รอบๆตึกดนตรีมีร้านอาหารร้านกาแฟอยู่เยอะมาก อีกทั้งยังมีห้องส่วนตัวบริการอีกด้วย เหตุผลหลักเพื่อให้นักเรียนมาทบทวนบทเรียนกัน
พวกเขาเลือกร้านเสร็จ
จี้ผิงโจวเองไม่ค่อยได้ออกมานั่งทานข้าวกับคนอื่นแบบนี้บ่อยๆ เขาจึงยื่นเมนูให้กับหญิงที่เพิ่งรู้จัก “คุณสั่งเลยครับ”
เจี่ยงเหยียนเองก็รู้สึกไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ เพราะผ่านมาตั้งนาน เธอไม่คิดว่าจะเจอกับแฟนของเหอเจิงได้
ตอนแรกเธอคิดว่า ชาตินี้เหอเจิงคงจะไม่แต่งงานแน่ๆ
จากนั้นเธอก็สั่งอเมริกาโน่มาสองแก้ว และถามอย่างเก้ๆกังๆว่า “คุณเป็นแฟนของเหอเจิงจริงๆเหรอคะ?”
จี้ผิงโจวพยักหน้า
“งั้นคุณอยากรู้เรื่องอะไรเหรอ?”
“เธอมาที่นี่คนเดียวตลอดเลยเหรอครับ?”
“ค่ะ ตอนนี้ทุกคนในวงก็แยกย้ายไปหมดแล้ว ที่ยังเหลืออยู่ในเมืองเหยียนจิงก็มีแค่ฉันกับเหอเจิง ฉันเพิ่งเจอเธฮเมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ แต่ก่อนพวกเราคิดว่าเธอ….”
“ทำไมเหรอครับ?”
“ตายแล้วค่ะ”
คนที่เคยฉายแววโดดเด่นอย่างเธอ อยู่ดีๆก็หายไป ข่าวคราวก็ไม่ได้ยิน คนในวงจึงคิดว่าเธอตายไปแล้ว เจี่ยงเหยียนเองก็คิดเหมือนกัน
ตอนนี้เพิ่งรู้ว่า นอกจากเธอจะยังไม่ตายแล้ว เธอยังมีชีวิตใหม่และคนใหม่ๆ
“ใครบอกว่าเธอตายเหรอครับ?”
ถึงแม้ว่าเหอเจิงจะลาออกจากวง ไม่ได้ร่วมแสดงต่อ และค่อยๆหายไปจากสายตาของผู้คน แต่เธอก็ไม่ได้หายทันทีทันใด
เพราะฉะนั้นข่าวลือนี้
เหลวไหลมาก
เจี่ยงเหยียนสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา เธอจึงรีบพูดจนลิ้นพันกันว่า
“เอ่อ..เพราะ..เพราะว่าตอนนั้นเหอเจิงคบกับมือเปียโนของวง ต่อมาเขาก็ป่วยหนัก ออกจากวงไป และเพราะเธอต้องการดูแลเขา ทำให้เธอขาดซ้อมบ่อยๆ ตอนนั้นเธอเหมือนจะต้องทานยาด้วย เธอยุ่งมาก จนในที่สุดก็ออกจากวงไป”
น้ำเสียงฟังดูเศร้าและเสียใจ
แต่แท้จริงเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ได้
เธอดื่มกาแฟอึกหนึ่ง และพูดว่าต่อว่า “พอเธอออกจากวงไป เธอก็ไม่เคยติดต่อพวกเราอีกเลย แม้กระทั่งงานแสดงเธอก็ไม่ไปดู พวกเขาเลยพูดว่า….”
จี้ผิงโจวไม่ชอบคนพูดๆหยุดๆ สีหน้าเขาเย็นชามาก จากนั้นก็พูดเสียงเรียบว่า “มีอะไรก็พูดออกมาเถอะครับ ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ผมไม่สนใจเรื่องอดีตของเธอหรอก”
ทั้งหมดนี้ล้วนก็เป็นการแสดงของเจี่ยงเหยียน
ครั้งนี้ได้เจอศัตรูของเหอเจิง จึงทำให้เขาได้รู้ชัดเจนสิ่งที่พวกเขาไม่อยากบอก
เจี่ยงเหยียนยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะบอกว่า “คุณจี้นี่ใจกว้างจริงๆ เป็นเรื่องโชคดีมากที่เหอเจิงได้อยู่กับคนแบบคุณ”
จี้ผิงโจวไม่แสดงอาการหรือสีหน้าใดๆ
เจี่ยงเหยียนจึงพูดต่อว่า “ตั้งแต่ที่เหอเจิงออกไป คนในวงก็พูดกัน….ไม่ใช่ฉันนะ พวกเขาพูด” เธอหยุดครู่หนึ่ง “พวกเขาพูดกันว่า เพราะเหอเจิงต้องการจะหาค่ารักษาให้มือเปียโน เธอจึงตั้งใจไปเล่นดนตรีทีบ้านคนรวย เวลาไปก็ไปทั้งคืน”
เธอพูดออกมาโดยไม่กลัวสักนิดว่าจี้ผิงโจวจะสนใจอดีตแย่ๆของเหอเจิงหรือไม่ แต่เขาเองก็รู้และไม่ได้เอาเรื่องอดีตพวกนี้มาใส่ใจ “แล้วเป็นอย่างไรต่อครับ? ค่ารักษาเก็บได้ครบไหม?”
เจี่ยงเหยียนกลืนน้ำลายดังเอื้อก รู้สึกเหมือนนฝืดๆคอ
ผู้ชายคนนี้อารมณ์ดีเดินไปแล้วมั้ง
ได้ยินเรื่องแบบนี้แล้วยังไม่รู้สึกอะไรเลย
เธอครุ่นคิดเล็กน้อยว่าจะพูดอะไรต่อดี “เหมือนจะไม่ได้ ไม่งั้นมือเปียโนคนนั้นคงไม่หนีการรักษาแล้วฆ่าตัวตายหรอกค่ะ”
“ฆ่าตัวตาย?”
“ใช่ค่ะ” “ได้ยินมาว่าเพราะเขารู้ว่าเหอเจิงทำเรื่องพวกนั้นเพราะต้องหาเงินค่ารักษาให้เขา เขาทนไม่ได้ ก่อนจะฆ่าตัวตายเขาก็ได้เขียนจดหมายลาตายไว้ค่ะ”
“คุณจี้รู้ว่าเขาตายอย่างไรไหมคะ?”
จี้ผิงโจวเห็นแววตาของหญิงสาวดูเศร้าใจ
“เขาใช้เชือกรองเท้ารัดคอตัวเองจนตายค่ะ”
สีหน้าจี้ผิงโจวเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเจี่ยงเหยียนจึงรีบพูดต่อว่า “แต่เขาก็แปลกมากเลยนะคะ เพราะหลังจากตายแล้วก็บริจาคอวัยวะต่างๆไปหมดเลย”
ตอนนี้จี้ผิงโจวรู้สึกเหมือนหิมะที่ถูกแช่แข็งมาเนิ่นนาน ค่อยๆละลายลง และทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ เขาหลับตาลง และพูดว่า “คุณไปได้แล้ว”
เจี่ยงเหยียนได้ยินไม่ชัด “หะ?”
“คุณไปเถอะ เรื่องที่เราเจอกันวันนี้ อย่าบอกให้เหอเจิงรู้”
จากนั้นประตูของห้องส่วนตัวค่อยปิดลง
เมื่อมั่นใจว่าหญิงได้สาวออกไปแล้ว จี้ผิงโจวจึงค่อยๆลืมตา สีหน้าเขาเรียบเฉย เขาพยายามสงบสติบอารมณ์ แต่เหมือนจะทำไม่ได้ เขาจึงหยิบแก้วที่อยู่ข้างๆขึ้น และปาเข้าไปที่กำแพงอย่างเต็มแรง แก้วนั้นแตกกระจายไปทั่ว
ทางด้านเจี่ยงเหยียน เมื่อเดินออกมาจากห้องส่วนตัวแล้ว
หน้าจอโทรศัพท์เธอ ค้างหน้าเว็บที่เธอเพิ่งหาข้อมูลเมื่อกี้
จี้ผิงโจวเป็นคุณหมอที่มีชื่อเสียง แถมยังได้ถ่ายสารคดีมากมาย เมื่อเสิร์ชชื่อเขา ก็จะเห็นข้อมูลต่างๆของเขามากมาย และข้อมูลภรรยาของเขาก็เขียนชัดเจนว่าคือฟางเหอเจิง
แล้วเขาคือแฟนอะไรกัน?
เธอเก็บโทรศัพท์และยิ้มเบาๆ คิดจะหลอกเธอเหรอ
เมื่อเธอเดินมาถึงตึกดนตรี ก็ได้เจอกับเหอเจิง ปกติแล้วเวลาที่เธอมาซ้อม เธอจะมาทั้งวัน บางครั้งซ้อมจนลืมทานข้าว
และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอซ้อมถึงแค่ช่วงกลางวันแล้วก็จะกลับ
“เหอเจิง” เจี่ยงเหยียนเรียกเธอ จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปหาเธอ “ทำไมเธออยู่ๆก็มาล่ะ มาแล้วก็ไม่ทักทายเลย”
“คิดได้ก็มา”
แสงแดดส่องมาลงมา ทำให้เจี่ยงเหยียนสังเกตหน้าของเหอเจิง เจี่ยงเหยียนตกใจเล็กน้อย ก่อนจะชี้ไปที่หน้าเหอเจิง “ตรงนี้เธออเป็นอะไรเหรอ ทำไมมันบวมๆ?”
เหอเจิงรีบเอาผมมาปิด จากนั้นก็พูดว่า “ไม่มีอะไร ไม่ทันระวังกระแทกโดนน่ะ เธอมีเรื่องอะไรอีกไหม? ถ้าไม่ ฉันไปก่อนนะ”
“อ่อ ไม่มีเรื่องอะไรหรอก แค่ทักทายกับเธอเท่านั้น” เจี่ยงเหยียนแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ “อ่า ครั้งหน้ามาหาฉันนะ เราซ้อมเล่นเพลงรวมวงกัน”
“ครั้งหน้าค่อยว่ากัน”
เพลงพวกนั้น เธอน่าจะเล่นไม่ค่อยได้แล้ว
เพราะเธอไม่ได้เก่งหรือมีพรสววรค์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ของพวกนั้นโดนเธอทำลายไปหมดสิ้นแล้ว
เมื่อถึงบ้านตระกูลจี้ จี้ผิงโจวไม่ได้อยู่บ้าน เหอเจิงคิดว่าเขาน่าจะไปโรงพยาบาล แต่ไม่เจอเขาก็ดีแล้ว เพราะถ้าเจอแล้วจะพลันทำให้นึกถึงเรื่องเมื่อคืน
เมื่อเดินไปถึงห้องโถง
ก็เห็นเป๋ยเจี่ยนกำลังทำอะไรอยู่อย่างระมัดระวัง
เมื่อเขาได้ยินเสียงคนเดินมา ก็รีบเก็บ จากนั้นก็พูดว่า “คุณหนูฟาง ทำไมกลับมาเร็วล่ะครับ?”
เหอเจิงแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
เพราะเมื่อวานเธอเหนื่อยมาก ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน คิดแต่ว่าอยากจะไปพักผ่อน “งั้นฉันควรกลับมาตอนไหน?”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“แล้วแต่นายเถอะ เสียงเบาๆหน่อยก็พอ” พูดจบ เธอก็เตรียมจะเดินขึ้นห้องไป แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องของขวัญที่เป๋ยเจี่ยนวางอยู่บนโต๊ะน้ำชา ดูแล้วน่าจะเป็นน้ำหอมหรือกระเป๋าเงินอะไรพวกนี้
เหอเจิงหยุดชะงัก และมองเห็นแววตาของเป๋ยเจี่ยน
เธอไม่พูดอะไร และเดินปรี่เข้าไป
จากนั้นก็หยิบกล่องของขวัญพวกนั้นขึ้นมา จากนั้นก็โยนลงถังขยะไป โดยไม่ได้มองหรือสนใจว่าของนั้นคืออะไร จากนั้นก็พูดว่า “บอกจี้ผิงโจวนะว่าฉันรับของขวัญแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องมาขอโทษอีก”