วันสำคัญถูกกำหนดอย่างรวดเร็ว เมื่อเป็นแบบนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าเหอเจิงดูถูกส่งออกไปแต่งงานด้วยความเกลียดชัง
ป้าหมิงรู้ว่าเธอไม่ได้เต็มใจแต่งงาน
ป้าหมิงที่คอยดูแลความรู้สึกที่อ่อนแอและเปราะบางดุจแก้วของเธอ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความห่วงใยไม่อยากจะให้เธอไป
เจอหน้ากันคืนนี้ พรุ่งนี้เธอก็จะแต่งงานออกเรือนไปแล้ว
เหอเจิงกัดเชือกมัดผมไว้ จากนั้นเธอก็รวบผมขึ้นมัดแน่น เนี้ยบจนไม่หลงเหลือลูกผมเลยแม้แต่นิดเดียว เธอมองป้าหมิงผ่านกระจก แล้วถอนหายใจเบาๆ : “คุณอย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนี้สิ เหมือนกับว่าฉันจะไปตายอย่างงั้นแหละ”
“ฉันรู้อยู่ว่าเธอไม่ได้เต็มใจ……” ป้าหมิงสวมเสื้อคลุมให้เธอ : “แต่เป็นแบบนี้ จะได้จัดการเรื่องทางแม่ของเธอได้ง่ายขึ้นหน่อย”
“ฉันเข้าใจค่ะ”
“ลำบากเธอแล้ว”
เธอจดกระดุม
เหอเจิงพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม : “ไม่ลำบากเลยค่ะ”
ช่วงหัวค่ำพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าค่อนข้างเร็ว เมฆหมอกเปลี่ยนเป็นสีหม่นหมอง อากาศค่อนข้างชื้น บรรยากาศรอบๆ ค่อนข้างจะอบอ้าว ราวกับว่ามีน้ำฝนที่กำลังอัดแน่นอยู่ในก้อนเมฆพวกนั้น รอการปลดปล่อยอยู่
จุดที่นัดภพคือห้างสรรพสินค้า
ตั้งแต่ออกจากบ้านตระกูลจี้ เหอเจิงมาที่นี่ค่อนข้างน้อยครั้ง
หลังจากที่หย่าแล้ว เธอก็รู้สึกไม่ค่อยชอบที่นี่
เหมือนว่ากำลังย้อนกลับมาตรงจุดเดิม เธอเข้าไปนั่งในร้านอาหารที่นัดกันเอาไว้ อีกฝ่ายยังมาไม่ถึง ความง่วงกำลังมาเยือนเธอแล้วล่ะสิ เธอที่กำลังกุมแก้วที่ร้อนอยู่ เริ่มจะง่วงนอน
น้ำร้อนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นน้ำอุ่น และหลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นน้ำเย็นในที่สุด
ภายในเวลา 2 ชั่วโมงนี้ เหอเจิงดื่มน้ำไปหลายแก้วแล้ว จนพนักงานต่างพากันเห็นใจเธอ
พวกเขาไม่เคยเห็นใครรอนัดนานขนาดนี้มาก่อน
เธอนั่งติดริมหน้าต่าง มองเห็นบรรยากาศด้านนอกที่ค่อยๆ มืดลงช้าๆ ฝนโปรยลงมาเบาๆ สายฝนถูกกระแสลมพัด เหมือนเส้นด้ายสีใส ที่กำลังละเลงวาดลงบนกระจกหน้าต่าง
ผ่านม่านฝนจางๆ ร่มถูกกางออกจากตัวรถ ด้ามจับสีเงิน
มองอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมเข้าไปในวังวนม่านฝน หนาวสะท้านไปทั้งตัว
เธอคุ้นเคยกับคนที่ช่วยกางร่ม และรู้จักคนที่อยู่ใต้ร่มคันนั้นด้วย
เขายังไม่ทันได้ก้าวขึ้นมาบนขั้นบันไดต่างระดับ ผู้หญิงที่ชอบเอาแต่ใจวิ่งออกมาจากรถ คนด้านหลังช่วยกางร่มให้เธอ เธอก็ไม่เอา พอวิ่งได้สองเก้า ก็เหยียบโดนน้ำเข้า รองเท้าโดนน้ำเต็มไปหมดจนกลายเป็นคราบ
แต่เธอก็ไม่ได้ก้มลงไปเช็ด
กลับวิ่งไปต่อ เธอยื่นมือไปกอดแขนของจี้ผิงโจวไว้ ยิ้มให้เขาด้วยสีหน้าออดอ้อน แล้วก็พูดอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นเธอก็ยิ้มแป้น จนเห็นฟันเรียงแถวเกือบครบทุกซี่เชียว
ยิ่งหลบหนียิ่งต้องพบเจอ
มีพนักงานคนหนึ่งเดินเข้ามา ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร : “คุณผู้หญิง รับเพิ่มอีกแก้วไหมคะ? ”
ถ้านับแก้วนี้ด้วย ก็สี่แก้วพอดี
เธอจึงรู้สึกเคอะเขินนิดหน่อย
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก”
เหอเจิงลุกขึ้น เดินไปเช็กบิลที่เคาน์เตอร์ เธอเดาว่าจี้ผิงโจวคงจะใช้ลิฟต์ เธอจึงไปใช้บันไดแทน
เลยเวลาอาหารแล้ว
เวลานี้ไม่ได้มาเพียงแค่จะทานข้าว มีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่เข้ามาในเมืองเดียวกัน เจอหน้ากัน ก็เพื่อที่จะไม่อึดอัดใจเวลาเจอกันครั้งหน้า
แม้แต่จี้ซูกับจี้เหยียนเซียงก็หาเรื่องตามมาด้วย
สองคนเดินตามหลังมา จี้ซูเบะปากใส่คนที่เดินอยู่ข้างหน้า ชายหญิงคู่นี้ จี้ผิงโจวชอบบังคับคนด้วยวิธีนี้ ทำเอาใครต่อใครก็ปฏิเสธไม่ได้
จี้ซูพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประชดประชัน : “พี่ว่าผู้หญิงคนนี้หน้าหนาขนาดไหนคะ ฉันไม่เคยเห็นคนแบบนี้เลย”
“เบาๆ หน่อย คุณลุงอวี่ยังอยู่ข้างหลัง”
“ตระกูลบ้านฉันไม่ได้สนิทกับพวกเขาค่ะ”
ไม่ใช่แค่เพียงไม่สนิท ถ้านับแล้ว ถือว่าเป็นศัตรูด้วยซ้ำไป
ในใจมีความแค้น แต่ต่อหน้าก็ยังต้องแสร้งปรองดองรักใครสามัคคี
เมื่อเดินถึงหน้าลิฟต์ จี้ซูเดินไปข้างหน้าหนึ่งเก้า เธอตั้งใจเดินผ่านทะลุตรงกลางระหว่างเป๋ยเจี่ยนกับจี้ผิงโจว ต้องการที่จะแกล้งผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขา เธอจึงเข้าไปกอดแขนของจี้ผิงโจวด้วยสีหน้าเอาเรื่อง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“คุณอวี่ชู คุณรู้หรือเปล่าว่าพี่ชายของฉันมีครอบครัวแล้ว คุณคิดว่าเหมาะสมหรือเปล่า? ที่จะมาใกล้ชิดสนิทนางกลางห้างต่อหน้าผู้คนมากมาย? ”