ฟ้ายังไม่ส่างเหอเจิงก็ออกไปแล้ว
เธอชอบไปไม่ลามาไม่บอก เหมือนกับแขกที่พักค้างคืนในโรงแรม ไม่อยากเหลือข่าวคราวอะไรไว้ ต่อรถไปถึงห้องซ้อมวงดนตรี เมื่อลองคำนวนเวลาดู
เป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่ไม่ได้มาที่นี่
กุญแจยังคงเก็บไว้กับตัว เหมือนกับว่ายังใหม่อยู่
ประตูห้องเรียนกลับเหมือนจะเก่าลง ท่ามกลางฝุ่นที่หนาแน่นส่งกลิ่นไม้ที่ผุพังในยามเช้า ข้างในยิ่งไม่มีคนมาทำความสะอาดเป็นเวลานานแล้ว บนโต๊ะก็เกิดคลาบราแล้ว
เหอเจิงใช้เวลาช่วงเช้าทั้งหมดกับการทำความสะอาดห้อง
เวลาเกือบเที่ยงถึงมีคนในวงถือเครื่องดนตรีค่อยๆมากัน เป็นวัยสาวที่กำลังสนุก มีเสียงพูดและเสียงหัวเราะ ผ่านแผ่นกระจกใสที่มีแสงอรุณสาดผ่าน เห็นใบหน้าที่มีเสนห์ของพวกเธอ
ไม่กี่ปีก่อนตอนที่เริ่มเรียนเครื่องเสียง
เหอเจิงก็เหมือนกับพวกเธอ มองอนาคตอย่างสดใส
เสียงหัวเราะผ่านไป เธอหันหลังกลับไป หยิบเชลโลที่เคือบไปด้วยฝุ่นและถูกลืมเป็นเวลานานออกมา มันเป็นเครื่องดนตรีที่เมื่อก่อนเธอถนัดมือที่สุด ไม่ได้จับเป็นเวลาสามปี ความรู้สึกยังคงใหม่เหมือนเดิม
ปลายนิ้วเพิ่งจะได้แตะสายเครื่อง
ยังไม่ทันออกเสียง
เสียงจากข้างหลังก็ออกมาก่อน
เป็นเสียงถามอันอ่อนหวานของผู้หญิง “เหอเจิงใช่ไหม”
ขณะที่หยุดการกระทำของนิ้วมือ หลังของเหอเจิงแข็งทื่อไปหมด ลืมไปเลยว่าต้องตอบสนองอย่างไรดี ความรู้สึกแรกที่แวบเข้ามาคือ วิ่งหนี
แต่เหมือนคนด้านหลังจะไม่ให้โอกาสเธอด้วยแหละ
“เหอเจิง เป็นเธอใช่ไหม”
เหอเจิงวางเชลโลไว้ สั่นไปทั้งกระดูก กวาดสายตาไป เผยให้เห็นแค่ใบหน้าที่อ่อนล้ากว่าครึ่งหน้า “เจี่ยงเหยียน เป็นฉันเอง”
คนที่คุ้นเคยกับสถานที่ที่คุ้นเคย แต่ความรู้สึกกลับไม่เหมือนเดิมเลย
พวกเธอเคยอยู่วงดนตรีเดียวกัน
ไปออกแสดงทั่วประเทศ นับได้ว่าเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก ความสัมพันธ์แทบจะลึกซึ้งกว่าครอบครัวด้วยซ้ำ
เวลาจากกันหลายปี วงดนตรีก็แยกกันแล้ว เจี่ยงเหยียนกลายเป็นครูแล้ว เจอกับเหอเจิงครั้งนี้ น้ำเสียงแห่งความตื่นเต้นสั่นไปหมด ขอบตาเต็มไปด้วยน้ำตา “เป็นเธอจริงๆด้วย ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเธออีก พวกเราคิดว่าเธอ….”
“คิดว่าอะไรนะ”
เธอจัดการกับอารมณ์ แล้วจึงพูดต่อว่า “พวกเขาพูดกันว่าหลังจากที่ครูซ่งเสียชีวิตเธอก็เสียชีวิตด้วย…”
อีกอย่างเหอเจิงไม่ได้เผยตัวออกมาเป็นเวลาสามปีแล้ว เพื่อนเก่าก็ไม่ได้ติดต่อเป็นเวลานาน เรื่องในตอนนั้นเป็นที่สนใจของผู้คนมากมาย พวกเขาคิดแบบนี้ก็ไม่แปลกอะไรเลย
เหอเจิงพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “ฉันยังใช้ชีวิตดีอยู่นิ”
“ฉันว่าแล้วว่าเธอต้องไม่เป็นไรแน่” เจี่ยงเหยียนถอนหายใจ “พวกเขาบอกว่าเธอแต่งงานกับเศรษฐี จากนั้นไม่นานก็โดดตึกฆ่าตัวตาย และตอนชันสูตรยังมีเด็กในท้องด้วย ห่างจากความเป็นจริงเยอะเลย คนพวกนี้ก็ไม่กลัวตกนรกถูกตัดลิ้นเลย”
มันก็ห่างจากความจริงเยอะจริงแหละ
แต่ก็ไม่ได้ผิดหมดทีเดียว
แม้ว่าจะเป็นคำพูดที่ไม่น่าฟังเลย แต่ต่อหน้าเหอเจิงแล้วมันก็ไม่ใช่คำโกหกหมดทีเดียว ตอนนั้นเธอถอยกลับมาอย่างกะทันหัน ทำให้เกิดการเลื่องลือไปไม่น้อย ไม่ว่าน้ำสกปรกแบบไหนก็สาดมาบนตัวเธอหมด แต่เธอก็ไม่ออกมาอธิบายเลยสักนิด
“เป็นผู้หญิงเหมือนกัน จะพูดนินทาอะไรหน่อยก็เป็นเรื่องปกติแหละ”
นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ทำให้มีความสุขเลยสักนิด
เจี่ยงเหยียนรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ไม่พูดถึงเรื่องไม่สบายใจแล้วล่ะ เธอมาฝึกเชลโลหรอ ไหนมาลองดูสิ”
เมื่อเผชิญหน้ากับเชลโลที่เก่าเครื่องนั้น
เหอเจิงก็เกิดความกลัวเล็กน้อย “คือฉัน…คือฉันไม่ได้แตะเครื่องดนตรีนานแล้ว”
หลังจากที่แต่งงานแล้ว
ก็ไม่เคยแตะเลย
คืนที่แต่งงานใหม่ เชลโลเครื่องนั้นเป็นของสิ่งเดียวที่เธอรักษาไว้ แต่กลับเป็นสิ่งที่จี้ผิงโจวอยากทำลายที่สุด ภายหลังเธอแอบเอามันกลับมาคืน ไม่เก็บไว้ในบ้านให้จี้ผิงโจวเห็น
กำลังจะเข้าช่วงต้นฤดูหนาวแล้ว
กลางวันสั้นลงเรื่อยๆแต่กลางคืนยาวกลับยาวขึ้น
เมื่อฟ้ามืดแล้วทั้งตึกดนตรีก็เปิดไฟ สว่างไสวเวลานี้พอดี เหอเจิงอยากออกไปเช้าหน่อย เธอไม่อยากกลับไปบ้านตระกูลจี้ และไม่อยากเก็บซ้อนเชลโลของตัวเองด้วย เธอเช็ดกระเป๋าใส่เครื่องดนตรี สะพายไว้บนหลัง
ของหนักขนาดนั้นอยู่บนหลังเธอ มันกินแรงจริงๆ
เธอเดินลงบันได
ความหนาวเข้ากระดูกพัดผ่านมา เธอเดินออกไปตามทางเดินเท้าด้านนอกตึก บนตัวสวมเสื้อผ้าลมที่สวมในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง เมื่อเดินจนล้า เธอหยุดจัดกระเป๋าเชลโล
ตามตรอกซอกซอยที่มีเสาไฟที่สว่างสองข้างทาง เหอเจิงหยุดชะงัด
ในใจคิดจะวิ่งหนี
แต่เธอจะหนีไปได้ยังไง
กระจกรถเลื่อนลง คนขับรถไม่ได้มองเธอด้วยซ้ำ “ขึ้นรถ”
ใบหน้าของเหอเจิงที่ไร้อารมณ์ เลียริมฝีปากทีหนึ่ง ปัดไอเย็นบนขนตาออก “ทำไมคุณมาอยู่ตรงนี้”
มันเป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยการปฏิเสธและการต่อต้านของเธอ
เหมือนกับแมวน้อยที่เผยกรงเล็บออกมาเมื่อต้องต่อสู้ มันเป็นวิธีการที่ใช้ไม่ได้จริงๆ ผ่านสายตาคู่นั้นที่สดใส จี้ผิงโจวเหมือนกับเห็นฟางเหอเจิงในต้นหิมะตกเมื่อสามปีที่แล้ว
ตอนนั้นตาของเขาเพิ่งจะหาย ยังอยู่ในช่วงที่ถูกหลอกลวง เขารักเหอเจิงจะเป็นจะตาย ยอมทิ้งฐานะที่แตกต่างกัน ไปชมการแสดงครั้งสุดท้ายของเธออย่างเปิดเผย
เธอเป็นคนเล่นเชลโลที่อายุน้อยและมีพรสวรรค์ที่สุดของวง แล้วก็มีเสียงของเซียนที่ใช้เสียงหากิน ก่อนที่จะออกจากวง ได้จัดการแสดงดนตรีประกอบละครครั้งสุดท้าย
สวมชุดสีเหลืองอ่อนเต้นอยู่บนเวที เสียงที่มีเสน่ห์ เหมือนเสียงร้องของนกขมิ้นสีเหลืองที่ไพเราะ สาวที่อยู่บนเวที ทุกคนก็สวยทั้งนั้น แต่ไม่มีใครร่าเริงมีชีวิตชีวาเหมือนเธอ
เมื่อแสดงออกมา แม้แต่จี้ผิงโจวก็ส่งสายตาแห่งการชื่นชมไปยังเธอที่ถูกล้อมไว้ด้วยแสงสีรอบๆบนเวที ตอนก้มคำนับเก้าสิบองศาเพื่อขอบคุณผู้ชมนั้น ท่ามกลางเสียงปรบมือนับพัน กับผู้ชมมากมาย เธอส่งตาหวานไปให้กับเขา
ความรักที่น่าหลงใหลแบบนั้น
ไม่มีผู้ชายคนไหนจะปฏิเสธได้เลย
เมื่อการแสดงสิ้นสุดลงเขาไม่ได้ขับรถมารับเธอ แต่กลับรอเธออยู่หลังเวที เธอออกมาพร้อมกับหลังที่สะพายเชลโลไว้ จับมือเขาอย่างนุ่มนวล นัยต์ตาเผยให้เห็นถึงความรักที่ใสซื่อ เหมือนกับจะหลอมละลายเขาทั้งตัวก็ว่าได้
หลังจากนั้นพวกเขาเดินอยู่นอกโรงแสดง บนพื้นมีน้ำแข็งก่อตัวเป็นชั้นๆ หลังคาโรงแสดงที่คล้ายกับสวนป่าถูกหิมะปกคลุมไว้ แม้จะหนาว แต่ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่น
จี้ผิงโจวเอาผ้าพันคอสีน้ำตาลอ่อนพันรอบคอของเหอเจิงที่ว่างเปล่า พันจนปิดใบหน้าของเธอครึ่งหนึ่ง ท่ามกลางหิมะโปรยๆ อุ้มแก้มเธอแล้วจูบเธอ
ตอนนั้นเธอยังเด็ก จูบไม่กี่ครั้งก็หายใจหอบ
จี้ผิงโจวปล่อยเธออย่างเสียดาย อุ้มแก้มเธอ หอมตั้งแต่ระหว่างคิ้วจนถึงคาง ใช้ฝ่ามือที่อบอุ่น อุ้มใบหน้าของเธอไว้แล้วถาม “สะพายเชลโลนี้ไว้ไม่หนักหรอ”
สายตาที่ชุ่มชื่นมองเหอเจิง เหมือนมีดาวตกอยู่ในแก้วตาเธอ “คุณไม่เข้าใจ มันเป็นของล้ำค่าของฉัน มันต้องเอาติดตัวฉันไว้”
เขาเกิดความสนใจขึ้นมา “วันไหนว่างๆก็เล่นให้ฉันฟังเพลงหนึ่งนะ”
พูดแบบนี้ เธอกลับไม่สนใจด้วย ยกคิ้วสีน้ำตาเข้มพูดว่า “ไม่เอา”
ตอนนั้นเขารักเธอมากเกินไป
ไม่ถามด้วยว่าเพราะอะไร
เธอบอกไม่อยากก็คือไม่อยาก เธอบอกไม่เอาก็คือไม่เอา ไม่เคยตามตื้อ และก็ไม่ถามมากด้วย ภายหลัง เขาจึงได้รู้ว่าที่เธอไม่ยอมเพราะว่าเชลโลตัวนี้คนคนนั้นเป็นคนให้มา
เธอจะบรรเลงกับคนนั้นเท่านั้น
เวลาผ่านไปสามปีแล้ว เห็นเธอสะพายเชลโลตัวนั้นอีก เขาเองก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
เหอเจิงสังเกตเห็นอาการผิดปกติของเขา
ไม่ออกเสียงอะไร หันตัวไป เอาเชลโลซ้อนไว้ข้างหลัง
ตอนนี้เขาถึงได้เงยหน้าขึ้น “ได้ยินว่าฟางลู่เป่ยตบตีเธอหรอ”
“เขาตบตีฉันเป็นประจำ ไม่เป็นไรหรอก”
จี้ผิงโจวยิ้มอย่างเย็นชา เธอชอบใช้น้ำเสียงแบบนี้ในการพูด เหมือนกับว่าคนทั้งโลกมีคุณต่อเธอ “แต่เขารู้เรื่องที่เธอบริจาคเลือดให้พี่สาวแล้ว เธอไม่รู้สึกว่าต้องอธิบายหน่อยหรอ”
“ตอนนี้พวกเขาคิดว่าฉันเป็นคนไม่ดีไปแล้ว ฟางเหอเจิง เธอทำไมใจร้ายแบบนี้”
เธอจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ออก “ฉันใจร้ายไม่ใช่เพิ่งสองสามวันนี้ ตอนนี้คุณเพิ่งรู้หรอ”
เธอหันหลังไป เดินก้าวยาวดั่งดาวตก กลัวแต่เพียงว่าเดินช้าเกินจนจี้ผิงโจวตามมาทัน
แต่การไล่ตามทันนั้นไม่ช้าก็เร็ว
ชั่วครู่ปลายเท้าก็ตามทันส้นเท้า จี้ผิงโจวยื่นมือไปจับเธอ แต่กลับไปจับโดนเชลโลที่สะพายบนหลังเธอ ของนั้นเป็นของล้ำค่าของเธอจริงๆ สำคัญยิ่งกว่าชีวิตเธอด้วยซ้ำ
ถูกเขาแตะครั้งนี้ เธอเหมือนถูกเผาขนทันที ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงเปลี่ยนไปหมด
เธอยืนตรงเหมือนสิ่งกีดขวางที่แข็งแรง ขวางจี้ผิงโจวไว้ด้านนอก สีหน้าเหมือนคนไม่รู้จักกัน “อย่าแตะต้องมัน”
ท่ามกลางความมืด สายตาของจี้ผิงโจวมืดไปในเสี้ยววินาที