จี้ผิงโจวทำธุระเสร็จแล้วออกมาก็เห็นนางพยาบาลกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมเหอเจิงที่ทางเดินแล้วถามเธอสะเปะสะปะ ฉากนั้นเหมือนกับคนกำลังดูลิงที่สวนสัตว์ไม่มีผิด เธอไม่ใช่ไม่รู้ แต่ชอบแกล้งทำเป็นโง่
คนอื่นถามอะไร
เธอไม่เพียงสีหน้าไม่เปลี่ยน แต่ยังตอบอย่างอ่อนหวานด้วย
เหมือนกับเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีจริงๆ
แต่จี้ผิงโจวรู้ดีว่า นี่เป็นแค่ภายนอกของเธอเท่านั้น
เขาอยู่ที่มุมทาง กระแอมทีหนึ่ง เสียงทำให้คนกลุ่มนั้นตกใจพากันหนีไปอย่างรวดเร็ว
เหอเจิงทุบเข่าที่เมื่อยล้า ในมือยังถือยาอยู่ถุงหนึ่ง อารมณ์เหมือนกับยกภูเขาทั้งก้อนออกจากอก ถึงขั้นนี้แล้วแต่ก็ยังทำเป็นอ่อนโยน
“พวกหล่อนพูดอะไรกับเธอหรอ”
หันไปตามเสียง
เหอเจิงทำตากระพริบๆ ไม่รู้ว่าทำไม น้ำเสียงของเธอราบเรียบ แต่จี้ผิงโจว กลับฟังเป็นคำพูดที่มีความรู้สึกอิจฉา
“พวกเธอบอกว่านายกับหมอหญิงที่รักษาผิวหนังมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก ให้ฉันระวังหน่อย”
จี้ผิงโจวทำหน้านิ่ง
ได้ยินคำพูดนี้สีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยน “หล่อนจะแต่งงานอยู่แล้ว”
ไม่ว่าเขาจะอธิบายหรือไม่ก็ตาม เหอเจิงก็ไม่ได้แคร์อยู่แล้ว
เมื่อก่อนเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องกับผู้หญิงหลายคน แต่ว่าเหอเจิงไม่ได้ใส่ใจใครเลย เขาคิดว่าเธอเป็นคนที่ใจกว้าง ต่อมาถึงได้รู้ว่า เธอตั้งใจไม่แคร์จริงๆ
ยิ้มอย่างเย็นชา จี้ผิงโจวรู้สึกว่าทำเกินหน้าเกินตา “ฉันพูดเรื่องพวกนี้ให้เธอฟังทำไมก็ไม่รู้”
เหอเจิงหิ้วถุงยาเดินตามขึ้นไป
“ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นฉันจะไม่กลับไปที่บ้านตระกูลจี้แล้ว เธออยากพาเด็กผู้หญิงคนนั้นไปก็พาไปเถิด ไม่เป็นไร”
ในหัวของเธอบรรจุอะไรไว้กันแน่ จี้ผิงโจวไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระของเธอพวกนี้ “นายคิดว่าฉันจะขอความเห็นจากนายหรอ”
เหอเจิงไม่ได้ตอบ
ต่อให้เธอไม่ตอบแล้วจะยังไง
กับเรื่องพวกนี้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ได้ใส่ใจ เธอใส่ใจแหละ เมื่อก่อนกิ๊กของจี้ผิงโจวเคยมาคุยกับเธอเป็นส่วนตัว เสียงสั่นพร้อมน้ำตา ทุกคำแฝงด้วยความรู้สึก “พี่สาว ฉันชอบพี่โจวโจวจริงๆ พี่หย่ากับเขาเถิด ฉันอยากอยู่ด้วยกันกับเขา”
ที่นั่นเป็นสภาพแวดล้อมที่สวยงามของร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
เธอต้องเผชิญกับเด็กผู้หญิงวัยสาวที่หลงใหลสามีของเธอ ก็รู้สึกว่าวางตัวไม่ถูก
คนนั้นน่าสงสารขนาดนั้น
เหมือนกับว่าเธอเป็นมือที่สามที่เข้าไปทำลายครอบครัวคนอื่น
เธออยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก อดกลั้นอยู่นานแล้วพูดแค่ว่า “แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ ฉันก็ชอบเขาเหมือนกัน ฉันก็อยากอยู่ด้วยกันกับเขาตลอด”
เด็กผู้หญิงฟังจบก็อึ้ง ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
จี้ผิงโจวส่งเหอเจิงกลับไปถึงบ้านตระกูลฟาง ย้ำเตือนเธออย่าลืมกินยาด้วย ก่อนจากไปหยิบตั๋วออกมาให้เธอใบหนึ่ง ยื่นออกไปทางหน้าต่างรถ “เธอทำตกไว้บนรถ คิดจะคืนให้เธอตั้งแต่เช้าแล้ว”
เหอเจิงจ้องมองตั๋วคอนเสิร์ต “มีสองใบไม่ใช่หรอ”
“ฉันหาเจอแค่ใบเดียว”
คำพูดนี้หลุดออกมาจากปากของจี้ผิงโจวย่างไม่ลังเลใจเลย เหมือนกับว่าตัวเองไม่ได้โกหก
แต่ว่าตั๋วนี้ทำให้เหอเจิงคิดถึงคำพูดเมื่อคืนของเจี่ยงเหยียนตอนเธอถามหล่อน
น้ำเสียงไม่ดีขึ้นมาทันที “จากนี้ไปนายอย่าไปค้นหาเรื่องเมื่อก่อนของฉันอีก เราหย่ากันแล้ว เรื่องพวกนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาย”
จี้ผิงโจวถูกคำพูดของเธอยั่วจนหัวเราะ “เธอก็เห็นตัวเองสำคัญเกินไป
ฉันค้นหาเรื่องอะไรของเธอล่ะ”
“นายได้คุยกับเพื่อนเก่าของฉันไม่ใช่หรอ”
“อ๋อ คนนั้นเป็นเพื่อนของเธอหรอ ฉันคิดว่าเป็นคู่อริเธอสักอีก คำไม่กี่คำล้วนแล้วแต่ทำร้ายเธอทั้งนั้น ตัวเองก็มีแววตาหน่อยแล้วกัน คนอื่นกำลังหลอกตัวเองก็ยังไม่รู้ตัว”
เขาเตือนด้วยความหวังดีแท้ๆ แต่กลับทำให้เหอเจิงโมโห เธอสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ฉันมันก็หลอกง่ายแบบนี้แหละ นายก็เคยหลอกฉันไม่ใช่หรอ มีสิทธิ์อะไรไปว่าคนอื่น”
จี้ผิงโจวรู้สึกสดชื่น “ฉันหลอกอะไรเธอล่ะ”
ตอนนี้
เห็นๆอยู่ว่าขโมยตั๋วของเธอไปแต่ก็ไม่ยอมรับ
เหอเจิงกำตั๋วใบนั้นจนเกิดรอยยับ เก็บกดไว้ หมุนตัวไปคิดจะหนี จี้ผิงโจวทำเสียงกระแอมรั้งเธอไว้ ก็ไม่ได้มีความสุขเท่าไหร่หรอก “ไม่สนนิสัยเหม็นอะไรของเธอพวกนั้น วันคริสตมาส ปีน้อย สามสิบ ต้องกลับไปร่วม อย่าให้ฉันได้เหวี่ยงใบหน้าเหม็นของเธอ ระวังฉันจะบอกแม่เธอด้วย”
ช่วงที่ผ่านมาวันคริสตมาสเป็นวันที่คึกคักที่สุดของบ้านตระกูลจี้
และก็เป็นเวลาที่ปองดองกันที่สุด
วันนั้นแม้แต่จี้เหยียนเซียงก็จะไม่วางกับดักอะไรให้กับเหอเจิง และก็เป็นวันเวลาที่มีความสุขไม่กี่วันที่เธออยู่บ้านตระกูลจี้ ลองยกนิ้วขึ้นมานับๆดู ประกฎว่าใกล้จะถึงแล้ว
เธอวิ่งกลับบ้าน เสียงไพ่นกกระจอกในห้องรับแขกเล็กไม่เคยดับเลย
จี้ซูกำลังนั่งแกะเม็ดทานตะวันอยู่ข้างหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมาเห็นเหอเจิงเข้ามาพอดี รีบวิ่งตามขึ้นไป ถามคำต่อคำว่า “พี่สะใภ้ เมื่อคืนพี่วิ่งไปไหนหรอ ทั้งคืนก็ไม่กลับมา”
พูดถึงว่าเมื่อคืนทำไมจู่ๆก็เจอจี้ผิงโจว
ทั้งหมดนี้ต้องเป็นเพราะหล่อนแน่ๆ
ตอนนี้เหอเจิงรู้แล้วว่า หล่อนก็คือสายสืบที่จี้ผิงโจวส่งมานี่เอง “ถ้าฉันอยู่กับคนอื่น เธอแค่ยกหัวก็จะโทรหาพี่ชายเธอใช่ไหม”
ปลายหัวเม็ดทานตะวันอยู่ระหว่างฟันของจี้ซู
เธอแทะต่อไปไม่ไหวแล้ว หัวเราะทีหนึ่ง “เป็นไปได้ยังไง พวกคุณสองคนฉันต้องเลือกพี่สะใภ้อยู่แล้ว เขาเย็นชาอย่างนั้น ไม่สนุก”
“ฉันสนุกหรอ เป็นของสนุกของพวกเธอหรือไงกัน”
เก็บเธอไว้ด้วยความหวังดี
กลับเป็นเก็บลูกศิษย์ทรยศคนหนึ่ง
ตอนเหอเจิงปิดประตูก็ขวางจี้ซูไว้ข้างนอก เตือนอย่างไม่ใยดีว่า “ไม่กี่วันก็จะเป็นวันคริสตมาสแล้ว ตอนนั้นก็กลับไปซะ ทำเป็นน่าสงสารก็ไม่มีประโยชน์”
จี้ซูใช้ปลายเท้าขวางประตูไว้ “พี่ไม่กลับไปด้วยหรอ”
รับปากแล้วว่าจะไป เธอไม่อยากกลับคำพูด แต่ก็ไม่อยากกลับไปเจอหน้ากับจี้ผิงโจว จึงลังเลอยู่ชั่วครู่ ป้าหมิงเข้ามาพอดี ยืนอยู่ที่บันไดเรียกเหอเจิง “เจิงเอ๋อ ทางด้านแม่ของเธอ อยากให้เธอไปหาหน่อย”
กลับมานานขนาดนี้
นอกจากกินข้าวแล้ว
เหอเจิงไม่เคยเจอกับคุณนายฟางเลย
ตอนที่ไปถึง หล่อนเพิ่งจะลงมาจากการเล่นไพ่นกกระจอก หมุนไหล่ไปมาหลายที พาเหอเจิงไปยังห้องนอน
ในห้องนั้นมืด เปิดผ้าม่านทั้งหมด แสงสองเข้ามา
คุณนายฟางไปนั่งที่เก้าอี้ เต็มไปด้วยความไม่สบายใจ “เมื่อคืนไปไหนมา ทำไมไม่โทรมาที่บ้าน”
“ขอโทษค่ะ ลืมไปเลยว่า…”
“ไปไหนมา”
ถ้าบอกว่าอยู่ด้วยกันกับจี้ผิงโจว ยิ่งจะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น จะทำให้เธอยิ่งไม่สบายใจไปใหญ่ เหอเจิงก้มหน้าลง ตอนที่โกหกยังติดๆขาดๆ “เฉียวเอ๋อเกิดเรื่องนิดหน่อย เลยไปอยู่กับเธอ”
เงาร่างหนึ่งกลับพุ่งเข้ามาหาตัวเธอ ฝ่ามือตบลงไปข้างหูทีหนึ่ง แม้แต่ใบหูก็สั่นไปทีหนึ่ง ทั้งเจ็บทั้งแสบ
เหอเจิงยืนนิ่ง รับการตบครั้งนี้แต่โดยดี
“เธอคิดว่าฉันไม่รู้หรอ ยังจะมาโกหกอีก ” คุณนายฟางโกรธจนเส้นผมข้างหูตกลงมา “ใครส่งเธอกลับมา เธอคิดว่าคนที่นี่เป็นคนตาบอดกันหรือไง”
“ขอโทษจริงๆ”
“ถ้าเธออยากจะหย่าจริงๆก็อย่าเข้าใกล้เขา ไม่อยากหย่าก็ออกไปจากบ้านนี้ซะ เป็นเพราะตระกูลจี้ไม่อยากเก็บเธอไว้ หรือว่าที่ฉันขาดอาหารเครื่องดื่มให้เธอ”
การหย่ากับจี้ผิงโจวเรื่องนี้เธอสนับสนุนมาตลอด
เหมือนกับว่าตั้งแต่ที่พวกเขาแต่งงานกัน ก็รับรู้ได้ว่าเหอเจิงจะต้องเจอเรื่องลำบากใจ ในใจของหล่อนหวังแต่ให้เหอเจิงอยู่ดีกินดี ยิ่งไม่ชอบสภาพที่อะไรๆก็ยอมไปอย่างนี้ของเธอ
เหอเจิงถอนหายใจเงียบๆ “ฉันได้พูดคุยกับคุณปู่ของเขาแล้ว ประมาณครึ่งปีก็จะถอนการแต่งงานออกไปเอง”
คุณนายฟางสะบัดมือไปมา “เธอไม่ต้องพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้กับฉัน ในเมื่อตัดสินใจจะหย่าแล้ว ก็ไม่ต้องเปลี่ยนใจทีหลัง ถ้าไม่อย่างนั้น เธอก็อย่ากลับมาที่นี่อีก”
“เข้าใจแล้ว”
เห็นเหอเจิงก้มหน้าอย่างนี้ เธอพูดเสริมอีกว่า “ยังมีอีกเรื่อง ช่วงนี้ลุงเหอของเธอ เพราะเรื่องการหย่าของเธอ เขาคอยสอดแนมโจวโจวตลอด เธอไปเตือนเขาหน่อยว่า อย่าไปแหย่คนอื่น”
เรื่องรูปภาพครั้งก่อน ก็เป็นฝีมือของเหอหยุนซิ่ง
เรื่องนี้เหอเจิงลืมไปแล้ว เธอพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”