซูที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมาทันที รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว ก้มหน้าทำปากมุบมิบเลียนแบบเธอ
คุณอาอวี่หันไปทางจี้ซู แล้วตั้งใจพูดไปว่า : “เสี่ยวซูปีนี้ก็ไม่ได้เด็กแล้ว ยังไม่คิดจะแต่งงานอีกเหรอ? ”
ซุปที่พึ่งจะกลืนลงคอ
จี้ซูอยากจะพ่นมันออกมาใส่หน้าของเขา แต่เพราะมารยาท เธอจึงต้องกัดฟันอดทนเอาไว้
เธอค่อยๆ วางช้อนซุปลง หันไปแสร้งยิ้มให้คุณอาอวี่ : คุณอา หลานสาวของคุณโตกว่าหนูตั้งเยอะ เธอยังไม่แต่งงานเลย ทำไมจู่ๆ คุณอาถึงห่วงหนูขึ้นมาละคะ?”
สงครามประสาท สู้กันไปมา และรอบนี้ก็ถูกตีกลับไป
อวี่ชูคีบเนื้อปลาที่ไม่มีก้างวางลงบนจานของจี้ผิงโจว พูดขึ้นน้ำเสียงจริงจัง ราวกับเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากข้างใน : “ฉันก็จนปัญญาจริงๆ ก็ในเมื่อ……ไม่มีโอกาสแล้วน่ะสิ”
จี้ซูที่กินข้าวอยู่เหมือนกำลังจะสำลักจนตาย
เธอพยายามส่งสายตาให้จี้ผิงโจว แต่เขาไม่ได้สนใจเลย ยังจะให้อวี่ชูแสดงท่าทีแบบนั้นต่อ
ผู้หลักผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ในที่นี้ต่างรู้ว่าดีพวกเขาเคยคบกัน และเกือบจะแต่งงานกันด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลฝั่งแม่ของจี้ผิงโจวเป็นปรปักษ์กับตระกูลอวี่ พวกเขาก็คงจะแต่งงานกันเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว
เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับตระกูลอวี่
คุณอาอวี่วางตะเกียบลง มองไปยังจี้ผิงโจวด้วยสายตาที่ลุ่มลึก ถามขึ้นด้วยคำถามที่แปลกประหลาด
จี้ผิงโจวจิบชาไปคำหนึ่ง ตั้งแต่เข้ามานั่ง เขาไม่ได้ทานอะไรเลย ตอนนี้เขาก้มหน้าลง เห็นเนื้อปลาวางอยู่บนจานเขา เขาขมวดคิ้วเบาๆ ได้ไม่ได้ตอบอะไรออกมา
เรื่องที่หย่ากันยังเป็นความลับ บอกกับคนนอกไม่ได้อยู่แล้ว
คุณอาอวี่เห็นเขาไม่พูดอะไรออกมา จึงเรียกเขาอีกครั้ง : “โจวเออร์? ”
จี้ผิงโจวตอบกลับไป ราวกับเอาแน่เอานอนไม่ได้ : “เธอมีเรื่องยุ่งๆ ที่ต้องไปจัดการ เอาไว้ครั้งหน้านะครับ”
“มีเรื่องอะไรให้ยุ่งเหรอคะ? ” อวี่ชูถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจีบปากจีบคอ เธอไม่ได้หยุดพูด และมือก็ไม่ได้หยุดกระทำ มือของเธอยังไม่หยุดคีบผักวางลงบนจานของเขา : “พี่ไม่ได้บอกเธอเหรอ? ว่าครั้งนี้พี่จะมาทานข้าวกับเพื่อนที่สนิทที่สุด? ”
จี้ซูที่นั่งอยู่ข้างๆกลอกตามองบน
ตอนแรกนึกว่าครั้งนี้จี้ผิงโจวจะไม่สนใจ เขากวาดตามองอาหารในจานแล้ว สายตาก็จับจ้องไปที่อวี่ชู
“ทำไมเธอถึงต้องอยากจะเจอหน้าเธอด้วยล่ะ? ”
คำพูดนี้ค่อนข้างจริงจัง บรรยากาศรอบๆ เหมือนกำลังจะถูกแช่แข็ง อวี่ชูหยุดมือที่กำลังตักกับข้าว เธออยากจะหัวเราะแต่ก็หัวเราะไม่ออก
จี้ผิงโจวกลับจริงจังขึ้นมา เรื่องนี้มันมาจากข้างในของเขาจริงๆ เขายกมือเรียกพนักงาน : “รบกวนช่วยเปลี่ยนจานชุดใหม่ให้ด้วย ขอบคุณครับ”
จานถูกเก็บออกไป
จี้ซูที่แอบรู้สึกสะใจลึกๆ ในตอนแรกคิดว่ามันจะจบลงแล้ว แต่จี้ผิงโจวกลับหันไปหาอวี่ชูพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “จะกินข้าวก็ตั้งใจกินดีๆ ไม่ต้องคอยคีบอาหารมาไว้ที่จานของฉัน”
ครั้งนี้จี้ซูอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาจริงๆ
เมื่อเจอจี้ผิงโจวตอกหน้ากลับ อวี่ชูก็สีหน้าเปลี่ยนทันที แม้แต่คุณอาของเธอก็ยังส่งสายตาติติงเธอ ให้เธอสำรวมหน่อย
เธอดูเหี่ยวเฉาไปโดยปริยาย ราวกับดอกไม้ที่ไม่มีชีวิต หลังๆ มา เธอจึงค่อนข้างจะสงบลงหน่อย
บรรยากาศร้อนขึ้นมาทันที
จี้ผิงโจวไม่มีอารมณ์จะทานอาหาร รู้สึกร้อนจนอึดอัด เขาจึงถอดเสื้อคลุมออก จู่ๆ มือถือในกระเป๋าก็สั่นขึ้น
เป็นข้อความจากเจิ้งหลาง
เขาที่ในตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะเปิดอ่าน เจิ้งหลางก็ส่งมาอีกหนึ่งข้อความว่า : “หรือว่าฉันควรจะเห็นแก่ที่พวกนายเคยช่วยฉันไว้รอบก่อน แล้วไปจัดการเธอ? ”