เมื่อได้ยินเสียง
ทั้งหมดก็หันไปมองคนที่อยู่ด้านนอก รูปร่างท่าทางเขาดูน่าเกรงขาม
จี้ผิงโจวเห็นดังนั้นก็รู้สึกกังวลใจ
เขาอาศัยจังหวะที่กำลังเดินออกมาจากลิฟต์ รีบดึงผ้าพันคอของเหอเจิงมาบังหน้าเธออย่างลวกๆ
จี้ผิงโจวดึงผ้ามาปิดเกือบครึ่งหน้าของเหอเจิง เผยให้เห็นแค่ดวงตาเท่านั้น
จี้ผิงโจวไม่ได้ตอบกลับคำทักทายของชายผู้นั้น สายตามองไปที่พวกเขา “โจวโจวนี่จริงๆเลย เจอพี่ก็ไม่ทักทายเสียหน่อย”
ชายคนนั้นพูด ขณะเดียวกันก็ยื่นมือมาจะแตะไหล่ของจี้ผิงโจว
แต่เป๋ยเจี่ยนยก็รีบปัดออก
ชายคนนั้นท่าทางไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร แต่กลับพูดกับเป๋ยเจี่ยนว่า “เสียวเจี่ยน นิสัยใจร้อนแบบนี้ของนาย ได้มาจากลุงซินะ?”
เหอเจิงที่เห็นเหตุการณ์ ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย ที่เห็นเป๋ยเจี่ยนทำท่างเหมือนโกรธมากขนาดนั้น
จี้ผิงโจวเห็นดังนั้น ก็ดันเป๋ยเจี่ยนออกเบาๆ จากนั้นก็พูดกับชายคนนั้นว่า “ไม่ได้มาเที่ยวครับ เดี๋ยวจะกลับแล้ว”
“โอ้ว ก็ว่าอยู่ อย่างโจวโจวนี่นะ จะมาเที่ยวที่นี่” เขาพุดจบก็เดินขึ้นมาครึ่งก้าว จากนั้นก็เบนสายตาไปที่เหอเจิง
จี้ผิงโจวรีบเอาตัวมาบังเธอไว้
“สัตว์เลี้ยงใหม่?”
คำว่าสัตว์เลี้ยงเบาๆ เพียงไม่กี่คำ แต่ทำเอาเหอเจิงรู้สึกหนักอึ้งที่หัวใจ เธอเงยหน้าขึ้นและสบตากับชายคนนั้นพอดี
ชายคนนั้นอึ้งไปสักพัก และกำลังจะเดินก้าวเข้าไปอีก แต่ก็มายคนหนึ่งพูดแทรกขึ้น
“แต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังมากับผู้หญิงมากหน้าหลายตาอยู่อีก?”
หน้าของจี้ผิงโจวไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร ยังคงนิ่งสนิท
ถึงแม้จะมีคนใช้คำว่าสัตว์เลี้ยงกับเหอเจิง แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกอะไร “พี่เจี้ยนมีเรื่องอะไรหรือืเปล่าครับ? ถ้าไม่มี ผมขอตัวก่อน”
เขาไม่อยากจะเสวนากับคนพวกนี้อีก
ฟู้เจี้ยนกระตุกยิ้มมุมปากเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันก็เลยมาถามสารทุกข์สุขดิบแทนพวกสาวๆที่บ้านฉันไง ชีวิตแต่งงานไม่ค่อยเวิร์คใช่ไหม ถึงได้ออกมาหาความสุขข้างนอก?”
เขาพูด พร้อมกับเดินมาด้านหน้า เพื่อจะดึงผ้าพันคอของเหอเจิงออก
เหอเจิงค่อยๆถอยหลังหนี ตอนนี้เธอไม่ได้ยินว่าเขากำลังพูดอะไร
ชายคนที่ยืนอยู่ด้านหลังฟู้เจี้ยน กำลังเตือนว่าอย่าขยับเข้าไปมากกว่านี้
และขณะที่เขาจะดึงผ้านั้น ด้วยความเร็วเป๋ยเจี่ยนรีบเอามือมาคว้ามือของฟู้เจี้ยนไว้ “นี่คือภรรยาของพี่โจว”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของชายทั้งสองก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ฟู้เจี้ยนมือค้างอยู่กลางอากาศ เมื่อตั้งสติได้ก็เปลี่ยนน้ำเสียงและท่าทาง “อ๋อ ที่แท้ก็น้องสะใภ้นี่เอง ล่วงเกินไปเยอะเลย”
จี้ผิงโจวที่กำลังจะพูด ก็มีคนแทรกขึ้นว่า
“โจวโจว นายก็ทำไม่ถูกนะ ทำไมพาน้องสะใภ้มาที่แบบนี้ล่ะ…” เขาพูดๆหยุดๆ “หรือว่า ชอบเล่นอะไรแปลกๆ?”
คำพูดของเขาทำให้คนฟังรู้สึกทนไม่ได้
ทั้งเหอเจิงและจี้ผิงโจวต่างก็ทนอีกไม่ไหวแล้ว รู้สึกขยะแขยงมากที่ได้ฟังคำพูดนั้น “ไม่ได้กันตั้งนาน ปากพี่ยังสกปรกเหมือนเดิมเลยนะครับ”
ฟู้เจี้ยนกระตุกมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “โทษที คนหยาบคายก็เป็นแบบนี้แหละ ใครใช้ให้นายแต่งงานแล้วไม่เชิญฉันล่ะ ตอนนั้นชูชูร้องไห้ทุกวัน อยากให้ฉันไปดูหน้าเจ้าสาวหน่อยว่าเป็นอย่างไร นายก็เหมือนกัน ใจดำอำมหิตมาก คนเขาอยู่กับนายตั้งสองสามปี นอนก็นอนด้วยกันจนมีความรู้สึกอะไรๆแล้ว แต่ตอนเธอจะกระโดดตึก นายยังไม่สนใจเลย? แถมยังไปแต่งงานอีก”
ทั้งสองยังพูดกันอยู่อย่างนั้น
ตอนนี้ผ้าพันคอเหมือนจะพันแน่นจนทำให้เหอเจิงหายใจลำบาก จนทำให้การได้ยินของเธอแย่ลงจนมีปัญหา แต่สายตาเธอยังมองเห็นและรู้ดีกับสถานการณ์ตรงหน้า
เขาคนนั้นพยายามทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับจี้ผิงโจวแตกจากกัน
ทางจี้ผิงโจวที่ได้ยินดังนั้น แต่สีหน้าท่าทางเขายังคงนิ่ง
เขาเอานิ้วลูบเล็บของเหอเจิงเบาๆ อย่างอ่อนโยน ราวกับกำลังปลอบขวัญเธอ
จากนั้นเขาก็ตอบว่า
“ถ้าเธอโดดจริงๆ ผมจะศรัทธามาก”
ฟู้เจี้ยนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะหึๆ “อำมหิตจริงๆ”
จี้ผิงโจวกวาดสายตามองไปรอบๆ และพูดว่า “พี่ยุ่งไม่ใช่เหรอครับ? มีเวลามารื้อฟื้นเรื่องเก่ากับผมด้วยเหรอ?”
“ยุ่งซิ” ฟู้เจี้ยนยักไหล่ “แต่ใครใช้ให้เจอโจวโจวล่ะ ยุ่งแค่ไหนก็ต้องหาเวลามาคุย แต่เอาจริงๆเรื่องที่ฉันกำลังยุ่งอยู่นี่ ก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวกับนายด้วยนะ”
เป๋ยเจี่ยนได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นว่า “คุณอย่าพูดมั่วซั่ว!”
เรื่องที่บ่อน้ำพุโดนหยอดยาพิษ ซึ่งเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย จะเอามาพูดมั่วๆแบบนี้ไม่ได้
ฟู้เจี้ยนเห็นท่าทีดังนั้นก็ตอบกลับว่า “ฉันพูโมั่วๆที่ไหนกัน นายกลับไปก็ถามพี่เฉียวดูซิว่าเกี่ยวไหม?”
จี้ผิงโจวทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาดูนาฬิกาข้อมือและพูดว่า “ผมรู้สึกว่า ถ้ายังอยู่คุยกับพี่ที่นี่อีก จะทำให้ผมเสียเวลามากจริงๆ”
พูดจบ เขาก็พาเหอเจิงเดินออกมา
เมื่อเดินออกมาจากห้องโถง
ลมหนาวที่พัดมาโดนผิวหนังของเหอเจิง เธอเจ็บและคันราวกับโดนมีดหลายสิบเล่มแทงเข้ามา
เหอเจิงทนไม่ไหวแล้ว เธอสะกิดแขนของจี้ผิงโจวอย่างอ่อนแรง เธอโถมตัวไปพิงจี้ผิงโจว และพูดว่า “จี้ผิงโจว…”
เมื่อจี้ผิงโจวได้ยินเสียงก็หยุดกึก “หืม?”
“ฉันไม่ไหวแล้ว…”
พูดจบ เหอเจิงก็ดึงผ้าพันคอออก เผยให้เห็นรอยแดงก่ำเต็มไปหมด “ฉันไม่ไหว”
จี้ผิงโจวตกใจมาก “หน้าเป็นอะไร?”
คันมาก คันจนทนไม่ไหวแล้ว
เขามองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าเป็นอาการแพ้บางอย่าง
เมื่อเขานึกย้อนกลับไปวันนี้ ก็นึกขึ้นได้ “แพ้ส้มทำไมไม่บอก?”
เหอเจิงไม่ได้ตอบใดๆ แต่เอามือพาดที่คอเขาและโน้มตัวลงไปที่ออก ตอนนี้เธอทั้งคันทั้งปวด ปวดจนแทบจะตาย
เป๋ยเจี่ยนเห็นดังนั้นก็ตกใจไม่ใช่น้อย “หรือว่าเรากลับไปพักที่นั่นก่อน แล้วเรียกหมอมาครับ”
เพราะด้านนอกยังเต็มไปด้วยรถของโรงพยาบาลและรถของสำนักข่าวต่างๆอยู่ ถ้าจะออกไปตอนนี้คงทำได้ยาก
“นายไปเปิดห้องก่อน เดี๋ยวฉันไปตามหมอ” พูดจบ จี้ผิงโจวก็อุ้มเหอเจิงขึ้น เธอเกาไม่หยุด จนทำให้ทั้งหน้าและตัวเต็มไปด้วยรอยแดง
เขาร้อนรนมาก เอื้อมมือไปจับมือเธอไว้ จากนั้นก็เอามือเธอมาพาดที่คอ
จากนั้นก็ใช้คางค่อยๆปัดไรผมที่หน้าให้เธอ
“จี้ผิงโจว ฉันคัน…”
จี้ผิงโจวได้ยินดังนั้นก็กอดแน่นมากขึ้น ก่อนจะพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เดี๋ยวฉันเอายาให้นะ อย่าเพิ่งเกานะ โอเคไหมหืม”