เขาได้รับสายตอน 23.00 น
ฟางลู่เป่ยใช้เวลาแค่ 15 นาทีก็ถึง
ชั้น 1 ของตึกเหนือมีคุณหนูสามที่ปากจัดแห่งตระกูลจี้อยู่ กับฟางเหอเจิงที่เป็นคนอ่อนโยนแต่ขี้น้อยใจ รอบๆมีคุณน้าและคนใช้ที่ไม่กล้าส่งเสียง บรรยากาศในห้องที่เคร่งครึมยังไม่จางหายไป
เขาก้าวเข้าไปหนึ่งก้าว
ฟางลู่เป่ยมองเข้าไปเห็นน้องสาวราคาถูกของตนเอง และเห็นจี้เหยียนเซียง เพราะมีแต่ผู้หญิง เขาจึงจำเป็นที่จะต้องทิ้งบุหรี่ “ทุกคนนั่งอยู่นี่ทำไรกัน แล้วโจวโจวล่ะ ”
น้ำเสียงที่ไม่แน่ไม่นอน แค่พูดออกมาก็รู้ว่าเป็นใคร
จี้เหยียนเซียงไม่หันไปมองเขา ชี้ไปที่ที่นั่ง พูดด้วยความเดือดดาล “ถ้าจะถามก็ถามน้องสาวสุดที่รักของนายสิ ว่าทำให้โจวโจวของเราบาดเจ็บแค่ไหน”
คำพูดที่กดดันคนแบบนี้ทำให้ฟางลู่เป่ยก็ไม่กล้าที่จะพูดต่อ ได้แต่ทำตาเย็นๆ ลดเสียงลง ถามเหอเจิง “ฟางเหอเจิง ไหนลองเล่ามาสิ”
เสียงคำรามของผู้ชายมาพร้อมกับความดุร้ายและความชัดเจน
แม้แต่จี้เหยียนเซียงเองก็ตกใจไปด้วย
แต่ฟางเหอเจิงกลับมีสีหน้านิ่งๆ เต็มไปด้วยความเย็นชาไร้เยื่อใย
เอามือปัดผมที่บังหน้าออกไปยังด้านหลัง ท่ามกลางบรรยากาศที่กว้างขวางเธอกลายเป็นผู้หญิงที่นุ่มนวลน่ารักที่สุด เมื่อดูดีๆ ผิวพรรณที่เหมือนไข่มุก แล้วยังมีรอยสองรอยที่ทำให้ผู้คนตกใจ
มันคือรอยแผล
ยิ่งเป็นการเพิ่มความสงสารจากผู้คนให้กับเธอ
ขนตาที่โค้งเล็กน้อย เธอมองไปยังฟางลู่เป่ยผ่านอากาศที่กั้นไว้ เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับจำอะไรไม่ได้ “เขาถูกกัด”
ฟางลู่เป่ยขยายม่านสายตา “เธอกัดหรอ”
จี้เหยียนเซียงไม่มีอารมณ์ร่วมด้วย “ถูกหมากัดต่างหาก”
“คุณหนูจี้ นี่คุณด่าคนแบบนี้หรอ”
“ใครด่าเธอล่ะ เป็นหมากัดจริงๆ”
ฉากที่น่าอับอายและตลกในตอนนั้นเป็นอย่างไรเหอเจิงไม่อยากจะนึกย้อนไปอีกเป็นครั้งที่สอง ฟางลู่เป่ยยังคงเถียงกับจี้เหยียนเซียงไม่หยุด และพาเหอเจิงออกจากสวนซางต่อหน้าต่อตาคนตระกูลจี้
แล้วโยนเธอเข้าไปในรถ การกระทำของเขาไร้เหตุผลสิ้นดี
ตอนมาฟางลู่เป่ยเปลี่ยนรถเป็นรถsuv เพลารถสูงเกินไป ตอนที่เหอเจิงถูกผลักเข้าไปในรถข้อเท้าของเธอชนเข้ากับเพลารถ เธอร้องด้วยความเจ็บออกมาทันที
ฟางลู่เป่ยไม่ได้รู้สึกเจ็บแทนน้องสาวคนนี้เลย
เขาหันหลังกลับไปพูดยังหนักแน่น
“นั่งดีๆแล้วกัน”
เหอเจิงได้รับบาดเจ็บ เธอจับข้อมือและแก้ม เธอในตอนนี้ ไม่มีใครที่จะรู้สึกน้อยใจไปมากกว่าเธอแล้ว
เห็นเธอไม่ปริปาก ใบหน้าที่ยิ้มเล็กน้อยของฟางลู่เป่ยหยิบบุหรี่ออกมา “เธอทั้งที่รู้อยู่ว่าโจวโจวกลัวหมา เธอยังเลี้ยงหมาไว้กัดเขา ดูไม่ออกจริงๆ ฟางเหอเจิงจะมีจิตใจที่ชั่วร้ายขนาดนี้ ”
“พี่บ้าหรือเปล่า”
“อ้าว หรือจะไม่ใช่”
เหอเจิงหันหน้าออกไปทางหน้าต่างรถ ทุกครั้งที่พูดออกมาคำนึงก็เหมือนจะรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย “เขาเป็นคนรังเกียจหมาเอง จะโทษฉันได้ยังไง”
“ฮ่าๆ” ฟางลู่เป่ยเห็นเป็นเรื่องตลก หันหน้าไปสูบบุหรี่ครั้งหนึ่ง ปรากฏรอยยิ้มใต้ควันบุหรี่ที่ดูสลัวสลัว “เคยเห็นว่าเขามีฐานะมีทรัพย์สิน และรูปร่างหน้าตาดี ตอนที่รีบเร่งอยากจะแต่งงานกับเขาทำไมไม่เห็นพูดเลยว่าเขาไม่ชอบหมา”
เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
เหอเจิงไม่อยากจะพูดถึงมันอีก
“ได้ยินมาว่าเธอจะหย่ากับเขาหรอ”
“ใช่”
“ฉันว่าเธออย่าทำตัวเป็นปัญหาเลย ทำให้คนตระกุลจี้โกรธ โจวโจวไม่เอาเธอก็แค่พูดคำเดียวก็จบ เขาไม่มีความรู้สึกต่อเธอ เหตุผลที่เขาแต่งงานกับเธอ จะพูดออกมาก็ไม่ได้สวยหรูเท่าไหร่ เขาไม่มาง้อเธอหรอก เธอก็ไม่ต้องให้คุณค่ากับตัวเองมากเกินไป”
ควันบุหรี่ที่ทำร้ายจมูกและสุขภาพลอยฟุ้งไปทั้งคันรถ
แต่เบื้องหน้าของเหอเจิงกลับเต็มไปด้วยความสดใส เธอเช็ดปากทีหนึ่ง เธอไม่รู้สึกเจ็บใจสักนิด แต่กลับรู้สึกไม่จำเป็นต้องทน “เพราะอย่างนี้ไง ฉันถึงจะให้เขาเป็นอิสระ”
ระยะสายตาของกระจกรถsuvมีจำกัด บวกกับควันบุหรี่ที่กระจายไปทั้งซ้ายและขวา
ฟางลู่เป่ยเห็นใบหน้าของเหอเจิงได้แค่ครึ่งหน้า รอยบวมสีชมพูบนแก้มของเธอเหมือนกับจะจางลงแล้ว ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความงดงาม เธอยังคงยิ้ม ยิ้มอย่างโล่งอกโล่งใจ
ฟางลู่เป่ยดับบุหรี่ แล้วเตือนเธอยังไม่เต็มใจ “ ตามใจเธอ หย่ากันแล้วก็จะไม่มีคนวิ่งร้องไห้กลับมา ทำให้พรุ่งนี้ ฉันยังต้องไปขอโทษโจวโจว และอะไรอีกหลาย ”
ได้ยินปากของเขาพูดออกมาแบบนี้
เหอเจิงเหมือนจะไม่รู้สึกสำนึกอะไรยิ้มอย่างมีความสุข “รบกวนพี่แล้วล่ะ พี่ชาย”