เขาหมายความว่าอย่างไร ป้าหมิงกับเหอหยุนซิ่งก็รู้ดี
เหอหยุนซิ่งวางตะเกียบลง และยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า “เจิงไม่ชอบกลับบ้านเหรอเนี่ย ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย?”
“ตอนนี้ ก็เห็นแล้วไม่ใช่แล้วเหรอ?”
ขณะเดียวกันพวกป้าๆอาๆที่ได้ยินว่าเธอจะค้างที่บ้านอยู่บ้านเธอเองอีกสองวัน ต่างก็พากันไม่เห็นด้วย
เหอเจิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “ฉันกลับหรือไม่กลับ ก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
“เหมือนกันอย่างไร?”
“อย่างไรซะคุณเองก็ไม่กลับเหมือนกัน ไม่ใช่เหรอ?”
จากนั้นทุกออย่างก็เงียบกริบ
แม้กระทั่งป้าหมิงเองก็ค้างด้วยความอึ้ง จากนั้นก็รีบส่งสายตาไปให้เหอหยุนซิ่ง เพื่อบอกให้เขาห้ามทั้งสอง
แต่คนที่ไม่อยากให้ทั้งสองดีกันมากที่สุด ก็เหมือนจะเป็นเหอหยุนซิ่งนี่แหละ
“โจวโจวไม่ค่อยกลับบ้านเหรอ? ที่โรงพยาบาลงานยุ่งมากเลยใช่ไหม?”
จี้ผิงโจวแสยะยิ้มเบาๆ จากนั้นตอบกลับว่า “คุณอาครับ ทำไมคุณอาเพิ่งกลับมาก็ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องครอบครัวคนอื่นเขาล่ะครับ ที่เหอเจิงเคยบอกว่าใครๆก็รักก็เชื่อฟังคุณอา งั้นเรื่องแบบนี้คงจะจัดการได้ดีซินะครับ?”
“จี้ผิงโจว!”
เหอเจิงตะคอกขึ้น
เธอยอมและทนได้เวลาที่เขาจิกกัดหรือเหน็บแนมเธอ แต่เธอทนไม่ได้เมื่อเขาปฏิบัติกับคนรอบข้างเธอ “ถ้าคุณคิดว่าบ้านฉันต้อนรับคุณไม่ดีพอ ตอนนี้คุณจะไปก็ได้”
“เอาล่ะๆ อย่าเอะอะโวยวายไป” ป้าหมิงกล่าวปลอบ
ป้าหมิงไม่อยากให้เหอเจิงฉุนไปมากกว่านี้
ตอนที่เหอเจิงยังไม่โกรธก็ว่านอนสอนง่าย อ่อนโยนมาก แต่ถ้าได้โกรธแล้ว ปากของเธอก็มักจะสรรหาคำเจ็บแสบมาพูดได้ไม่หยุด
และจี้ผิงโจวเองก็เกิดและถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวที่เอ็นดูและประคบประหงม ไม่เคยเจอคนที่ใส่อารมณ์กับเขาแบบนี้มาก่อน
ทั้งสองเวลาอยู่ด้วยกัน ถ้าดีก็ดีมาก
แต่ถ้าได้ทะเลาะขึ้นมา ก็หนักหนาเอาเรื่องอยู่
เพราะทั้งสองไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ
“ไอหยา” ป้าหมิงตบไหล่เหอเจิงเบาๆ จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “อย่าทะเลาะกันเลย ถ้าพวกป้าๆอาๆพวกนั้นได้ยิน คงจะเอาไปพูดกันอีกแน่”
เหอเจิงรู้สึกโกรธ และรู้สึกว่าตัวเองโง่มาก ที่ตอนแรกคิดว่าจี้ผิงโจวจะเป็นคนที่ว่าง่ายและหลอกง่าย แต่ที่ไหนได้ เธออยู่กับเขามาสามปี เขาไม่ใช่แบบนั้นเลย
ตอนนี้เหอหยุนซิ่งก็ตกมาซวยด้วย
จี้ผิงโจวไม่ได้สนใจที่เหอเจิงโกรธ แต่หันกลับไปพูดกับเหอหยุนซิ่งว่า “คุณอาครับ ที่ผมพูดเมื่อกี้ก็ไม่ถูก อย่าโกรธเลยนะครับ”
“ไม่หรอก”
ถ้าตั้งใจฟังจะรู้ว่าประโยคนี้เหอหยุนซิ่งฝืนตอบ
เพราะเขาเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมาพูดเรื่องในครอบครัวมากที่สุด
ทั้งตระกูลจี้และตระกูลฟางต่างก็รู้ดีว่า เหอเจิงเป็นลูกนอกสมรส และก็รู้ดีว่าอาคนนี้นี่แหละที่เป็นคนเอ็นดูและสงสารเธอจนเก็บเธอมา
และเพราะเขาเป็นคนรู้จักวิธีเอาใจคน และเข้าหาคนอื่น ทำให้คนอื่นรักและชอบ จี้ผิงโจวจึงเอ่ยเรื่องมาเพื่อจิกกัดเขา
เมื่องานจบลง จี้ผิงโจวก็ได้กล่าวลากับบรรดาญาติๆ รออยุ่ครู่ใหญ่ก็เห็นเหอเจิงที่ทำสีหน้าท่าทางไม่พอใจโดนป้าหมิงดันออกมา
ป้าหมิงกระซิบเธอว่า “ถึงจะทะเลาะกัน แต่ก็ต้องมีมารยาท ไปส่งเขานะคะ”
จี้ผิงโจวเห็นเหอเจิงกรอกตาไปมา
“จะกลับแล้วเหรอ?”
เธอถาม
จี้ผิงโจวพยักหน้า “เธอไม่กลับไปด้วยจริงเหรอ?”
“อย่ามัวแต่ไร้สาระ รีบไปเถอะ”
พูดจบ เหอเจิงก็เดินจ้ำอ้าวไป จี้ผิงโจวรีบเดินตามเธอไป จากนั้นก็ดึงเธอหันมา “ไม่ใช่จะรีบกลับเหรอ? รีบเดินซิ”
“ฉันรีบกลับหรือเธออยากรีบกลับไปย้อนคืนวันกับอาเธอกันแน่”
“คุณอาทำอะไรให้คุณไม่พอใจเหรอ?” เหอเจิงพูดด้วยสีหน้านิ่ง “เรื่องเมื่อกี้ คุณพูดอะไร ทำอะไรไป?”
ถึงเรื่องนี้จะผ่านไปแล้ว
แต่แค่จี้ผิงโจวสะกิดเบาๆ ก็ทำให้โกรธขึ้นมาได้อีก
“ทำไม? ฉันพูดอะไรงั้นเหรอ? เขาคือใคร ควรค่าที่ฉันจะพูดถึงหรือสนใจขนาดนั้นเหรอ?”
“ใช่ ตระกูลคุณยิ่งใหญ่และร่ำรวย ตระกูลฉันมันแค่ตระกูลเล็กๆ คงไม่ได้ไปอยู่ในสายตาของพวกคุณอยู่แล้ว” เหอเจิงกล่าวอย่างไม่พอใจ “คุณกลับเองแล้วกัน ฉันไม่ไปส่งนะ!”
“กลับมา!”
เหอเจิงถูกดึงอย่างแรง จนเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของจี้ผิงโจว
จากนั้นเขาก็กดหัวของเธอลงและพูดลอดไรฟันว่า “กลับมาได้แค่วันเดียวก็กล้าหาเรื่องทะเลาะกับฉันแล้ว งั้นแต่ก่อนที่ทำๆมาก็เสแสร้งงั้นเหรอ?”
“ปล่อย!”
เหอเจิงรู้สึกเหมือนผมโดนดึงขาดไปหลายเส้น เธอเจ็บจนต้องเอามือลูบหัว “แต่ก่อนที่ฉันเชื่อฟังคุณเป็นเพราะฉันชอบคุณ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว มันไม่มีความรู้สึกอะไรอีก แล้วทำไมฉันต้องรักษาหน้าคุณต่อไปด้วย?”
“ไม่มีความรู้สึกแล้วงั้นเหรอ?”
“ใช่ ไม่มี!”
ทันใดนั้นจี้ผิงโจวก็รู้สึกเหมือนอยู่กลางภูเขาที่หนาวเหน็บ
จี้ผิงโจวรู้สึกคอแห้งจนพูดอะไรไม่ออก ผู้หญิงตรงหน้า คนที่เขาคิดว่าเธอจะรักเขาเหมือนที่ทุกคนเคยพูด
ไม่ว่าจะเจอเรื่องร้ายเรื่องดี เธอจะอยู่กับเขาเสมอ
แต่แท้จริงแล้ว
เธอทำทุกอย่าง เพื่อผู้ชายคนอื่น
ตอนนั้นเขาก็รู้อยู่แล้ว ว่าเธอเสแสร้งแกล้งทำ “น่าจะไม่เคยมีมาเลยต่างหาก อย่างไรซะเหตุผลที่แท้จริงเรื่องการแต่งงาน เธอน่าจะรู้ดีที่สุด อย่าพูดให้ตัวเองดูเหมือนเป็นคนดีเลย เธอทำเพราะอยากอัพเกรดฐานะของตัวเอง ฉันก็แค่ทำตามที่ครอบครัวต้องการ เธอกับฉันมันก็ไม่ต่างอะไรกันมากนักหรอก
“เพราะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันก็ไม่อยากไปต่อแล้ว”
เหอเจิงตอบกลับโดยไม่ได้สนใจเขาเลย พูดจบเธอก็หันตัวหนีและเตรียมจะเดินไป แต่จี้ผิงโจวก็รีบพูดขึ้นว่า “ในสายตาเธอ ฉันคงน่าขยะแขยงมาก ส่วนพวกนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็คงดีไปหมดซินะ ได้งั้นเธอไปถามอาเธอนะ ว่าวันแต่งงานวันนั้นเขาพูดอะไรกับฉัน?”
เหอเจิงชะงักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อไป
เธอไม่อยากทะเลาะอะไรกับเขาอีกแล้ว
จี้ผิงโจวเองก็รู้สึกละอายใจที่ชวนเธอทะเลาะ เพราะเขาเคยให้สัญญากับเธอหลังจากทะเลาะครั้งใหญ่ตอนนั้นว่า เขาจะไม่ทะเลาะกับเธออีก
แต่พอมาวันนี้ วันที่เห็นเหอหยุนซิ่ง ภาพเก่าๆตอนนั้นมันก็ย้อนมา
จี้ผิงโจวยังจำน้ำเสียงและท่าทางไม่เป็นมิตรของเขาได้ดี เหมือนกับว่าจี้ผิงโจวไปแย่งของเล่นของรักของเขาอย่างไงอย่างงั้น แถมยังพูดกับเขาอีกว่า “โจวโจว นายรู้ไหมว่าชนะตรงไหน?”
และเพราะอาคนนี้เป็นที่เคารพของเหอเจิงมาก ทำให้เขาตอบกลับอย่างมารยาทดีว่า “คุณอาดื่มเยอะไปหรือเปล่าครับ?”
ไม่มี
เพราะในงานแต่งงานเหอหยุนซิ่งไม่ได้ดื่มเหล้าเลยสักแก้ว เขาจ้องไปที่มือของจี้ผิงโจว และบอกว่า “นายค่อยๆกลับไปดูนะ ว่าที่เจิงแต่งงานกับนาย เพราะแค่อยากช่วยคนในใจของเธอเท่านั้นหรือเปล่า”
รักเหรอ?
เขาคิดเยอะเกินไป
ฟางเหอเจิงไม่ได้รักหรือมีความรู้สึกใดๆกับเขาเลยสักนิด
จี้ผิงโจวโมโหมากกับคำพูดของเหอหยุนซิ่ง เขารีบกลับไปหาเหอเจิง จากนั้นเมื่อเหอเจิงเห็นเขากลับมา เธอก็เดินมาจูบเบาๆที่ตาของเขา
เวลานี้ยิ่งทำให้เขานึกถึงคำพูดของเหอหยุนซิ่งที่ว่า “แต่น่าเสียดายที่คนที่เธอชอบโง่ไปนิด ถึงขนาดยอมเสียสละตาให้กับนาย ตอนนี้นายก็เหมือนเป็นตัวแทนของเขาเท่านั้นแหละ”
ตัวแทน คำนี้ทำเอาจี้ผิงโจวโกรธและแค้นมาก
ตั้งแต่นั้นมา เขาจึงพยายามแก้แค้นและเอาคืนกับเหอเจิงมาตลอด แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะทำเกินไปหน่อยแล้ว