ดังนั้นเขากับฟางลู่เป่ยที่ยังโสดอยู่เหมือนจะไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกัน
เขาพูดด้วยเสียงอึกอักในลำคอว่า “ฟางเหอเจิงนายยังไม่รู้จักเธอดีหรอ ทั่วเมืองเหยียนจิง จะหาผู้หญิงที่มีนิสัยดีอย่างเธอได้หรอ นี่เป็นความโชคดีของนาย”
“โชคดี” สองคำนี้ออกมาจากปากของเขาถือว่าเป็นเรื่องที่ยากจริง
และดูเหมือนจะไม่เป็นความจริง
จี้ผิงโจวอ่อนล้าไปทั้งกายและใจ “ความโชคดีนี้ฉันรับไม่ไหวหรอก”
“อย่างนี้หมายความว่าอะไร”
ภายในห้องที่ครึกครื่น ที่นี่กลับซ่อนไว้ใต้เงามืด เขาหันหน้ากลับไป ด้วยสีหน้าที่จริงจัง กัดฟันพูดว่า “น้องสาวนายบอกว่าจะหย่ากับฉัน”
ผ่านไปครู่หนึ่ง
ฟางลู่เป่ยดื่มเหล้าเข้าไปยังลำคอภายในครั้งเดียว ทั้งแสบทั้งขม แก้วเหล้าที่ว่างเปล่าภายในเหลือไว้ไม่กี่หยด เขารีบเช็ดกางเกงที่ถูกเหล้าหกใส่ “หย่าหรอ”
เสียงของเขาดังมาก
ผู้คนที่อยู่รอบๆก็หันหน้ามาหมด
“นายจะพูดเสียงดังทำไม”
เมื่อถูกจี้ผิงโจวเตือนแบบนี้เขาถึงลดระดับเสียงลง แล้วนั่งลง เหมือนกับไก่ที่กลัวหมาจนเอาหัวมุดใต้ปีก “ฉันฟังไม่ผิดใช่ไหม หย่ากันหรอ นายจะหย่ากับเธอ หรือเธอจะหย่ากับนายกันแน่”
“เธออยากหย่ากับฉัน”
“ไอ้เด็กบ้านี่กินยาอะไรผิดมาหรือเปล่า”
เมื่อได้ยินฟางลู่เป่ยด่าว่าเหอเจิงเป็นเรื่องปกติในครอบครัวนี้ จี้ผิงโจวเองก็ไม่ได้โกรธอะไร “เรื่องน่าตกใจนี้ ตอนที่เธออยู่ที่บ้านตระกูลฟางไม่ได้บอกให้นายหรือ”
เหล้าคำที่ 2 ของฟางลู่เป่ยนี้รู้สึกเจ็บแรงไปหน่อยจนต้องคายออกมา “ใครบอกว่ายัยเด็กบ้าอยู่ที่บ้านตระกูลฟาง แม้แต่เงาของเธอฉันยังไม่เห็นเลย”
ตอนนี้ถึงตาจี้ผิงโจวแปลกใจแล้ว
“ไม่อยู่”
“ไม่”
เมืองเหยียนจิงใหญ่แค่นี้
นอกจากบ้านตระกูลฟางแล้วก็ไม่มีที่ที่เธอจะไปได้อีกแล้ว
จี้ผิงโจวคิดจนหัวแทบแตก ก็คิดไม่ออกว่าเธอไปไหนกันแน่
“หรือคุณฟางจะไปอยู่ที่สวนเหอเฟิงนะ”
สวนเหอเฟิง
3 ตัวอักษรที่เขาไม่ได้คุ้นเคยเลย
จี้ผิงโจวมองออกไปยังท้องฟ้านอกหน้าต่าง ทำไมคิดถึงสถานที่นี้ไม่ออกเลยนี้ เป๋ยเจี่ยนสังเกตเห็นถึงการคิดไม่ออกของเขา เลยพูดออกไปว่า “คุณลืมไปแล้วเหรอว่า สวนเหอเฟิงที่ถนนเหอผิง เป็นสิ่งที่คุณได้มอบเป็นบ้านให้เธอ ก่อนที่คุณกับคุณฟางจะแต่งงาน”
ความจำของจี้ผิงโจวก็ไม่ดีด้วย
“ไปสวนเหอเฟิงกัน”
ถนนเหอผิงที่เงียบสงัด มองไปไม่เห็นปลายทาง
เมื่อถึงเวลากลางคืนแสงไฟที่ริบหรี่กับดวงดาวอันน้อยนิด บนทางเดินมีเพียงแค่ฟางเหอเจิงคนเดียว กลางฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเหน็บ กับค่ำคืนที่หนาวเข้ากระดูกดำ บนตัวของเธอมีเพียงเสื้อไหมพรมตัวนึงที่ทั้งเก่าและไร้ยี่ห้อ
เมื่อมองจากไกลๆ เป็นอะไรที่โดดเดี่ยวมาก
ข้างหลังเธอมีหมาตัวเล็กๆตัวนึง ดูแล้วน่าจะเป็นหมาจรจัด กำลังสะบัดหางอย่างน่าสงสารเพื่อขออะไรจากฟางเหอเจิงกิน เธอก็ไม่รู้จะทำไง จึงหยิบของที่เธอซื้อไว้จากกระเป๋าแล้วส่งให้หมาตัวน้อย
คุยกับหมาเหมือนกับว่ากำลังพูดกับตัวเอง “กินเถิด กินมื้อนี้แล้วยังไม่รู้เลยว่ามื้อต่อไปจะอยู่ที่ไหน”
หมาตัวน้อยเข้ามาด้วยหน้าหงอย และกินไส้กรอกบนมือของฟางเหอเจิงอย่างเอร็ดอร่อย เธอก้มลงพูดออกมาด้วยความเห็นใจ “น่าสงสารจริงๆ”
ใต้ร่มเงาต้นไม้ปรากฏเงาใหญ่หนึ่งเงา เงาเล็กอีกหนึ่งเงา
จากนั้นไม่นาน
ด้านหลังของฟางเหอเจิงก็มีเงาร่างผู้ชายเพิ่มขึ้นมาอีกเงาหนึ่ง
ปลายของเงาทอดมาอยู่บนหัวเธอ แต่เธอก็ไม่ได้สังเกตเห็น ยังคงลูบหัวของหมาตัวน้อยอย่างใจเย็น “กินื่าืางดูอร่อย คงติดใจละสิ อันนี้ราคาไม่ได้ถูกๆนะ”
เพิ่งพูดจบ
หมาตัวน้อยก็คายไส้กรอกที่เพิ่งจะกินไปได้ครึ่งนึงออกมา เนื้อที่ถูกเคี้ยวแล้วเหมือนเนื้อสีชมพูกองนึง ฟางเหอเจิงเองก็ตกใจ รู้สึกโมโหเล็กน้อย “ไอ้หมานี่ ไม่รู้จักของดีซะแล้ว ไส้กรอกที่ดีอย่างนี้ฉันยังไม่ยอมกินเลย”
เป็นอะไรที่น่าโมโหมาก
เธอกัดลิ้นกัดฟันและชี้ไปยังหัวของหมาตัวน้อย “ดูนายได้ใจอย่างนี้ ชู่ ชู่ ชู่ ยิ่งดูยิ่งเหมือนกับจี้ผิงโจว”
เมื่อได้ยินชื่อของตัวเองแบบนี้ ใบหน้าของจี้ผิงโจวรู้สึกจะไม่ได้ดีเท่าไหร่ แต่เขาก็อดทนไว้ คำพูดแรกที่พูดออกมายังคงมีความอ่อนหวาน“เหอเจิง”
เสียงอันอ่อนหวานกลมกลืนกับสายลมยามค่ำ
เหอเจิงคิดว่าหูแว่วไปเอง เธอมองไปทางน้องหมาด้วยความแปลกใจ มองไปซ้ายทีขวาที แล้วหันไปหาน้องหมาถามด้วยความแปลกใจว่า “นายกำลังพูดกับฉันหรอ”
หน้าของจี้ผิงโจวหน้าดำคล้ำขึ้นมาทันที เสียงพูดเปลี่ยนไปเป็นเสียงอันเย็นชา “ฟางเหอเจิง นี่เธอเป็นโรคเอ๋อหรือไง”