ภายใต้ลมและหิมะที่โหมกระหน่ำ จนทำให้มองเห็นหน้าของกันและกันไม่ชัด
แต่สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ
ความโกรธที่กำลังปะทุอยู่
ฟางลู่เป่ยกลัวว่าจี้ผิงโจวจะลงมือทำอะไร เขาจึงเอาตัวไปขวางระหว่างกลางไว้
ฟางลู่เป่ยจับมือของเขาไว้ และพูดว่า “โจวโจว นายอย่าใจร้อน เรื่องนี้ตกลงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายใจเย็นๆหน่อย”
“ฉันถามเธอว่าเซ็นแล้วหรือยัง?”
จี้ผิงโจวไม่ได้สนใจฟางลู่เป่ย แต่กลับมองผ่านไปทางคนข้างหลัง
เหอเจิงเองก็รู้สึกหวาดกลัว จนไม่กล้าพูดความจริงออกมา จึงพูดว่า “หิมะกำลังตก คุณสุขภาพไม่ค่อยดี รีบกลับเถอะ พวกเราก็จะกลับแล้วเหมือนกัน”
จี้ผิงโจวตอบกลับเสียงเย็นชาว่า “เธอกลับไปกับฉัน ฉันไม่รู้ว่ายาวางไว้ตรงไหน”
“ฉันบอกพี่เฉินไว้หมดแล้วค่ะ”
ใต้พื้นรองเท้ามีหิมะที่กำลังละลายอยู่ เหมือนกับมีอะไรบางอย่างดึงไม่ให้เธอไป
แต่ถ้าเธอไม่ไป ต่อไปเธอก็คงจะได้สิ่งตอบแทนเป็นความแค้นของเขา โกรธแค้นขนาดที่จะฆ่าเธอได้เลย
และสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น
เข้าหอวันแรก เขาก็ผลักเธอออกมาจากหน้าต่าง
จากนั้นเหอเจิงก็รวบรวมความกล้า ยกเท้าขึ้นและเดินไปข้างหน้า
แต่คนอย่างจี้ผิงโจว
มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่จะทอดทิ้งคนอื่น
ถ้าคนอื่นจะทอดทิ้งเขาแล้วละก็ คงจะมีแต่ตายสถานเดียวเท่านั้น
เหอเจิงเพิ่งเดินไม่ถึงสองก้าว ก็ได้ยินเสียงของฟางลู่เป่ยดังขึ้นมาว่า “จี้ผิงโจว นายใจเย็นๆก่อน อย่าลงไม้ลงมือ!”
ขณะเดียวกันนั้นเอง คอเสื้อของเหอเจิงก็ถูกดึงอย่างแรง ร่างทั้งร่างถูกกระชากถอยกลับไป จี้ผิงโจวแค่อยากจะดึงเธอกลับมาเท่านั้น แต่เพราะพื้นข้างล่างเป็นหิมะ ทำให้เธอยืนทรงตัวไม่อยู่ จึงทำให้เธอล้มไปกองอยู่ที่พื้น
เหอเจิงอดทนไม่ร้องอะไรออกมา
มือเธอกำหิมะที่หนาวเหน็บแน่น จากนั้นจี้ผิงโจวก็พูดขึ้นว่า “ลุกขึ้น กลับกัน”
เหอเจิงกล้ำกลืนฝืนทนไม่ด่าอะไรออกไป เอาแต่จ้องไปที่จี้ผิงโจว
จี้ผิงโจวจึงตัดสินใจอุ้มเธอขึ้นจากหิมะ ฟางลู่เป่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เข้ามายื้อยุดฉุดแย่งอยู่ พร้อมกับสบถคำด่าออกมาไม่เหลือชิ้นดี แต่จี้ผิงโจวกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน ไม่ว่าอย่างไรก็จะเอาเหอเจิงกลับไปให้ได้
ฟางลู่เป่ยไม่มีหนทางอื่น
เขาจึงตัดสินใจดึงผ้าพันคอของเหอเจิง
ถ้าผ้าพันคอของเธอแน่นกว่านี้ เธอคงโดนรัดตอตายไปแล้วแน่ๆ เขาดึงแบบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงเหอเจิงสำลัก หายใจลำบาก และปากก็เอาแต่เรียกฟางลู่เป่ย
เมื่อเห็นดังนั้น เขาจึงต้องรีบปล่อยมือ จากนั้นก็พุ่งตัวเขาไปขวางไว้ และพูดว่า “ฉันบอกให้นายปล่อย!”
สิ้นเสียงเขาก็ซัดหน้าจี้ผิงโจวไปเต็มแรง จนทำให้เขาเซถอยไปและล้มลงไปกองกับหิมะ
จากนั้นก็ไม่รู้มีเสียงจากผู้หญิงคนไหน เรียกโจวโจว
เหอเจิงมองไปที่ภาพด้านหน้าด้วยตาแดงก่ำ
มีผู้หญิงคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาตบหน้าฟางลู่เป่ยดังลั่น จากนั้นก็ตะคอกว่า “หน้าด้าน!”
จากนั้นก็มีคนใช้วิ่งเข้ามาพยุงจี้ผิงโจวยืนขึ้น
ภาพตรงหน้าค่อนข้างชุลมุนวุ่นวายมาก
ฟางลู่เป่ยเองก็ยังงงๆกับรอยตบเมื่อครู่อยู่ จี้เหยียนเซียงเมื่อเห็นจี้ผิงโจวในสภาพนั้นก็น้ำตาไหลด้วยความสงสาร เธอช่วยจี้ผิงโจวปัดหิมะตามลำตัวออก จากนั้นก็เอื้อมมือไปสัมผัสแก้มที่โดนต่อยจนเป็นรอยช้ำของเขา ตั้งแต่เล็กจนโตเขาถูกประคบประหงมเฝ้าเลี้ยงดูมาอย่างดี ไม่เคยที่จะโดนต่อยตีอะไรแบบนี้เลย
แต่จี้ผิงโจวไม่ได้สนใจใดๆ เขากลับพูดต่อว่า “กลับไปกับฉัน”
เหอเจิงเบือนหน้าหนี มองไปที่พื้น
จี้เหยียนเซียงจ้องไปที่ฟางลู่เป่ย มองที่เขาด้วยสายตาราวกับจะเอามืดมาแทงเขาเสียให้ได้ “นี่คือบ้านของตระกูลจี้ นายเป็นใครถึงกล้ามาต่อยคนอื่นที่นี่? ไร้การศึกษา! ยังไม่พาพวกคนชั้นต่ำของแกไสหัวออกไปอีก?”
คำที่เธอด่า เหอเจิงชินกับมันแล้ว
แต่ฟางลู่เป่ยไม่ได้ยิน และเหอเจิงเองก็ไม่เคยบอกว่าโดนคำด่ารุนแรงพวกนี้ “คุณบอกว่าใครชั้นต่ำ?”
“กล้าทำคนอื่นก็อย่ากลัวคนอื่นด่าซิ!”
“เชื่อไหมว่าฉันกล้าฉีกปากเธอ!”
ฟางลู่เป่ยพูดจบก็ยื่นมือออกไปแต่ถูกเหอเจิงดึงไว้ก่อน ตอนล้มเมื่อครู่แขนเธอถลอก และยังโดนหิมะอีก แต่เธอกลับทำเหมือนไม่รู้สึกเจ็บ ใจคิดอย่างเดียวคืออยากจะพาฟางลู่เป่ยออกไปจากตรงนี้
จี้เหยียนเซียงโกรธมาก เธอตวาดลั่นว่า “ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ แล้วอย่ากลับมาอีก!”
ภายใต้ท้องฟ้าที่เหน็บหนาว เหอเจิงเองก็เจ็บมาเยอะ จนเธอทนไม่ไหวพูดออกไปว่า “พวกเราไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้ว จะเซ็นหรือไม่เซ็น ก็ไม่มีอะไรแตกต่าง เพราะอย่างไรซะเราก็ควรเลิกกันตั้งนานแล้ว”
เสียงของเธอเย็นชายิ่งกว่าหิมะในคืนนี้
อาจจะเป็นเพราะเธอคาดเดาได้ว่าพวกเขาคงจะทนต่อไปอีกไม่ได้แล้ว เธอถึงกล้าพูดแบบไม่มีเยื้อใย
เธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้ และมองไปที่จี้เหยียนเซียง
“แต่ที่ฉันต้องกลับมา เพราะว่าชีวิตคน ยังต้องการเลือดจากฉัน”
ถ้าไม่มีเลือดของเหอเจิง
ป่านนี้จี้เหยียนเซียงคงตายไปแล้ว
เหอเจิงไม่เคยคิดอยากจะฟังคำขอบคุณจากเธอ แต่เหอเจิงเองก็ทนไม่ได้ที่เธอจะมาว่าชั้นต่ำแบบนี้
เหอเจิงหันหลังและเดินหนี จี้เหยียนเซียงเองก็ด่าไล่หลังมาไม่หยุด แต่ละคำที่พ่นออกมา ต่างก็ยากที่จะทนฟัง จี้ผิงโจวเห็นเหอเจิงกำลังจะเดินไป เขาก็รีบจะตามไป แต่ก็ถูกพวกคนใช้ดึงเอาไว้
ก่อนที่เธอจะเดินลับตาไป
เธอได้ยินประโยคสุดท้ายว่า “นายจะตาบอดไปถึงไหน? ขนาดพี่สาวนายมันยังกล้าด่า ผู้หญิงพรรค์นี้นายยยังจะเก็บไว้อีกเหรอ?”
จากนั้นเธอก็เดินมาขึ้นรถ
ฟางลู่เป่ยถอดเสื้อคลุมตัวเองออก และหันไปถอดผ้าพันคอของเหอเจิงออก
บนคอของเธอมีรอยแดงเต็มไปหมด เมื่อมองเห็นแล้วก็สงสารจับใจ
รอยเส้นเลือดที่ปูดแดงนั้นน่ากลัวมาก ทั้งมือทั้งหน้าเธอต่างก็มีรอยแผลเต็มไปหมด
“มีตรงไหนเจ็บอีกบ้าง ให้ฉันพาไปหาหมอไหม?”
ฟางลู่เป่ยพยายามพูดกับเธอเบาๆ เพื่อให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นจากเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ว่ามันก็ดูเหมือนจะยากมาก
เหอเจิงส่ายหน้า และหยิบบุหรี่ขึ้นมาดูด
สายตาเอาแต่จ้องไปด้านหน้าอย่างเหม่อลอย
ฟางลู่เป่ยรู้สึกอึดอัดจึงพูดขึ้นว่า “จะร้องก็ร้อง ถ้าไม่เป็นอะไรก็อย่าเป็นแบบนี้ ทำแบบนี้คืออะไร?”
เหอเจิงหันหน้าไปพ่นควัน
เธอรู้สึกคลายความเจ็บได้เล็กน้อย จากนั้นเธอก็พูดออกมาว่า “ขอโทษนะ ที่ทำให้โดนตบ”
“ไม่รู้จะพูดอะไรก็เงียบปากดีกว่า ที่ให้เธอไปแต่งงานคือการให้เธอไปโดนด่าแบบนี้ที่บ้านของคนอื่นเหรอ?”
“ที่เธอพูดก็ถูก”
จากนั้นฟางลู่เป่ยก็สตาร์ทรถ และพูดว่า “ฉันกับแม่ยังไม่ทำกับเธอแบบนี้เลย แล้วยัยนั่นเป็นใครถึงกล้าทำ? น้าเห็นสภาพเธอตอนนี้จะสงสารเธอแค่ไหน”
ประกายสีแดงของก้นบุหรี่สว่างและสลัวสะท้อนในรูม่านตาของเหอเจิง จากนั้นเธอก็หัวเราะเบา ๆ “นั่นไม่ได้เป็นเป็นเพราะท่านเหรอ?”