เพราะว่าเธอมีอาการแพ้รุนแรง จี้ผิงโจวถึงตัดสินใจอยู่ต่อ
แต่ตอนนี้ยืนอยู่ที่นี้ได้ปกติโดยไม่เป็นอะไร ผื่นสีแดงที่คอก็ดีขึ้นมากแล้ว การกระทำยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่
แต่เหอเจิงกลับมีสีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลย ยังคงไม่ยอมอ่อนข้อ “ข้างในอับเกินไปเลยออกมาสูบอากาศข้างนอกหน่อย”
“ตอนกลางคืนอย่างนี้คุณไม่ต้องเดินไปไหนมาไหนจะเป็นการดีที่สุด”และเป๋ยเจี่ยนก็พูดเสริม “ที่นี่ไม่คอยปลอดภัย”
“ฉันรู้แล้วน่ะ จะกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เห็นเหอเจิงเปิดประตูเข้าไป
รออีกสองสามนาที เพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะไม่ออกมาเดินเพ่นพ่านอีก เป๋ยเจี่ยนถึงเดินลงบันไดอย่างสบายใจ อยากเดินดูสถานการณ์ข้างล่าง เดินไปถึงห้องโถวชั้นหนึ่ง บังเอิญเจอกับฉินจื่อ
เป๋ยเจี่ยนจำเขาได้
เวลาเหอฉวนเจี้ยนทะเลาะกับคนอื่น ฉินจื่อจะอยู่ข้างๆหลังของเขาตลอด อยู่อย่างเงียบไม่ออกเสียง แต่ว่าเขาดูๆแล้วก็ไม่ใช่คนที่น่าคบสักเท่าไหร่หรอก
ยิ่งเหมือนกับคนที่วางแผนไว้ลึกมาก เหมือนกับงูพิษที่รอเวลาที่จะกัดเจ้าของของมัน
เป๋ยเจี่ยนไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับกับเขา
จำได้แค่ว่าเขาถูกส่งมาเป็นคนผู้ช่วยของฉวนเจี้ยนเมื่อไม่กี่ปีก่อน ช่วงไม่กี่ปีมานี้ติดตามขึ้นไปเหมือนกับน้ำขึ้นเรือก็ลอยขึ้น ในมือก็มีอำนาจบ้างแล้ว พ่อแม่ของเขาก็ถูกโยนไปเป็นแพะรับบาปเมื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดครั้งก่อน
อาจจะเป็นเพราะว่าเห็นใจ เขาเลยไม่ได้มีความรู้สึกแค้นอะไรกับฉินจื่อ
รถพยาบาลและรถตำรวจก็ทยอยกลับไปแล้ว มีเพียงส่วนหนึ่งเหลือไว้เก็บกวาดส่วนที่เหลือ เป๋ยเจี่ยนเหลือบไปมองทีหนึ่ง เดินไปหน้าระเบียง แต่ได้ยืนอยู่กับฉินจื่อ เขากำลังคุยกับคนคนหนึ่ง
เป๋ยเจี่ยนชำเลืองตามองทีหนึ่ง ถามเบาๆว่า “พรุ่งนี้ทางจะใช้ได้ไหม”
ผู้หญิงที่รอรับที่หน้าระเบียงจำเขาได้
ท่าทางที่แสดงความนับถือและให้เกียรติ “น่าจะต้องรอถึงเที่ยง คืนนี้หิมะตก ทางจะติดขัดมาก ขอแนะนำว่าคุณกลับตอนเย็นน่าจะดีที่สุด”
“พวกหมอไปกันหมดแล้วหรอ”
“ยังเหลืออยู่ไม่กี่คน คุณไม่สบายหรอ” ผู้หญิงเปลี่ยนสีหน้า “หรือว่าเป็นคุณชายจี้”
ก่อนที่ผู้จัดการจะจากไปได้กำชับพวกเธอว่าต้องบริการแขกพิเศษอย่างจี้ผิงโจวอย่างดี
เป๋ยเจี่ยนเป็นคนข้างกายของจี้ผิงโจว ยิ่งละเลยไม่ได้
เขาไม่อ่อนโยนแต่ก็ไม่ได้ขึ้นเสียง “ไม่ใช่ แต่ว่าคุณหญิงจี้มีอาการแพ้เล็กน้อย อาหารเช้าพรุ่งนี้ขอเอาเป็นแบบอ่อนๆหน่อย แล้วก็ขอยาทาสักหลอด เป็นเหมือนหลอดที่เอามาจากหมอแบบนั้น”
ที่นี่ไม่มียาที่ดีกว่านี้แล้ว
ยาอย่างนั้นเป็นสินค้าราคาถูก แต่ก็ใช้ได้ดี ยิ่งสถานะการณ์แบบนี้ก็ไม่มีสิทธิ์จะเลือกมากแล้ว
สั่งเสร็จแล้ว เป๋ยเจี่ยนกำลังจะจากไป ก็เห็นว่าฉินจื่อก็จบคำสนทนากับคนอื่นพอดี เหมือนกับว่ากำลังฟังคำพูดของพวกเขาทางโน้นอยู่
ก็ไม่ได้เป็นเรื่องความลับอะไร
เป๋ยเจี่ยนยิ้มให้เขาอย่างมีมารยาทและเกรงใจ
แม้ว่าเขาจะเป็นคนของฉวนเจี้ยน แต่ก็ไม่ถึงกับว่าต้องทำให้ความสัมพันธ์เหมือนอยู่ร่วมโลกเดียวกันไม่ได้
เขามีความเกรงใจอย่างนั้น ฉินจื่อก็แสดงออกถึงความเป็นสุภาพบุรุษ พยักหน้าให้เขาแล้วยังเรียกออกมาคำหนึ่งว่า “ผู้ช่วยเป๋ย”
เป๋ยเจี่ยนมองเขา
“คุณชายฉวนบอกว่าพรุ่งนี้ร้านอาหารเปิด ขอเชิญคุณชายจี้มาทานข้าวด้วยกันสักมื้อ ขอช่วยบอกเขาหน่อยนะ”
กับเขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจ
แต่กับจี้ผิงโจวนั้นยอมไม่ได้
สีหน้าของเป๋ยเจี่ยนไม่เปลี่ยน แต่ในใจคิดอะไรออกอย่างหนึ่ง “ครับ ผมจะช่วยบอกให้ แต่ว่าจะไปหรือไม่ไปนั้นผมก็บอกไม่ได้เหมือนกัน”
พวกเขาเหมือนว่ามีวิญญาณแห่งความเฉื่อยช้าอย่างนั้น
ฉินจื่อผยักหน้า “ฉันเข้าใจ”
เป๋ยเจี่ยนกำลังจะจากไป ฉินจื่อเรียกเขาไว้อีก เขาถอนหายใจทีหนึ่ง รู้สึกว่าไม่น่าไปทักทายเลย ทำให้มีเรื่องยุ่งๆมาอีกแล้ว เขาหันหน้ากลับไป เห็นระหว่างคิ้วของฉินจื่อเหมือนมีเรื่องไม่เข้าใจอะไรสักอย่างหนึ่ง
เขาถามไปตรงๆว่า “คุณหญิงจี้กินส้มไปเหรอ”
คำพูดนี้ถ้าเป็นคนอื่นถามจะรู้สึกว่าแปลกมาก
แต่ถ้ารู้ที่มาที่ไปก็จะรู้สึกว่าไม่ได้แปลกอะไร เป๋ยเจี่ยนเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ดูสายตาของฉินจื่อด้วยความสงสัยแวบหนึ่ง “ก็กินไปหน่อยหนึ่ง”
“ฉันรู้แล้วล่ะ”ฉินจื่อแฝงด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณ”
การยิ้มของเขาไม่เป็นธรรมชาติเลย
ทำให้เป๋ยเจี่ยนใจไม่สงบทั้งคืน และนอนไม่หลับ
ตอนเช้าของวันต่อมาก็มีพนักงานของรีสอร์ทใช้วันหยุดมาส่งอาหาร ทุกอย่างเป็นไปตามที่เป๋ยเจี่ยนสั่งไป อาหารจืดๆ ไม่ได้มีอาหารรสจัดหรืออาหารเผ็ดร้อน
หลังจากที่เหอเจิงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ทายาอย่างระมัดระวัง
ตอนอาการหนักมาก เหมือนจี้ผิงโจวจะใช้หมดทั้งหลอดเลย ตอนเช้าเธอไกำลังอารมณ์เสียเพราะไม่มีให้ใช้อยู่นั้น ก็ได้ยินพนักงานที่ดันรถอาหารเข้ามาพูดว่า “อันนี้คือยาครีมที่คุณชายเป๋ยสั่งให้เป็นพิเศษ”
จี้ผิงโจวไม่ได้ดูอย่างละเอียด
เพราะใกล้เวลาจะต้องกลับ เป๋ยเจี่ยนเข้ามาพอดี ก็เห็นยาหลอดนั้น และรู้สึกแปลกใจ “อันที่ฉันสั่งไม่ใช่แบบนี้”
พนักงานกลัวว่าจะทำผิด จึงพูดอย่างกล้าๆเกรงๆ “พวกเราก็จะเอาที่เตรียมไว้เมื่อคืนค่ะ แต่ว่าคุณชายฉินบอกว่าแบบนี้รักษาอาการแพ้ของคุณหญิงจี้ได้ดีกว่า เลยตั้งใจให้เราเอามาให้”
“คุณชายฉินหรอ”
เป๋ยเจี่ยนอาจจะมีความจำเกี่ยวกับฉินจื่อ
แต่จี้ผิงโจวไม่มี เขามองพนักงานอย่างสงสัย คนอื่นถูกสายตาของเขามองอย่างนี้ก็เกิดขวัญอ่อนทันที มองไปหาเป๋ยเจี่ยนด้วยสายตาที่ขอความช่วยเหลือ “เป็น…เป็นคนที่คุณชายเป๋ยคุยด้วยเมื่อคืนค่ะ”
“ผมได้เจอเขา แต่ก็พูดกับเขาไม่กี่คำ”
แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าฉินจื่อจะมายุ่งเรื่องแบบนี้ด้วย
พนักงานเดินออกไปแล้วพวกเขาก็จ้องไปยังเหอเจิงด้วยสายตาเดียวกัน
“ของแบบนี้จะใช้ได้หรอ”เป๋ยเจี่ยนรู้สึกว่ายานี้ไม่ใช่ยารักษาแล้ว แต่เป็นยาพิษ
จี้ผิงโจวก็สงสัยเหมือนกัน
มีแต่เหอเจิงเท่านั้นที่รู้ความหมายของฉินจื่อ
ตอนเธอเป็นเด็กกินส้มเข้าไปโดยไม่ได้ระวัง ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าตัวเองแพ้ส้ม กินไปหลายผลทีเดียว อาการหนักถึงขั้นที่ว่าหายใจไม่ออก แต่ว่าที่นั่นไม่มีหมอด้วย ถ้าจะไปโรงพยาบาลก็คงจะไม่ทัน
ฉินจื่อกับซ่งเหวินแยกกันวิ่งไปหาร้านขายยาต่างๆ ซื้อยาทาภายนอกมาหลายหลอด จากนั้นก็ลองใช้ดู ปรากฏว่าแบบนี้ดีที่สุดและก็ถูกที่สุดด้วย ทาไปวันหนึ่งก็เห็นผล
เขาจะมีเจตนาไม่ดีอะไรเล่า
เป็นเพราะว่าจี้ผิงโจวกับเป๋ยเจี่ยนคิดมากไปเอง
เธอเดินออกมาจากห้องน้ำ เหอเจิงทำเป็นว่าไม่ได้ยินอะไร “ทำไมล่ะ ไม่กินข้าวกันหรอ”
อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นคนที่อ่อนโยนอยู่แล้ว คำพูดนี้ออกมาก็แข็งกร้าว เป๋ยเจี่ยนเห็นเธอก็เหมือนคิดอะไรออกแล้ว
เมื่อคืนเธอแอบหนีออกไป ฉินจื่อก็อยู่ข้างล่างด้วย ยังถามว่าเธอกินส้มไปใช่หรือไม่
ตอนนี้ก็ส่งยามาเฉยๆ เรื่องหนึ่งปะติดปะต่อกับอีกเรื่องหนึ่ง จะมองข้ามไม่ได้แล้วล่ะ
จี้ผิงโจวเก็บยาไว้ ไม่ให้เหอเจิงใช้ จับหัวของเธอดันคนไปนั่งข้างๆหน้าต่าง “กินข้าวก่อน กินเสร็จแล้วค่อยไป เดี๋ยวเรียกพี่เธอไปด้วย”
เหอเจิงแสดงออกมาทันที ปัดมือของเขาออก “ไม่ต้องจับผมของฉัน”
พวกเขาตอนนี้เหมือนคู่กัดที่รักกันมาก เป๋ยเจี่ยนยืนอยู่ข้างๆ แต่กลับรู้สึกว่า ตอนที่จี้ผิงโจวกับเหอเจิงพูดนั้นมองมาหาตัวเอง สายตาคู่นั้นทำให้เขารู้สึกตัวสั่นได้โดยไม่หนาว
หลังกินข้าวเสร็จแล้วเดินผ่านห้องโถงใหญ่
ผ่านไปคืนหนึ่งแล้ว
การทำงานที่รีบร้อนของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็เข้าที่เข้าทางแล้ว เหลือแต่ของเล็กๆน้อยๆที่ยังจัดการไม่เสร็จ จี้ผิงโจวกับเหอเจิงเดินผ่านที่นั่น ฝีเท้าช้าและก็เบา เขาจูงมือของเธอไว้ตลอด เหมือนกับว่ากลัวเธอจะหายไปอย่างนั้น
เพิ่งจะเดินผ่านรูปปั้นแกะสลัก ก็เจอหน้าซึ่งหน้ากับคนที่เดินฝ่าลมและหิมะมาจากข้างนอก
ความสงสัยที่สงบอยู่ของเป๋ยเจี่ยนพุ่งขึ้นถึงสุดขีด แววตาแรก เขาก็รู้เลยว่าเหอเจิงกับฉินจื่อไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบคนแปลกหน้าแน่นอน เขากำลังยิ้ม ยิ้มอย่างอ่อนโยน พูดออกมาคำหนึ่ง “คุณชายจี้จะไม่อยู่รอกินข้าวเที่ยงกับคุณชายฉวนหน่อยหรอ”
เรื่องนี้เป๋ยเจี่ยนพูดขึ้นในตอนเช้า
จี้ผิงโจวไม่ได้คิดก็ปฏิเสธออกไปแล้ว “ไม่มีเวลา กำลังจะออกไปแล้ว”
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ”ฉินจื่อเหลือบตาไปมองเหอเจิงทีหนึ่ง ถามอย่างไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว “คุณหญิงจี้ตอนเช้านี้คงจะยังไม่ได้ทายาหรือเปล่า”
คำพูดเพิ่งจบ
เหอเจิงจ้องเขาด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนทีหนึ่ง ส่งสายตาให้เขา
ผ้าพันว่างอยู่บนมือ ไม่ได้สวมไว้ ใส่แค่เสื้อปกปิดร่างกายที่เย็บละเอียดตัวหนึ่ง เพื่อให้ผิวได้ระบายอากาศ จุดแดงๆเหล่านั้นก็เห็นได้จากข้างนอก ที่ฉินจื่อสามารถเห็นได้นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จี้ผิงโจวไม่คิดว่าเขาจะถามแบบนั้น “ไม่จำเป็น เดี๋ยวก็ดีแล้ว”
เมื่อกล่าวลากับฉินจื่อ
ตลอดทางอารมณ์ของจี้ผิงโจวไม่ได้ดีเลย จับแขนของเหอเจิงด้วยความโกรธ บีบจนกระดุูกของเหอเจิงแทบแตกสลายแล้ว
เขาเป็นคนที่ฉลาดอย่างนั้น ตอนนี้ยังไม่รู้อะไร เหมือนว่าจะโง่หน่อยแล้วล่ะ
เข้าไปนั่งในรถ
คนที่ปริปากถามกลับไม่ใช่จี้ผิงโจว แต่เป็นเป๋ยเจี่ยนที่เก็บความสงสัยมานานแล้ว คำพูดของเขาอ่อนโยน แต่ก็เหมือนจะแฝงด้วยการค้นหาข้อมูลอะไรบ้างอย่างกับการทดสอบอะไรบางอย่าง “คุณหนูฟาง คุณรู้จักกับฉินจื่อเหรอ”
เธอตอบอย่างไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย “รู้จัก”
จี้ผิงโจวมองเธออย่างเย็นชาทีหนึ่ง เธอพูดเสริมต่อไปว่า “วันนี้ตอนเช้า เพิ่งจะรู้จัก”
เป๋ยเจี่ยนยังไม่สตาร์ทรถ รอให้ฟางลู่เป่ยลงมา
เขาจึงมีเวลาที่จะไล่ถามเยอะ “เมื่อคืนคุณออกมาได้เจอกับเขาหรือเปล่า”
“ไม่ได้เจอ ฉันก็แค่ยืนสูบอากาศข้างนอกไม่าน”
“ต้องขอโทษด้วย เมื่อเช้าเขาส่งยามาให้ เมื่อคืนก็ถามว่าเธอกินส้มเข้าไปหรือเปล่า ผมคิดว่าพวกคุณรู้จักกันซักอีก ถ้ามีอะไรที่พูดผิดไป ก็ขออภัยด้วย”
เขาพูดออกมาอย่างมีความหมายแฝง
ทางหนึ่งก็พูดซ้ำเรื่องการส่งยามาให้ในเช้านี้ ทางหนึ่งก็เผยความสงสัยของตัวเองออกมา
เหลือบมองจี้ผิงโจวอย่างเย็นๆที่หนึ่ง เธอยิ้มอย่างเย็นชา “เรื่องการส่งยา นายเป็นคนคุยกับเขาไม่ใช่เหรอ จะมาโทษฉันได้ยังไง เมื่อคืนฉันออกไปแค่สิบกว่านาที เวลาแค่นี้จะทำอะไรได้เหรอ ถ้าอยากกล่าวโทษใครก็ขอให้มันมีตรรกะหน่อย”
“คุณหนูฟาง…ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ”
จี้ผิงโจวก็รู้สึกรำคาญแล้ว “พอแล้วๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่มีใครบอกว่าเธอรู้จักสักหน่อย”
เหอเจิงเหมือนกับว่าถูกเอาเปรียบอย่างใหญ่เท่าฟ้า สงบสติอารมณ์ไม่ได้
เธอทำตาโตมองไปยังข้างหลังของเป๋ยเจี่ยน “คุณก็โหดเหมือนกัน แค่คำพูดสองสามคำ ก็เหมือนกับว่าฉันเป็นคนไม่บริสุทธ์อย่างนั้น แทบจะฆ่าคนที่ให้ไม่เห็นเลือดจริงๆ”
พวกเขายังไม่ทันตอบอะไร เธอก็เปิดประตูลงจากรถด้วยดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาแห่งความโมโห ความรู้สึกนั้น เหมือนกับว่าเป๋ยเจี้ยนไปขุดหลุมฝับศพของบรรพบุรุษของเธอเลย
เห็นสถานการณ์แบบนี้ เป่ยเจี่ยนกำลังจะขอโทษ แต่จี้ผิงโจวกลับพูดออกไปอย่างเย็นๆว่า “นายไปดูกล้องวงจรปิดเมื่อคืนหน่อย ถ้าไม่มีเรื่องที่นายพูดแล้วค่อยกลับมาขอโทษเธอ ฉันจะตามเธอไปเอง”
เขาไม่ใช่ผู้ชายที่จะถูกน้ำตาเล็กน้อยของผู้หญิงทำให้ใจอ่อนได้
ความมีเหตุผลยังคงอยู่
เป่ยเจี่ยนพูดแฝงด้วยอาการขอโทษ “ได้ คุณระวังหน่อย เดี๋ยวผมไปดู”