ในขณะเดียวกัน
ซูจือหยูแบกกระเป๋านักเรียนใบหนา กลับมายังคฤหาสน์ตระกูลตู้จากข้างนอกเพียงลำพัง
เมื่อครู่เธอได้เจรจาเงื่อนไขทั้งหมดกับซูอานสุ้น พ่อบ้านที่คุณปู่ซูเฉิงเฟิงส่งมา และเสร็จสิ้นขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงหุ้นของหยวนหยางขนส่งกรุ๊ปของตระกูลซูทั้งหมด
ตอนนี้กิจการเดินเรือขนส่งของตระกูลซูที่เกิดปัญหาใหญ่ได้เป็นของเธอแล้ว
เมื่อกลับมาถึงบ้าน
ไม่มีใครรู้ว่าเธอไปไหน ทุกคนจึงพากันเข้ามาถาม
ซูจือหยูเพียงแค่บ่ายเบี่ยงบอกว่าออกไปทำธุระ เพื่อเอาหน้ารอดไปก่อน
มีเพียงพี่ชายของเธอ ซูจือเฟย ที่รู้สึกไม่ชอบมาพากล
เขารู้สึกอย่างคลุมเครือว่า ซูจือหยูผู้เป็นน้องสาวน่าจะร่วมมือกับคุณปู่ทำอะไรบางอย่าง
ดังนั้น เขาจึงเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง แล้วโทรศัพท์หาซูเฉิงเฟิง
ทันทีที่โทรศัพท์ต่อติด เขาก็ทนรอไม่ไหวถามไปว่า “คุณปู่ ท่านกับจือหยูเจรจากันสำเร็จแล้วเหรอ?”
ซูเฉิงเฟิงย้อนถาม “ทำไมเหรอ? จือหยูไม่ได้บอกนายเหรอ?”
ซูจือเฟยใจเต้นตุ้บๆ รีบบอกว่า “เปล่าครับ ผมเองก็ไม่ได้ถามเธอ เธอเพิ่งกลับมาจากข้างนอก”
“ใช่” ซูเฉิงเฟิงพูดเบาๆ “จือหยูมาเจรจาเงื่อนไขกับฉัน หยวนหยางขนส่งกรุ๊ปของตระกูลซูที่กำลังระเนระนาด ตอนนี้มาเป็นของเธอแล้ว”
ซูจือเฟยรู้สึกหน้ามืดหัวหมุน
กิจการมูลค่าหลายร้อยพันล้าน คุณท่านนึกจะให้ก็ให้งั้นเหรอ?!
เอ่อ…มันอยู่นอกเหนือจากที่จินตนาการเอาไว้หรือเปล่า?!
เพียงชั่วพริบตา เขาก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลอย่างมาก
เขาคิดกับตัวเองว่า “จือหยูไม่เคยบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด เธอเห็นฉันเป็นคนนอกหรืออย่างไร?”
“อีกอย่าง! คุณปู่จะตัดใจแบบนี้ได้อย่างไร?! ยกกิจการขนาดใหญ่ของตระกูลซูให้กับเธอทั้งหมด กล้าได้กล้าเสียเกินไปหรือเปล่า?!”
“กิจการเดินเรือขนส่ง มีสัดส่วนประมาณ 20-25% ของตระกูลซู นั่นก็หมายความว่า ตระกูลซูที่ยกให้ฉันสืบทอด เพียงชั่วพริบตาก็ถูกคนอื่นคาบไปกิน!”
ในใจซูจือเฟยค่อยๆ เริ่มเสียสมดุลและไม่พอใจ
เขาอยากจะคาดคั้นถามคุณปู่ว่า ทำไมถึงยกกิจการใหญ่เช่นนี้ให้กับซูจือหยูทั้งหมด
แต่เขาก็ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ
เพราะเขารู้ว่า ถ้าตนเองถามไป ก็จะมีแต่เสียกับเสียทันที
ไม่เพียงแต่ทำให้คุณปู่รู้ว่าเขาไม่พอใจในตัวน้องสาวแท้ๆ มาก แต่ยังทำให้คุณปู่สังเกตเห็นถึงจิตใจที่ถูกครอบงำด้วยความโลภ
ดังนั้นเขาจะต้องข่มความโกรธเอาไว้ในใจ แล้วพูดเสียงเศร้า “เฮ้อ…จือหยูไร้เดียงสาเกินไป…คุณปู่อย่าโกรธเลย ผมจะเกลี้ยกล่อมให้เธอกลับมาทำธุรกิจนี้ให้สำเร็จโดยเร็ว !”
คำพูดนี้ของซูจือเฟยทำให้ซูเฉิงเฟิงที่เพิ่งเชือดเฉือนไปรู้สึกพอใจอย่างยิ่ง
เขาอดทอดถอนใจไม่ได้ “จือเฟย นายต่างหากที่รู้จักคิด…”
ในหัวใจของซูจือเฟยกำลังกระอักเลือด แต่ถ้าเขาฟังคุณปู่ต้องรู้สึกยิ่งเบื่อหน่าย ดังนั้นจึงพูดว่า “คุณปู่ครับ ความจริงการยังไม่มอบให้จือหยูก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป กิจการของเราตอนนี้ถูกปราบปรามอยู่ไม่ใช่เหรอ? หากยังไม่ได้อยู่ในมือของจือหยู ก็อาจเกิดการพลิกโฉมใหม่ หากเธอพลิกฟื้นได้อย่างง่ายดายจริง ผมค่อยคิดหาวิธีช่วยให้ท่านสามารถเอาธุรกิจนี้กลับคืนสู่ตระกูลซู ถ้าเป็นเช่นนี้ ทางตระกูลซูของเราไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับความสูญเสียใดๆ ตรงกันข้ามกลับสามารถนั่งรอรับโบนัสแทน”
ซูเฉิงเฟิงกล่าวด้วยความโล่งอก “ฉันดีใจที่นายมีความคิดแบบนี้ แล้วน้องสาวของนาย เธอจะสามารถพลิกฟื้นกิจการนี้ได้หรือไม่…”
เมื่อซูเฉิงเฟิงพูดมาถึงตรงนี้ ก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมา “พูดตามตรง ตอนนี้ฉันก็ตั้งตารอเหมือนกัน!”