คนส่วนใหญ่ในงานไม่มีใครรู้ว่าศาสตราจารย์เฉินที่ว่าหมายถึงเฉินซูหลาน
ทั้งสองคนแลดูสง่างาม รถที่ขับไม่เหมือนรถทั่วไป โดยเฉพาะป้ายทะเบียนที่น่าตะลึงยิ่งกว่าสิ่งใด
ฉินหร่านมองเว่ยจื่อหังกับพานหมิงเย่ว์เข้าไปแล้ว ถึงได้หันกลับมาจ้องคนแปลกหน้าสองคนนี้ด้วยใบหน้าเฉยชา “มาหาคุณยายของฉันเหรอคะ”
“หากว่าเธอเป็นหลานสาวของศาสตราจารย์เฉินซูหลาน งั้นพวกเราก็มาถูกแล้ว” ชายชรากวาดสายตามองรอบข้าง คนที่ตอบคำถามฉินหร่านยังคงเป็นชายวัยกลางคนคนเดิม
ในตอนนี้พวกหนิงฉิงที่อยู่ข้างหลังเข้าใจแล้วว่า ‘ศาสตราจารย์’ ที่ชายลักษณะไม่ธรรมดาสองคนนี้เรียกคือเฉินซูหลาน ผู้เฒ่าหลินเบิกตากว้าง เขาหันมองหลินฉีที่อยู่ข้างๆ กระซิบถามว่า “เฉินซูหลานเป็นศาสตราจารย์หรอ?”
หลินฉีก็ทำตาโตครู่หนึ่ง เขามองสองคนที่มาจากเมืองหลวงแล้วส่ายหน้า “ผมเคยตรวจสอบข้อมูลแล้ว ในนั้นไม่มีระบุว่ายายของอวี่เอ๋อร์เป็นศาสตราจารย์”
ตอนที่เขาเลือกแม่เลี้ยงให้หลินจิ่นเซวียน อันที่จริงเงื่อนไขเหมาะสมเป็นอย่างมาก ประการที่หนึ่งคือระบุชัดว่าห้ามคลอดลูกอีก ประการที่สองคือภูมิหลังครอบครัวสะอาด ไม่เป็นภัยคุกคามต่อหลินจิ่นเซวียน
ฉะนั้นเขาจึงตรวจสอบข้อมูลของหนิงฉิงมากกว่าหนึ่งครั้ง ภูมิหลังสะอาดเป็นที่สุด
หนิงฉิงค่อนข้างเห็นแก่เงิน หลินฉีก็มองออกเช่นกัน แต่คนแบบนี้นี่แหละ ถึงจะเข้าใจว่าหากต้องการมีจุดยืนในสกุลหลิน ก็ต้องกอดขาหลินจิ่นเซวียนให้แน่น
จุดนี้การกระทำของหนิงฉิงกับฉินอวี่อยู่ในการคาดเดาของหลินฉี
หากว่าตอนนั้นตรวจสอบเจอว่าเฉินซูหลานเป็นศาสตราจารย์ เขาอาจจะไม่แต่งงานกับหนิงฉิงก็เป็นได้
เมื่อนึกถึงตรงนี้เขาก็มองหนิงฉิง แต่กลับพบว่าบนใบหน้าของหนิงฉิงและมู่หยิงมีแต่ความตกใจที่ปิดไม่มิด
“คุณก็ไม่รู้เรื่องแม่ของคุณงั้นเหรอ” หลินฉีก้มมองหนิงฉิง
หนิงฉิงส่ายหน้า สับสนวุ่นวายใจยิ่งนัก เธอมักใหญ่ใฝ่สูง ทั้งมัธยมต้นและมัธยมปลายไม่ได้เรียนที่เขตหนิงไห่เลย สิ่งที่รู้เกี่ยวกับเฉินซูหลานและพ่อของเธอหยุดอยู่ที่พวกเขาทำงานในโรงงาน ออกแต่เช้ากลับค่ำมืด
อย่าว่าแต่หนิงฉิงเลย แม้แต่มู่หนานเองก็ตกใจมากเช่นกัน
เขาเผลอมองฉินหร่านโดยไม่รู้ตัว
ฉินหร่านมองทั้งคู่ ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นเบนสายตา ใบหน้าแลดูชั่วร้าย “ยายของฉันคือเฉินซูหลานค่ะ”
ในที่สุดชายชราที่เอาแต่สอดส่ายสายตาไปมาก็หยุดสายตาและหรี่ตามองฉินหร่าน เขาสวมชุดสูทจีน สุขุมเคร่งขรึม ใบหน้าฉายความน่าเกรงขาม “งั้นเราก็มาถูกที่แล้ว”
“ไม่ทราบว่า ทั้งสองท่านคือ…” หนิงฉิงได้สติ เธอสะกดกลั้นความตกใจ มองไปที่สองคนนั้น
ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกฉินหร่านขัดจังหวะ
“มาจากเมืองหลวงงั้นเหรอ” ฉินหร่านยกมือขึ้นจัดดอกไม้สีขาวเบี้ยวๆ ตรงหน้าอกให้ตรง พลางจ้องทั้งสองคน สีหน้าไม่ยี่หระ
“อืม เราเป็น…” ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หลังชายชรากำลังจะอ้าปาก
ฉินหร่านพูดขึ้นอีกครั้ง เธอพยักหน้า จากนั้นเบี่ยงตัว ยืนขวางอยู่กลางทางเข้า น้ำเสียงไม่ไยดี “งั้นต้องขออภัย ขอเชิญทั้งสองท่านกลับไป คุณยายบอกไว้ว่าไม่พบคนจากเมืองหลวง”
สีหน้าของทั้งคู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“หรานหร่าน ทำไมทำกับแขกแบบนี้!” หนิงฉิงมองฉินหร่านแวบหนึ่ง จากนั้นหันกลับมา มองทั้งสองคนด้วยสายตารู้สึกผิด “ต้องขอโทษด้วยค่ะ ลูกสาวฉันไม่รู้เรื่อง”
ขณะที่พูด เธอก็เตรียมจะเชิญทั้งคู่เข้าไปด้านใน
ฉินหร่านนิ่งไม่ไหวติง ไม่หลีกทาง เธอช้อนตาขึ้น แสดงสีหน้าที่หนิงฉิงไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกถ้อยคำเย็นเยือกจับขั้วหัวใจ “หากคุณอยากให้งานศพของคุณยายจบลงด้วยดี ก็อย่าขยับ”
“เฉิงมู่” เมื่อพูดจบ ฉินหร่านก็ไม่แม้แต่จะมองพวกเขา ตะโกนเรียกทันที
เฉิงมู่กับคนของเจียงหุยคอยเฝ้าอยู่ไม่ไกล
เมื่อได้ยินเสียงของฉินหร่าน เขาก็พาการ์ดสามคนเดินมา ใบหน้าคมสันไร้อารมณ์เหลือบมองทั้งสามคนอย่างเย็นชา
ทั้งสามคนยืนเรียงหน้ากระดาน ขวางทางเข้าออก
เจียงหุยไม่ได้เตรียมการ์ดให้เจียงตงเย่และเฉิงเจวี้ยนแบบขอไปที คนที่ส่งมาล้วนเป็นมือฉกาจที่ผ่านการฝึกพิเศษมาแล้วทั้งนั้น
แม้เฉิงมู่จะซื่อตรงโง่เง่าเต่าตุ่น แต่ในฐานะหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มจิน-มู่-สุ่ย-หั่ว-ทู่แล้ว ฝีมือของเขาแม้แต่ทหารหน่วยรบพิเศษก็เทียบไม่ได้
ความน่าสะพรึงของทั้งสี่คนทำให้หนิงฉิงถอยหลัง
สีหน้าของสองคนที่มาจากเมืองหลวงแปรเปลี่ยน ชายวัยกลางคนจ้องฉินหร่านเขม็ง “ลูกสาวของคุณรู้ไหมว่าท่านนี้คือใคร”
เขาหมายถึงชายชราที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา
ใครๆ ก็มองออกว่าสองคนนี้ โดยเฉพาะชายชราคนนั้นไม่ธรรมดา ใบหน้าของหนิงฉิงขึงขัง “หรานหร่าน!”
ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงนุ่มนวลดังขึ้นข้างหลัง “ผู้อำนวยการฟาง ไม่พบกันนานเลยนะ”
สายตาของทุกคนเผลอมองไปตามต้นเสียงโดยไม่รู้ตัว
หิมะตกติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน วันนี้หิมะยังคงโปรยปราย
เขาสวมเสื้อโค้ตตัวยาวสีดำคลุมเข่า ไม่ติดกระดุม ด้านในเป็นเชิ้ตสีดำ บนลำคอมีผ้าพันคอสีเทาพันอยู่หลวมๆ
มือถือร่มสีดำ สาวเท้าก้าวฉับๆ แต่กลับให้ความรู้สึกไม่สะทกสะท้านที่แลดูสบายๆ เช่นทุกวัน เมื่อเข้ามาใกล้ ทำให้มองเห็นใบหน้าที่ดูดีเป็นอย่างมาก เมื่ออยู่ภายใต้หิมะขาวโพลนก็ยิ่งดูงดงาม
ผู้มาเยือนคือเฉิงเจวี้ยน
ใบหน้าของเขา อย่าว่าแต่เมืองอวิ๋นเฉิงเลย ต่อให้เป็นเมืองหลวงคนที่รู้จักก็มีไม่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมืองอวิ๋นเฉิง
แต่ทว่า ผู้อำนวยการฟางที่สวมชุดสูทจีน ยืนมือไพล่หลังอย่างนิ่งเฉยตั้งแต่ก้าวลงจากรถ ยามเห็นใบหน้าของเฉิงเจวี้ยน สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป
“คุณชายเฉิง สกุลเฉิงก็จะเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วยเหรอ” เขาเม้มปาก เสียงแหบพร่าเล็กน้อย ชวนให้รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
เฉิงเจวี้ยนยื่นร่มให้ฉินหร่าน เมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็เบนสายตา แววตาที่มองผู้อำนวยการฟางทั้งนิ่งและเย็นชา น้ำเสียงฟังดูไม่แยแส “หากวันนี้คุณเข้าไป ผมยุ่งแน่”
ผู้อำนวยการฟางจ้องเฉิงเจวี้ยน
เฉิงเจวี้ยนไม่ยอมถอย เขากระชับผ้าพันคอบนลำคอ ใบหน้าท่ามกลางสายลมหิมะโดดเด่นเหลือเกิน
สามนาทีต่อมา ผู้อำนวยการฟางก็ไม่พูดไม่จา หันหลังจากไปพร้อมกับชายวัยกลางคน
…
สองคนนี้โผล่มากะทันหัน จากไปกะทันหันด้วยเช่นกัน
เพียงครู่เดียวรถก็แล่นออกจากที่นี่
เฉิงเจวี้ยนมองเฉิงมู่ เฉิงมู่พยักหน้า เป็นเชิงบอกว่าจดเลขทะเบียน สั่งให้คนไปตรวจสอบแล้ว
“มากันครบหรือยัง” เฉิงเจวี้ยนก้มหน้ามองฉินหร่าน
ฉินหร่านเก็บร่ม พยักหน้า หลุบตาลง ไม่พูดอะไร
เฉิงเจวี้ยนดึงร่มมา ยื่นให้เฉิงมู่ จากนั้นจับมือฉินหร่านเดินเข้าไปข้างใน กำชับเฉิงมู่เสียงเรียบว่า “นายยืนรอคนอื่นๆ ที่นี่”
เมื่อเดินผ่านมู่หนาน เฉิงเจวี้ยนก็หยุดลง ทำท่าทางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นายอยู่กับเฉิงมู่”
ทั้งคู่สนทนากันจนถึงตอนนี้ ราวกับมองไม่เห็นพวกหนิงฉิง
ตลอดสองวันนี้เกิดเรื่องราวมากมาย
ตั้งแต่การปรากฏตัวของเฟิงโหลวเฉิงในคืนที่เฉินซูหลานเสียชีวิต สกุลหลินและพวกหนิงฉิงก็เริ่มตามสถานการณ์ไม่ทันแล้ว
จนถึงวันนี้ที่เฟิงโหลวเฉิง เจียงหุย อาจารย์เว่ย อาจารย์ใหญ่สวีปรากฏตัว… คนเหล่านี้อย่าว่าแต่มาพร้อมกันเลย แค่หนึ่งคนในนั้น นอกจากหลินจิ่นเซวียนแล้ว ชาตินี้คนอื่นในสกุลหลินก็ไม่มีทางเอื้อมถึง
แต่กลับได้เจอพร้อมหน้าพร้อมตาในพิธีฌาปนกิจของเฉินซูหลาน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉิงมู่ เฉิงเจวี้ยนและเหล่าสมุนของเจียงหุย ทุกอย่างล้วนแต่ดูไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
ละลานตาไปหมด แม้แต่หลินฉีก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน
เขามีคำถามเต็มไปหมด เฉินซูหลานเป็นศาสตราจารย์งั้นเหรอ ทำไมถึงไม่มีข้อมูลอะไรเลย พวกเขารู้จักพวกเฟิงโหลวเฉิงได้อย่างไร ซ้ำยังดูสนิทสนมกันมาก
ผู้อำนวยการฟางที่เฉิงเจวี้ยนพูดชื่อเมื่อครู่ล่ะเป็นใคร
ทุกคนต่างก็เงียบงัน
ผู้เฒ่าหลินมองหนิงฉิง ไม่ถามคำถามไร้สาระเช่นเธอรู้หรือเปล่า เพียงแต่ถามว่า “เธอเคยได้ยินสกุลฟางหรือสกุลเฉิงในเมืองหลวงบ้างหรือเปล่า”
เขาได้ยินผู้อำนวยการฟางคนนั้นเรียกเฉิงเจวี้ยนว่าคุณชายเฉิง
หนิงฉิงละสายตา ไม่รู้จะวางมือตรงไหนดี เธอส่ายหน้า
สกุลเสิ่นที่หลินหว่านเป็นสะใภ้ ก็เป็นเพียงตระกูลธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แม้แต่พิธีไหว้ครูของฉินอวี่ ก็นับว่าสูงเกินไปสำหรับสกุลเสิ่น
หนิงฉิงเคยพบเจอตระกูลสูงส่งที่แท้จริงกี่ตระกูลกัน ต่อให้เคยพบเคยเห็น ไต้หรานก็ไม่แนะนำให้พวกเธอรู้จัก
“ไม่เคยค่ะ” หนิงฉิงส่ายหน้า
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้เฒ่าหลินก็ไม่พูดอะไร หนิงฉิงไม่เคยได้ยินก็มีความเป็นไปได้สองประการ
อันดับแรก สองตระกูลนี้ธรรมดาอย่างมาก ไม่เคยได้ยิน เป็นเรื่องปกติ
อันดับสอง สองตระกูลนี้เป็นตระกูลที่สกุลเสิ่นไม่มีทางเอื้อมถึง หนิงฉิงไม่เคยได้ยิน เป็นเรื่องที่ปกติยิ่งแล้ว…
หากเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน ผู้เฒ่าหลินคงคิดว่าเป็นข้อแรกอย่างไม่ลังเล
ทว่าตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในโรงแรมอวิ๋นติ่ง…แม้ผู้เฒ่าหลินจะไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องจำใจยอมรับ เรื่องนี้เกรงว่าจะเป็นอย่างหลัง
สิ่งที่เขาคิด หลินฉีก็คิดเช่นกัน
ทั้งคู่ไม่พูดอะไร โดยเฉพาะผู้เฒ่าหลิน สายตามองไปยังมู่หนาน มองไม่ออกว่าในแววตานั้นคืออะไร
“คุณพ่อ รู้เหรอว่าคนพวกนั้นเป็นใคร” หนิงฉิงเห็นอากัปกิริยาของผู้เฒ่าหลินกับหลินฉีไม่ปกติ จึงหันมาถามทั้งคู่อย่างอดไม่ได้
มู่หยิงที่เอาแต่ก้มหน้าไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ก็เงยหน้าขึ้นมองทั้งคู่เช่นกัน
“ไม่มีอะไร” ผู้เฒ่าหลินถอนหายใจ ราวกับแก่ลงทันตา ตอนนั้นเขาวางหมากทั้งหมดไว้ที่ฉินอวี่แล้ว
ตอนนี้…
ผู้เฒ่าหลินหันหลังเดินเข้าไปข้างใน เขาจำต้องยอมรับว่า สายตาที่แทบจะไม่เคยมองอะไรผิดพลาดเลยของเขา ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะผิดพลาดไปแล้วจริงๆ…
…
คฤหาสน์ใจกลางเมืองอวิ๋นเฉิง
ลู่จ้าวอิ่งลงจากรถ แต่ยังไม่เข้าไป เพียงแค่พยักพเยิดให้พ่อบ้าน เป็นเชิงบอกให้เขาพาคนเข้าไป
พ่อบ้านเฉิงพยักหน้า พาผู้ชายที่สวมชุดสูทมีแว่นตาวางอยู่บนสันจมูกคนหนึ่งเดินเข้าไปด้านใน
หลังทั้งคู่เข้าไปแล้ว ลู่จ้าวอิ่งก็หรี่ตามองเฉิงมู่ “นายบอกว่าผู้อำนวยการฟางเรียกคุณยายของฉินเสี่ยวหร่านว่าศาสตราจารย์งั้นเหรอ”
เรื่องนี้แปลกมาก ทำไมพวกหนิงฉิงถึงไม่รู้อะไรเลยล่ะ
เฉิงมู่พยักหน้า ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ไม่บอกอารมณ์ “คุณชายเจียงรู้จักกับสถาบันวิจัย ผมถามมาแล้ว เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“ลองว่ามาสิ” ลู่จ้าวอิ่งมองเฉิงมู่
เฉิงมู่เหลือบมองในบ้านครู่หนึ่ง จากนั้นลดเสียงลง “มีนักวิจัยประเภทหนึ่ง เป็นนักวิจัยลับระดับสูงของประเทศ เซ็นสัญญาลับตลอดชีวิต ห้ามบอกแม้กระทั่งคนในครอบครัว จำยูเรเนียมที่คุณกู้พูดถึงครั้งก่อนได้ไหม”
เมื่อหมดสัญญาแล้ว หรือไม่ทำงานนี้อีกแล้ว จึงจะบอกครอบครัวได้
ระหว่างนี้ ห้ามเล็ดลอดแม้แต่นิด
ลู่จ้าวอิ่งคาบบุหรี่ คิดว่าสิ่งที่เฉิงมู่พูดดูจะมีเหตุผลอยู่บ้าง
เขาขบคิดชั่วครู่ กลับรู้สึกว่าไม่ใช่ คาบบุหรี่มองเฉิงมู่ “ไม่สิ เรื่องพวกนี้นายเป็นคนคิดเองเหรอ”
สมองอย่างเฉิงมู่จะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร
เขาคิดมาตลอดว่าเฉินซูหลานเป็นคนยายแก่ธรรมดาๆ คนหนึ่ง
จะรู้ได้อย่างไรว่าเธอเป็นนักวิจัยที่เคยเซ็นสัญญา ไม่ใช่แค่คนธรรมดาทั่วไป
เฉิงมู่ “…”
เขามองลู่จ้าวอิ่ง จากนั้นพูดอย่างเหนื่อยใจว่า “…นี่เป็นข้อสันนิษฐานของคุณชายเจียง”
เขาได้ยินตอนที่เจียงตงเย่คุยกับกู้ซีฉือ
ลู่จ้าวอิ่งถึงได้พยักหน้าอย่างมั่นใจ “ว่าแล้วเชียว”
เขายื่นมือออกไปตบไหล่เฉิงมู่ปุๆ “นายเข้าไปเถอะ ช่วงนี้ธุระรอบตัวของท่านเจวี้ยนต้องพึ่งนาย ฉันจะไปหาผู้บัญชาการเฉียนหน่อย”
เรื่องของเฉินซูหลาน จะไม่มีทางจบลงง่ายดายเช่นนี้แน่ ลู่จ้าวอิ่งลูบต่างหูพลางแสยะยิ้ม
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้แตะต้องคดีมานับปีแล้ว ลู่จ้าวอิ่งรู้เกี่ยวกับเฉิงเจวี้ยนไม่มาก แต่ก็พอรู้ว่า ขอเพียงเป็นคดีที่เขาลงมือ ไม่มีคดีใดที่ไขไม่ได้
…
เฉิงเจวี้ยนนั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถง เมื่อเห็นพ่อบ้านพาคนคนหนึ่งเข้ามา เขาก็ขยับมือเล็กน้อย
เมื่อพ่อบ้านเฉิงก้มหน้า ก็เห็นฉินหร่านที่ไม่ได้นอนมาหลายวัน กำลังนอนหนุนตักของเฉิงเจวี้ยนหลับไปเสียแล้ว
เฉิงเจวี้ยนก็ไม่ลุกขึ้น เขายื่นมือดึงผ้าคลุมข้างตัวมาคลุมตัวฉินหร่านไว้
จากนั้นชี้ไปที่โซฟาข้างๆ เสียงที่ตั้งใจกดให้ต่ำลงเจือความแหบพร่า “เชิญนั่ง”
นี่เป็นจิตแพทย์ที่เฉิงเจวี้ยนเชิญมาจากเมืองหลวง
จิตแพทย์ย่อมรู้จักท่านเจวี้ยนแห่งสกุลเฉิงอยู่แล้ว ยามปีศาจน้อยตนนี้อยู่ในเมืองหลวง แม้แต่ตาแก่เหล่านั้นก็เคยถูกเขาเล่นงานมาแล้วทั้งนั้น เขานั่งลงอย่างระมัดระวัง กดเสียงลงต่ำชนิดที่มีเพียงเฉิงเจวี้ยนเท่านั้นที่ได้ยิน “ผมได้รับรายงานที่คุณส่งมาให้แล้ว คุณหนูท่านนี้มีเป็นโรคไบโพลาร์ขั้นรุนแรง มักจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงไม่เลือกเวลา นอนไม่หลับเป็นอาการปกติ…หากมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น คนหรือเรื่องที่เป็นที่พึ่งสำหรับเธอได้รับแรงกระทบกระเทือน เธอจะเสียสติ มีอารมณ์ทำลายล้างสูงมาก…แต่ว่า…”
จิตแพทย์มองฉินหร่านที่ดูเหมือนจะหลับไปแล้วอย่างแปลกใจ “เธอยังหลับได้ หมายความว่ามีโอกาสจะรักษาได้”
จิตแพทย์คลุกคลีกับผู้ป่วยเยอะ และเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง มิเช่นนั้นเฉิงเจวี้ยนคงไม่ให้ถ่อจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่หรอก
หลังเฉิงมู่กับลู่จ้าวอิ่งคุยกันเสร็จแล้ว สองร่างที่มีหิมะที่ปกคลุมทั่วตัวก็เข้ามาพร้อมกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของจิตแพทย์ ฝีเท้าก็หยุดชะงัก
“อารมณ์ทำลายล้าง…” นิ้วของเฉิงเจวี้ยนเคาะขอบโซฟา ตาหรี่ลงเล็กน้อย
“เปลี่ยนสภาพแวดล้อม จะมีผลดีกับเธอ” จิตแพทย์บอกวิธีการรักษาขั้นแรกของตัวเอง “ยิ่งอยู่ในเมืองนี้มากเท่าไรจะยิ่งอันตรายกับเธอมากเท่านั้น”
เฉิงเจวี้ยนพยักหน้า “ต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อม?”
“ใช่ครับ” จิตแพทย์ตอบ “จะมีผลช่วยให้เธอผ่อนคลาย นิสัยก้าวร้าวที่ซ่อนอยู่ในตัวเธอก็จะดีขึ้นไปด้วย”
“เข้าใจแล้ว” หลังเฉิงเจวี้ยนฟังต่ออีกไม่กี่ประโยคแล้ว ก็สั่งให้พ่อบ้านเฉิงส่งจิตแพทย์ออกไป
จิตแพทย์คิดว่าเฉิงเจวี้ยนได้ยินแล้ว ก่อนกลับ ยังค้อมหัวให้เล็กน้อย บอกวิธีปลอบโยนผู้ป่วยอีกหลายวิธี
เฉิงมู่เห็นแพทย์คนนั้นหยิบกระดาษและปากกาขึ้นมา เขียนกำชับอีกหลายอย่าง ก็อดกระตุกยิ้มไม่ได้
จากนั้นก็มองจิตแพทย์ด้วยใบหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่ง ยังจะบอกให้ปลอบโยนผู้ป่วยอีก…
จากสถานการณ์ตอนนี้ หากคุณหนูฉินจะฆ่าคน คุณชายเฉิงไม่ห้ามไม่พอ เป็นไปได้สูงว่าจะยื่นมีดให้เธอด้วยซ้ำแน่นอนว่าจะยื่นกระดาษให้เธอเช็ดมืออีกด้วย…
ปลอบโยนผู้ป่วย…
คิดอะไรอยู่…
Related