ตอนนี้บรรยากาศเงียบมาก เงียบจนได้ยินเสียงหายใจ
คนที่อยู่ตรงหน้ามีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนที่เธอรู้จัก ยิ่งตอนเขายิ้ม ยิ่งรู้สึกว่าใช่ เธอจำคนไม่ผิดแน่ๆ
เหอเจิงรู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่คอ จากนั้นก็พูดตะกุกตะกักว่า “พี่..พี่ฉินจื่อ?”ฃ
ท่าทางของชายคนนั้นดูสงบนิ่ง จากนั้นเขาก็ยื่นมือมาตรงหน้าเธอ และพูดเสียงทุ้มว่า “มากับพี่”
เหอเจิงยื่นมือไปหาเขา
ก่อนที่เขาจะพาเธอเดินลงบันไดตรงทางหนีไฟมา เหอเจิงไม่รู้ว่าเธอเดินมากี่ชั้นแล้ว เธอรู้แค่เพียงว่าตอนนี้เธอเดินจนปวดเข่าไปหมด ไม่นานทั้งสองก็เดินมาถึงห้องที่มีลักษณะเหมือนห้องเก็บของของโรงแรม ทั้งด้านซ้ายและขวามีชั้นวางของอยู่
ด้านบนชั้น ก็มีพวกของอุปโภคบริโภคที่ใช้ในโรงแรมอยู่เต็มไปหมด
ไฟดูเหมือนจะไม่สว่างมาก
แต่ก็สว่างพอที่จะทำให้เห็นหน้าชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า เมื่อเธอเห็นเขาน้ำตาก็พรั่งพรูไหลออกมา “พี่ฉินจื่อ ใช่พี่จริงๆด้วย”
ฉินจื่อยิ้มให้เธอ ก่อนจะตอบว่า “พี่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเธอเหมือนกัน เหอเจิง”
ตอนที่จี้ผิงโจวยืนคุยกับฟู้เจี้ยนนั้น เหอเจิงไม่ได้สนใจเลย เพราะสิ่งที่ทำให้เธอสนใจมากกว่า คือผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังฟู้เจี้ยน
ทั้งสองไม่มีท่าทีพิรุธหรือตกใจที่เห็นซึ่งกันและกัน จึงทำให้จี้ผิงโจวไม่รู้และจับไม่ได้
ช่วงเวลาที่จี้ผิงโจวพาเหอเจิงออกไป เธอได้หันหน้าไปมองฉินจื่อ และเขาได้ทำปากส่งสัญญานว่า “ตีสอง”
เธอเห็นดังนั้นก็รู้และคาดเดาได้ว่า เขาให้เธอมาเจอตอนตีสอง
แต่การที่หลอกจี้ผิงโจวและหนีห่างจากเขามาได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
เธอจึงใช้อาการแพ้มาเป็นอุบาย
จริงๆแล้วเธอมีอาการแพ้จริงๆ แต่แค่ไม่ได้หนักหรือรุนแรงขนาดนั้น แต่ที่เธอแกล้งทำเป็นรุนแรง ก็เพื่อต้องการให้เขาพาเธออยู่ที่นี่ต่อ
ถึงแม้มันจะดูยาก
แต่พอได้มาถึงจุดๆนี้ ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก
ตอนนี้ฉินจื่อดูสงบนิ่งกว่าแต่ก่อน ท่าทางเขาดูโตเป็นผู้ใหญ่มาก
เขาจ้องไปที่เหอเจิง ก่อนจะถามว่า “ทำไมเธอถึงอยู่กับผู้ชายคนนั้นล่ะ? พี่นึกว่าหลังจากที่ซ่งเหวินตาย เธอจะไปจากเมืองเหยียนจิงแล้ว”
พอพูดถึงเรื่องนี้ เหอเจิงรู้สึกไม่รู้จะตอบอย่างไรดี “เรื่องอาจารย์ซ่ง…”
“พี่รู้หมดแล้ว”
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เพื่อนของซ่งเหวินคงรู้กันหมดแล้ว
และถึงจะไม่ใช่เพื่อนสนิท ก็น่าจะพอเคยได้ยินข่าวบ้าง
“ตอนที่เขาป่วย พี่กำลังยุ่งมากพอดี เลยกลับไปไม่ทัน และก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะคิดสั้น”
บาดแผลตามร่างกาย ไม่นานก็พอรักษาให้หายได้
แต่บาดแผลทางใจนั้น ยากมากกว่าที่จะรักษาให้หาย
เหอเจิงได้ยินดังนั้น ก็น้ำตาไหลพราก เพราะเธอคิดมาตลอดว่า ซ่งเหวินเป็นคนดึงเธอขึ้นมาจากโคลนตมแท้ๆ แต่เธอกลับไม่สามารถช่วยให้เขาพ้นจากความเจ็บปวดได้เลย
เหอเจิงกล่าวเสียงสั่น “เขาไม่อยากทำเคมีบำบัด เขาบอกว่าไม่ชอบที่จะต้องดูน่าเกลียด ถ้าเขาจะตายจริงๆ เขาก็อยากด้วยสภาพที่มีเกียรติ พี่คิดดูซิ ว่าเขาเป็นอย่างไร? แต่จริงๆฉันก็หาหมอเพื่อมารักษาให้เขาแล้ว…”
ผ่านมาหลายปีแล้ว เหอเจิงคิดว่าเธอคงลืมเรื่องราวทั้งหมดไปแล้ว แต่มาถึงตอนนี้ เธอกลับรู้สึกว่า เธอไม่เคยลืมความรู้สึกเจ็บปวดนั้นเลย
ฉินจื่อรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของเหอเจิง เขาเอื้อมมือไปปาดน้ำตาให้เธอ
เหอเจิงเงยหน้าขึ้น และหันไปเช็ดคราบน้ำตาตรงเสื้อของเธอ
“เธอพยายามช่วยเขาสุดความสามารถแล้ว อย่าโทษตัวเองเลย”
“พยายามแล้วมีประโยชน์อะไร?” เหอเจิงไม่มีทางที่จะไม่โทษตัวเอง “ตอนที่เขาจะตาย เขาไม่ลังเลสักนิด ตอนที่เขาซื้อรองเท้าคู่นั้น เขายังบอกเลยว่าจะใส่มันตอนที่ไปจดทะเบียนสมรสกับฉัน แล้วเป็นอย่างไรล่ะ?”
ซ่งเหวินใช้ชีวิตของตัวเอง เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เหอเจิงเห็นว่า ตอนนี้ความฝันของพวกเขา มันมาถึงทางตันแล้ว จะพยายามอย่างไรก็หาทางออกไม่ได้
และตั้งแต่ที่ซ่งเหวินจากไป ก็ดูเหมือนจะเอาจิตวิญญานของเหอเจิงไปด้วย
ตลอดมา ไม่มีใครเคยได้ยินคำพูดที่อัดอั้นตันใจของเธอเลย วันนี้ได้เจอฉินจื่อ เธอจึงบอกกับเขาเรื่องที่ซ่งเหวินเคยพูดกับเธอ
ฉินจื่อลูบผมเธอเบาๆ ก่อนจะดึงเธอเข้ามากอด ตอนนี้ดูเหมือนว่าน้ำตาของเธอจะเหือดแห้งไปหมดแล้ว
ตอนที่ซ่งเหวินจากไปแรกๆ
เธอร้องไห้ทุกวัน ร้องจนตาบวมแดง และเธอก็ตัดสินใจว่า เธอจะตายตามซ่งเหวินไป
แต่ฟางลู่เป่ยก็มาด่าเตือนสติเธอไว้ก่อน
และเรื่องที่แต่งงานกับตระกูลจี้ จริงๆแล้วก็เป็นเรื่องที่อยู่นอกแผนการที่วางไว้
เมื่อฉินจื่อเห็นว่าเหอเจิงสงบลงบ้างแล้ว ก็ยื่นบุหรี่มวนหนึ่งให้เธอสูบ
สีหน้าเธอดูดีขึ้นเล็กน้อย
จากนั้นฉินจื่อก็ถามขึ้นว่า
“เรื่องตอนค่ำ ที่คนนั้นบอกว่าเธอคือภรรยาของจี้ผิงโจวเหรอ?”
เหอเจิงได้ยินดังนั้นก็ชะงักเล็กน้อย และก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ค่ะ พวกเราแต่งงานกันแล้ว…”
“เธอรู้ว่าจี้ผิงโจวเป็นคนแบบไหนไหม?”
เหอเจิงยังไม่ทันตอบอะไร ฉินจื่อก็ถามอีกว่า “ที่บ้านจัดการให้เธอแต่งงานกับเขาเหรอ?”
จริงๆแล้วก็ไม่ใช่
เรื่องที่หน้าลิฟต์เมื่อครู่ ตอนที่ฟู้เจี้ยนสบประมาทเหอเจิง ถึงแม้จี้ผิงโจวจะไม่ได้ตอบโต้อะไรมาก แต่มือของเขาก็ยังกุมมือเธอไว้อยู่ และดันตัวเธอไปหลบอยู่ด้านหลัง เรื่องนี้ดูอย่างไรก็ไม่น่าเกี่ยวกับเรื่องของธุรกิจ
อีกอย่างง ฐานะของตระกูลฟาง จี้ผิงโจวเองคงไม่ได้สนใจเท่าไหร่
ฉินจื่อถามไม่หยุด ทันใดนั้นก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ว่าทำไมซ่งเหวินเลือกคิดสั้นฆ่าตัวตาย”
เหอเจิงได้ยินไม่ชัด จึงเงยหน้าขึ้น และถามว่า “อะไรนะ?”
เขาส่ายหน้าไปมา ไม่ได้พูดซ้ำอีก
“เขาก็เป็นหมอคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ จะเป็นอย่างไรได้อีก?”
ถึงแม้เธอจะพูดออกไปแบบนั้น แต่เธอก็รู้ดีว่าจี้ผิงโจวเป็นอย่างไร
ตอนแรกฉินจื่อก็ไม่อยากพูดหรือเปิดเผยอะไรมาก แต่เขาก็กลัวว่าเหอเจิงจะใสซื่อเกินไป จึงเอ่ยปากว่า “เบื้องหน้าเขาเป็นหมอก็จริง แต่เบื้องหลังเขา ไม่มีทางที่เธอจะไม่รู้”
“เรื่องนั้น ฉันไม่ค่อยรู้หรอก”
“วงศ์ตระกูลแม่ของเขาแซ่เจิ้ง อยู่ที่เมืองคันเจียง สถานการณ์ของบ้านเขาตอนนี้ยุ่งวุ่นวายมาก แล้วอีกอย่างคุณปู่ของพวกนั้นกำลังป่วยอยู่ พวกเขาก็กำลังต่อสู้เรื่องสิทธิในการดูแลมรดกอยู่ ถ้าตระกูลเจิ้งแพ้ จี้ผิงโจวก็ไม่รอดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ เธอรีบเลิกกับเขาให้เร็วที่สุดจะดีกว่า”
ไม่กี่ปีมานี้ ทุกคนล้วนแล้วแต่ก็มีการเปลี่ยนแปลง
เหอเจิงคิดเสมอว่าฉินจื่อเป็นเพื่อนสนิทของเธอ และที่เขาทำ เพราะเป็นห่วงเธอทั้งนั้น
ไฟบุหรี่ลุก และลามมาโดนมือเธอ เหอเจิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะจ้องไปที่ฉินจื่อ “ทำไมพี่ถึงรู้เรื่องพวกนี้ คนที่อยู่กับพี่วันนี้คือใคร?”
เท่าที่เธอจำได้ แม่ของจี้ผิงโจวนั้นแซ่เจิ้งจริงๆ
และก็เป็นคนเมืองคันเจียงจริงๆ ตระกูลของเขาเป็นตระกูลใหญ่ที่มีหลายครอบครัวอยู่ในนั้น แต่จี้ผิงโจวเองก็ไม่ได้สนใจหรือไปยุ่งเรื่องใดๆเลย เพราะวันวันเขาก็เอาแต่ทำงานที่โรงพยาบาลของเขา
“เหอเจิง พวกเรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก พี่ไม่ทำร้ายเธอหรอก”
นี่เป็นประโยคสุดท้ายที่ฉินจื่อพูดกับเธอ ก่อนจะลากัน
ตั้งแต่วันที่เขาออกจากถนนหลงทังมาจนถึงวันนี้ ตั้งแต่วันที่เหอเจิงตามเรียนเชลโล่กับซ่งเหวิน พวกเขาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ซึ่งเป็นเวลานานมาก
แต่เธอยังจำได้ดี
วันที่เธอออกมาจากถนนหลงทังกับซ่งเหวิน พอพวกเขากลับไป คุณยายแถวนั้นก็บอกว่าฉินจื่อมีคนพาไปจากที่นี่แล้ว
ช่วงระยะเวลาที่ไม่ได้เจอกันจนมาถึงตอนนี้ รู้สึกว่าคนจะเปลี่ยนไปมากแล้ว
เมื่อลากันเสร็จ เหอเจิงก็รีบวิ่งขึ้นกลับไปที่ห้อง
ระหว่างที่กำลังจะเดินถึงห้องนั้น เธอก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจ้องมองมาที่เธอ
เหอเจิงชะงักฝีเท้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา และพูดขึ้นว่า
“เป๋ยเจี่ยน?”
เป๋ยเจี่ยนที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องของตัวเอง ดูเหมือนว่าเพิ่งเดินออกมาเมื่อครู่ “คุณหนูฟาง ไปไหนมาครับ?”