รูปภาพเหล่านั้นเหอเจิงฉีกหมดแล้ว
ความอดกลั้นในใจของเธอเข้มแข็งมาก เข็มแข็งถึงขึ้นที่ว่าเห็นจี้ผิงโจวกอดผู้หญิงอื่นต่อหน้าต่อตาสีหน้าก็ไม่เปลี่ยนและหัวใจก็ไม่เต้นแรง
แต่เพียงแค่รูปภาพ
มันจะสมจริงเหมือนกับที่เห็นด้วยตาได้ไง
ฉวยเวลาหลังงานตอนที่ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปแล้ว เหอเจิงตามเหอหยุนซิ่งขึ้นบันไดไป ตอนที่อยู่ที่บันไดเรียกเขาคำหนึ่ง เป็นคำพูดที่อ่อนโยนและจริงใจ “คุณลุงน้อย”
เหอหยุนซิ่งหยุดเดิน ยิ้มจนเห็นฟัน “เจิงเอ๋อ”
“ท่านยุ่งอยู่หรือเปล่า”
คำทักทายที่ไม่คุ้นชินเลย
แม้แต่คำเรียกขานก็แปลกไปมากเหมือนกัน
ช่วงที่กลับมานี้เหอหยุนซิ่งมัวแต่ยุ่งอยู่กับหนี้ที่บ้านตระกูลฟางก่อไว้ไม่กี่ปีมานี้ ฟางลู่เป่ยสนใจแต่การเที่ยวและดื่ม เรื่องพวกนี้เขาต้องเป็นคนจัดการทั้งหมด จะบอกว่าไม่ยุ่งนั้นไม่จริง
20นาทีต่อจากนี้ยังมีนัดอีก
เหอหยุนซิ่งดูนาฬิกาทีหนึ่ง “ไม่เป็นไร มีเรื่องอะไรก็พูดมาเลย สายนิดหน่อยคงไม่เป็นไร”
เวลาเหอเจิงเอาจริงขึ้นมานั้นสีหน้าไม่เหมือนกับปกติ
แต่ก็ไม่ถึงกับหน้าบูดบึ้ง ว่ากันว่าคำพูดนี้เวลาพูดออกมาจะทำร้ายจิตใจคนอื่น แต่ว่าคิดหลายรอบแล้ว ยังไงเธอก็ต้องพูดถึงมันสักหน่อย
“คุณลุง สิ่งที่ท่านส่งให้ฉัน ฉันดูหมดแล้ว”
ระหว่างคิ้วของเหอหยุนซิ่งกระดิกทีหนึ่ง “ที่ฉันให้เธอนั้นก็เพื่อให้เธอมีจุดสิ้นสุดความอดทนหน่อย ไม่อยากให้คนของตระกูลจี้เอาเปรียบเธอ”
“ฉันเข้าใจ”
เข้าใจว่าเป็นความหวังดีของเขา แต่ก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้จริงๆ บนตัวของเหอเจิงมีสายๆหนึ่งเหมือนกับเชือกเส้นหนึ่งที่ทนทาน ทำเอาคนรอบข้างต่างเจ็บไปหมด “ฉันอยากจะหย่ากับเขาแต่ว่าจะไม่ขอทำลายชื่อเสียงของเขาเด็ดขาด เรื่องที่ผ่านมาเป็นเพราะเอาเขาไม่อยู่ ฉันตามเขามาสามปีเพื่อขอการอภัยจากเขา แต่เขาไม่ยอม ฉะนั้นฉันจึงจะหย่ากับเขา”
“เธอยังจะโทษตัวเองอีกหรอ”
“โทษ”
จะไม่โทษได้ยังไง
การตัดสินใจเพียงชั่ววูบของเธอได้ทำร้ายคนหลายคน
เหอหยุนซิ่งค่อยๆถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แขนพาดลงบนราวบันได มองเหอเจิงด้วยความมึนงง “เขาก็ทำเรื่องที่ผิดต่อเธอเยอะแยะ ตอนนั้นเธอช่วยปกปิดการผ่าตัดไม่ให้เขารู้ ถึงตอนนี้เขายังไม่รู้มั้ง”
ใจห่อเหี่ยวไปชั่วครู่
เหอเจิงเหมือนกับว่าถูกต้มจนสุก หดตัวเข้ามา “พี่ชายฉันบอกคุณหรอ”
“อืม เขายังบอกว่าตอนเธอกำลังผ่าตัด จี้ผิงโจวกลับอยู่กับกิ๊กของเขา”
หมดความอดกลั้นแล้ว
เหอหยุนซิ่งไม่รู้จักการใช้คำพูดสละสลวย “ไม่มีใครบอกให้เธอยอมรับการดูถูกแบบนี้”
“ต่อไปจะไม่มีอีกแล้ว”
“จริงนะ”
“อืม”
“อย่างนี้ก็ดี”เขาเชื่อเหอเจิงแค่ครึ่งหนึ่ง แต่ก็ส่งของที่เตรียมไว้ให้กับเธอ เป็นการ์ดเล็กๆการ์ดหนึ่ง “อันนี้ให้เธอเอาไป”
เหอเจิงมองทีหนึ่ง “นี่คืออะไร”
“ถ้าเธอจะหย่าจริงๆ หลังจากนั้นปีหนึ่งก็ไปหาเขา เขาเป็นครูสอนดนตรีที่มีชื่อเสียง เธอไปเรียนกับเขา ออกไปจากที่นี่”
บนการ์ดเขียนชื่อของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
เป็นคนที่มีชื่อเสียงจริงๆ
เหอเจิงเคยได้ยินจากปากของซ่งเหวิน แต่ว่าตอนนี้เธอไม่ได้มีความกระตือรือร้นที่จะใฝ่หาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เหอหยุนซิ่งดื้อรั้งจะเอาการ์ดใส่เข้าไปในมือของเธอให้ได้ ดูนาฬิกาบนมือ “ความหมายของเธอฉันเข้าใจ ฉันจะรีบกลับบ้าน เรื่องของเธอกับโจวโจวฉันจะไม่สอดมือเข้าไปยุ่งอีก”
“คุณลุง ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น…”
“ฉันรู้” เขาลูบหัวของเหอเจิงเบาๆ ความแรงยังคงเป็นเหมือนกับตอนเด็ก “เธอก็คิดเผื่อฉันแหละ”
เสื้อผ้ายังไม่ทันเปลี่ยนก็ต้องรีบไป
เดินลงบันไดไปหลายขั้น
เหอเจิงยืนอยู่ทางราวป้องกันข้างบน เงาสีเทาทอดลงไปยังบนผนัง สีหน้าของเธอซีดจาง แต่มือกลับมีแรงขึ้นมา เป็นแรงที่เกิดจากความตื่นเต้น
“คุณลุง ครั้งก่อน ก่อนที่จี้ผิงโจวจะไปบอกว่า…คุณได้พูดอะไรกับเขาในงานแต่งของฉันกับเขาหรือเปล่า”
เหอหยุนซิ่งหันหลังให้เหอเจิงหันหน้าไปครึ่งหนึ่ง รอยยิ้มจริงใจ “ก็ขอให้มีความสุขในวันแต่งงาน ยังจะให้พูดอะไรอีกล่ะ”
บริเวณบ้านก่อตัวเป็นน้ำค้างแข็ง
เวลาที่ไม่มีฝนตกหรือหิมะตก ชั้นก้อนเมฆจะเห็นดวงจันทร์ที่ส่องสว่างจ้า สาดลงบนพื้น บวกกับน้ำค้างแข็ง เหอหยุนซิ่งเดินไปถึงสวนหลังบ้าน ทิ้งรอยเท้าไว้ จริงๆแล้วสีหน้าไม่ได้ดีนัก แต่ว่าพอเห็นฟางลู่เป่ย กับจี้ซู ก็รีบเปลี่ยนสีหน้าทันที
“เล่นอะไรกันอยู่”
ฟางลู่เป่ยกับจี้ซูหันหน้าไปพร้อมกัน เธอยิ้มหวานให้เหอหยุนซิ่ง “ลุงเหอ”
เขาเป็นลุงของเหอเจิง จี้ซูก็เรียกว่าลุงเหมือนกับเหอเจิง
ปากของฟางลู่เป่ยกัดก้นบุหรี่ไว้ ตัวเองไม่มีอะไร ก็จะรีบจุดดองไม้ไฟให้กับจี้ซู อมบุหรี่ไว้ เสียงก็ไม่ชัด “ลุง จะไปไหน”
“อืม พวกคุณเล่นต่อเลย”
เขาเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงตะโกนว่า “สวยจังเลย”ของจี้ซู หันหน้ากลับไปดู ก็คือว่าดอกไม้ไฟถูกจุดแล้วนี่เอง สะเก็ดไฟพุ่งออกมา เหมือนกับดาวที่สว่างดวงหนึ่ง
ฟางลู่เป่ยดูเธอเหมือนกับว่ากำลังดูเด็กคนหนึ่ง ตัวเองจุดบุหรี่ยืนอยู่อีกข้างหนึ่ง ถามด้วยความไม่เข้าใจเป็นพิเศษว่า “เธออยู่บ้านไม่เคยเล่นอันนี้หรอ”
จี้ซูเต้นไปรอบๆดอกไม้ไฟ “ไม่ได้เล่น พี่ชายฉันไม่ให้เล่นน่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“เขาบอกว่าถ้าไม่ระวังอาจจะจุดทั้งสวนได้”
ฟางลู่เป่ยได้ยินก็หัวเราะทีหนึ่ง “บ้านเธอเป็นที่เก็บของพวกความรู้ ระวังอะไรขนาดนั้น ดอกไม้ไฟเล็กๆนี้ ดอกไม้ดอกเดียวยังไหม้ไม่ได้เลย”
ทางด้านนี้
จี้ผิงโจวเคร่งครัดมาก
จี้ซูเหวี่ยงดอกไม้ไฟไปมา เกิดเป็นแสงที่สดใสบนอากาศ หัวเราะฮิ ฮิ “แต่ว่าฉันไม่อยากยั่วเขา ก็เลยไม่เล่นไง ก็ในบ้านเขาเป็นใหญ่ที่สุดแล้ว”
“แล้วเหอเจิงล่ะ”
“เธอหรอ”จี้ซูจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “เธอเป็นคนที่ถูกกดทับและน่าสงสารที่สุด”
ในบ้านตระกูลจี้ ใครๆก็รังแกเธอได้
แม้แต่กิ๊กที่จี้ผิงโจวพากลับมายังทำเป็นใหญ่ทำเป็นคุณหนูเลย สำหรับเธอแล้ว ไม่มีที่ๆจะเปิดปากออกเสียงเลย
คำตอบนี้ฟางลู่เป่ยเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไร “ไม่ว่าเธอไปไหนก็ถูกรังแก ก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญนี่ ”
แต่ว่าถ้าเรื่องเมื่อก่อนนั้นไม่ถูกเปิดเผย
จี้ผิงโจวอาจจะเอาใจใส่เธอมากกว่านี้
ต้นตอของเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดยังแขวนอยู่บนหน้าที่ไม่มีความผิด จนกระทั้งก้าวออกจากบ้านตระกูลฟาง ถึงหายใจอย่างโล่งอก คิดถึงสีหน้าของเขาที่ถูกเหอเจิงถามนั้น ทำให้คนหายใจไม่ออกจริงๆ
มาถึงที่นัดหมายแล้ว
เหอหยุนซิ่งเพิ่งจะนั่งลงก็เห็นเงาที่คุ้นเคยเดินเข้ามาจากใจกลางของห้อง ตอนที่เขาหาคนแอบตามไปถ่ายรูปของจี้ผิงโจวนั้น ก็มีจ้าวถังชิวด้วย เป็นคนสนิทใหม่ เทียบกับคนเก่าๆเหล่านั้นแล้วก็มีเรื่องที่จะเขียนมากกว่า
กล่าวลาคนบนโต๊ะเดียวกันคำหนึ่ง แล้วรีบลุกขึ้นตามไป เห็นจ้าวถังชิว ก้มเดินเข้าไปในห้องน้ำ จึงรออยู่ข้างนอก
คำเตือนของเหอเจิงเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ก็ได้สลายหายไปหมด
แม้คำเดียวเหอหยุนซิ่งก็ไม่ได้จำใส่ใจ
สิบกว่านาทีจ้าวถังชิวถึงจะออกมา เหอหยุนซิ่งเข้าใจเธอดีว่าเป็นดาราหญิง ต้องแต่งหน้า เสียเวลาหน่อย
เจอกันหน้าต่อหน้า
กลับไม่เข้าใจว่าทำไมจี้ผิงโจวถึงชอบเข้าหาผู้หญิงที่เป็นแต่การแต่งหน้าพวกนี้
จ้าวถังชิวสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของผู้ชายข้างกาย เหมือนกับว่าเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง แต่ก็คิดไม่ออก จึงเร่งฝีเท้าขึ้น
เดินได้ไม่กี่ก้าว
เหอหยุนซิ่งเรียกเธอไว้อย่างมีมารยาท “คุณผู้หญิงรอก่อน”
จ้าวถังชิวหยุดนิ่ง หน้าก็ไม่กล้าหันกลับไปมอง เธอเป็นคนที่ขี้กลัวและอ่อนแอมาก กล้าเข้าหาจี้ผิงโจวนั้นเป็นเรื่องที่เธอถูกโน้มน้าวให้ทำด้วยความกล้าที่มากที่สุดแล้ว แต่ว่าถ้าเป็นเพราะเรื่องนี้ นำภัยมาถึงตัว ก็รู้สึกเหมือนกับว่าจะไม่คุ้ม
ในวงการนักแสดง ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดเรื่องที่ว่าไปเป็นกิ๊กแล้วถูกภรรยาแท้ๆสาดน้ำกรดใส่ทำให้ต้องเสียอาชีพนักแสดง สุดท้ายลงเอยด้วยฉากที่น่าสงสาร
เธอยังไม่อยากจะเป็นอย่างนั้น
ขณะที่คิดตริตรองอยู่นั้น เหอหยุนซิ่งก็เดินเข้ามาแล้ว เขามีใบหน้าที่ดูดี ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลาย “เธอไม่ต้องกลัวหรอก ฉันแค่อยากจะมาถามอะไรหน่อย”
เข้าใกล้มากขึ้น
ประสาทสัมผัสทั้งห้าของคนก็เข้าใกล้เหมือนกัน
ใกล้อย่างนี้จ้าวถังชิวก็ดูออกว่าเป็นเหอหยุนซิ่ง มีครั้งหนึ่งที่เธออยู่กับจี้ผิงโจวก็เจอผู้ชายคนนี้ พวกเขาทักทายกัน แล้วแยกกันอย่างเย็นชา
เธอจำได้ว่าจี้ผิงโจวเรียกเขาว่าลุง
แต่ว่าคนบ้านตระกูลจี้ไม่มีคนที่เป็นลุง ฉะนั้นมันก็ต้องเป็นลุงของเหอเจิงแน่นอน คิดแบบนี้แล้ว เธอรู้สึกตัวสั่นเพราะกลัว
เป็นไปได้ว่าอีกไม่นานจากนี้ ตัวเองก็จะเจอเรื่องอัปยศจากการถูกผู้คนด่าว่าเป็นมือที่สาม
เธอพูดไม่ออก
เหอหยุนซิ่งทำแต่เพียงยิ้มเจือนๆ “ฉันเป็นลุกของภรรยาโจวโจว ไม่มีความประสงค์ร้าย พวกเขาก็ใกล้จะหย่ากันแล้ว ฉะนั้นฉันไม่ทำอะไรกับเธอหรอก”
หย่า…
เพราะอย่างนี้เธอถึงได้เข้าไป เพราะอย่างนี้เหอเจิงเห็นเธอก็ไม่ได้โกรธอะไร
แม้จะพูดแบบนี้แล้ว ความรู้สึกของจ้าวถังชิวก็ยังไม่ผ่อนคลาย “คุณ คุณอยากถามอะไร”