บทที่ 229
เหตุผล
“ไม่มีอะไรค่ะ! แค่เดินเล่นมาเรื่อย…” โม่อ้ายลี่รีบจับมือ มู่หรงเสวี่ยและพูดออกมาก่อน
“กลับบ้านกันเถอะ คุณปู่เองก็รู้เรื่องนี้แล้วด้วย…” โม่หลิวเฟิงพูด
เขามองไปที่โม่อ้ายลี่อย่างละเอียดและเห็นว่าดวงตาของเธอบวมเล็กน้อยและน้ำเสียงก็ยังแหบๆราวกับว่าเพิ่งจะร้องไห้มา แต่ที่ร่างกายก็ไม่มีร่องรอยอะไรและก็ดูเหมือนไม่ได้ถูกรังแกอะไรด้วย
“คุณปู่รู้เรื่องนี้ได้ยังไงคะ?” โม่อ้ายลี่สะดุ้งขึ้นมาทันที คุณปู่คือคนที่เธอกลัวที่สุด
โม่หลิวเฟิงเหล่ไปที่เธอ “จะไม่รู้เรื่องได้ยังไงล่ะ?! ก็พี่กำลังอยู่กับคุณปู่ ฉะนั้นตอนที่พี่รับสายคุณปู่ก็ต้องได้ยินไปด้วยสิ…”
“ไปกันเถอะ เสี่ยวเสวี่ยเองก็ไปด้วยกันนะ คุณปู่ไม่ได้เจอเธอมานานแล้วคงจะคิดถึงเธอน่าดู…” โม่หลิวเฟิงหันหัวมาพูดกับมู่หรงเสวี่ย
โม่อ้ายลี่พูดแซวขึ้นมาทันที “พูดกับฉันละดุเชียว ที่กับเสี่ยวเสวี่ยละอ่อนหวาน นี่ใครเป็นน้องสาวพี่กันแน่เนี่ย…”
โม่หลิวเฟิงตีไปที่หน้าผากเธอ “ใครใช้ให้เธอทำให้คนอื่นเป็นห่วงล่ะ…” ที่ปลายหูมีสีแดงระเรื่อ
“ไปสิคะ ฉันเองก็อยากเจอคุณปู่โม่เหมือนกัน…” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม
มู่หรงเสวี่ยมาคนเดียว ดังนั้นเธอจึงไปบ้านตระกูลโม่ด้วยรถของโม่หลิวเฟิง
ทันทีที่เข้าไปในบ้านตระกูลโม่ เธอก็เห็นว่าคุณปู่โม่นั่งรอพวกเธออยู่ในห้องนั่งเล่นเรียบร้อยแล้ว
“คุณปู่” โม่อ้ายลี่รีบวิ่งเข้าไปพร้อมทั้งร้องเรียกอย่างออดอ้อน
“วันนี้เกิดอะไรขึ้น?” เขาถาม
โม่อ้ายลี่แลบลิ้นออกมาแล้วจึงตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“ไม่มีแล้วไปรบกวนตำรวจทำไม?! หลานคิดว่าปู่แก่มากจนคิดอะไรไม่ทันหรือไง”
โม่อ้ายลี่ปิดหูตัวเองพร้อมทั้งพูดออกมา “คุณปู่ดุแบบนี้ เห็นไหมคะทำให้เสี่ยวเสวี่ยกลัวหมดแล้วนะ…”
คุณปู่โม่อยากที่จะบ่นต่อ แต่หลังจากที่เห็นมู่หรงเสวี่ย ท่านก็ไอออกมาแก้เขินอยู่เล็กน้อยแล้วเปลี่ยนเป็นพูดด้วยน้ำเสียใจดี “เสี่ยวเสวี่ย รีบเข้ามานั่งเร็วสิ ปู่ไม่เจอหนูมาตั้งนานแล้วหนูก็ไม่แวะมาหาปู่บ้างเลย…” น้ำเสียงยังมีการบ่นอยู่เล็กน้อย
มู่หรงเสวี่ยหัวเราะแล้วพูดออกมา “ถึงหนูไม่ได้มาที่นี่แต่หนูก็คิดถึงคุณปู่โม่มากเลยนะคะ ช่วงนี้คุณปู่เป็นไงบ้างคะ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า แค่ได้อยู่ในมือหนู ปู่ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว…” คุณปู่โม่พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มมีความสุข ตั้งแต่ที่มู่หรงเสวี่ยรักษาท่าน ท่านก็สุขภาพดีมาโดยตลอด แถมยังมีสมุนไพรชั้นดีที่ มู่หรงเสวี่ยส่งมาให้อีกตั้งสองครั้ง ท่านก็เกือบที่จะดูเด็กลงไปอีก 20 ปีแล้ว ท่านไม่รู้ว่าจะขอบคุณเธอยังไงแล้วจริงๆ
มู่หรงเสวี่ยเป็นคนมากความสามารถ เธอมีพื้นฐานครอบครัวที่ดีและฐานะก็ดี ดังนั้นจึงไม่มีจุดไหนที่ตระกูลโม่จะเข้าไปช่วยเธอได้เลย สิ่งที่ท่านต้องการมากที่สุดคือให้หลานชายจีบเสี่ยวเสวี่ย อย่างไรก็ตามหลานชายซื่อบื้อกลับไม่รู้สิ่งที่ท่าคิดเลย หลานชายตัวดีกลับไม่เริ่มลงมือทำอะไรเลยจนท่านรู้สึกกังวลไปหมดแล้ว
“หนูไม่เก่งขนาดที่คุณปู่โม่พูดหรอกค่ะ…” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างเขินๆ “ครั้งนี้หนูรีบมาเลยไม่มีเวลาที่เตรียมอะไรมาให้เลย…” เวลาที่ไปบ้านคนอื่นมือเปล่า มู่หรงเสวี่ยก็จะรู้สึกไม่สบายใจเท่าไร
“เสี่ยวเสวี่ย ถ้าหนูพูดแบบนี้อีกปู่จะโกรธแล้วนะ ตระกูลโม่ก็เหมือนกับบ้านหนูเอง หนูจะมาเมื่อไรก็ได้ที่ต้องการแล้วก็ไม่ต้องเอาอะไรมาด้วย…” คุณปู่โม่พูดอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไร
“งั้นต่อไปหนูไม่เกรงใจแล้วนะคะ…หนูจะแวะมาคุยกับคุณปู่บ่อยๆ ไม่ต้องห่วงนะคะคุณปู่โม่!” มู่หรงเสวี่ยพูด
“ได้เลย! มาได้เลย! ว่าแต่วันนี้เกิดเรื่องอะไรเหรอ? แล้วทำไมต้องแจ้งตำรวจด้วย?” คุณปู่โม่ถามพร้อมขมวดคิ้ว
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็แค่ไปเจอพวกคนไม่ดี มู่หรงเสวี่ยโหดมากเลยนะคะ จัดการคนพวกนั้นมือเปล่าจนหมอบกองกับพื้นกันไปเลย…” โม่อ้ายลี่พูดอย่างตื่นเต้น
“โอ้ เสี่ยวเสวี่ย หนูไปเรียนศิลปะป้องกันตัวมาตั้งแต่เมื่อไรเหรอถึงได้เก่งขนาดนี้?” คุณปู่โม่ถามอย่างสงสัย ท่านเพียงแค่คิดว่าโม่อ้ายลี่พูดเกินจริงไปเองเท่านั้น
“ช่วงนี้บังเอิญหนูได้เรียนทักษะการป้องกันตัวมาบ้างอ่ะค่ะซึ่งก็ยังไม่ได้เก่งอะไรเท่าไร…” มู่หรงเสวี่ยพูด เธอไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงว่าเธอได้เรียนทักษะการฝึกตน เธอกลัวว่าคุณปู่โม่จะคิดว่าเธอบ้า
โม่หลิวเฟิงที่อยู่อีกด้านไม่คิดแบบนั้น ถึงแม้พวกแก๊งที่เจอเมื่อตอนบ่ายจะไม่ได้เก่งเรื่องการต่อสู้เท่าไร แต่พวกมันก็มากันตั้งห้าคน เขารู้ว่าอย่างมากตัวเองก็สามารถรับมือได้ทีละคนเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรับมือคนพวกนั้นพร้อมๆกัน อีกอย่างเขามองบาดแผลของคนพวกนั้นอย่างละเอียด มันดูไม่เหมือนบาดแผลที่เกิดจากการสู้กันปกติเลยแต่เหมือนเกิดจากสายลมมากกว่า
โม่หลิวเฟิงหันไปพูดกับมู่หรงเสวี่ย “เสี่ยวเสวี่ย ว่างหรือเปล่า?! พอดีฉันสงสัยเรื่องฝีมือการต่อสู้ของเธออยู่นิดหน่อย”
มู่หรงเสวี่ยนิ่งไปชั่วขณะ เธอไม่ได้ตอบอะไร พี่โม่หมายความว่าไงงั้นเหรอ “พี่ใหญ่ พี่นี่หน้าไม่อายเลยจริงๆนะคะ เสี่ยวเสวี่ยเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆแล้วจะไปสู้กับพี่ได้ยังไงกัน?!!” ในสายตาของเธอ แม้ว่ามู่หรงเสวี่ยจะเพิ่งซ้อมคนมาวันนี้ แต่เธอก็ยังรู้สึกว่ามู่หรงเสวี่ยเป็นผู้หญิงบอบบางตัวเล็กๆเพราะเธอช่างอ่อนโยนและสวยมากซึ่งเทียบไม่ได้กับพี่ชายของเธอเลย
“พี่ถามเธอหรือไง?” โม่หลิวเฟิงจ้องไปที่น้องสาวตัวเองที่กลัวว่าเขาจะทำร้ายเสี่ยวเสวี่ย ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเขินเล็กน้อยจึงพูดออกมาว่า “แต่พี่โม่ ฉันกลัวว่าจะทำพี่เจ็บนะคะ…” ปกติแล้วพลังวิญญาณไม่ใช่อะไรที่คนทั่วไปจะต้านทานได้ เธอกลัวว่าถ้าเธอเผลอและเสียการควบคุม เธอจะทำให้พี่โม่ต้องเจ็บ
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เธอนี่น่ารักจริงๆเลย เธอจะทำพี่ชายฉันเจ็บได้ยังไงกัน…” โม่อ้ายลี่พูดพร้อมรอยยิ้มที่ดูถูก แม้แต่คุณปู่โม่เองก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มบนใบหน้าด้วยแต่ไม่มีการเยาะเย้ยมีเพียงความขบขัน
อย่างไรก็ตามโม่หลิวเฟิงพูดออกมาอย่างจริงจัง “ไม่สำคัญหรอกต่อให้เธอจะทำฉันเจ็บก็ตาม” เขาคิดว่าบางที มู่หรงเสวี่ยอาจจะเก่งกว่าเขาอีก อาจจะนะ
เสียงหัวเราะของโม่อ้ายลี่หยุดลง “พี่ใหญ่ บ้าไปแล้วงั้นเหรอ? พี่เชื่อเรื่องที่เสี่ยวเสวี่ยพูดจริงๆงั้นเหรอ?!! ฉันขอเตือนเลยนะ พี่ห้ามหนักมือกับเสี่ยวเสวี่ยเด็ดขาด…” พี่ใหญ่คือคนที่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทุกวัน เธอกลัวจริงๆว่าถ้าพี่ใหญ่ไม่ทันได้ระวังจะทำให้ร่างกายที่บอบบางของเสี่ยวเสวี่ยบาดเจ็บได้
“ในเมื่อพี่โม่พูดแบบนั้น งั้นก็โอเคค่ะ!!! เราจะสู้กันที่ไหนดีคะ?!” มู่หรงเสวี่ยมองไปรอบๆเพราะกลัวว่าตัวเองจะทำบ้านตระกูลโม่พังเป็นรูใหญ่
“ออกไปข้างนอกโล่งๆเถอะ ข้างนอกมีพื้นที่อีกเยอะ…” โม่หลิวเฟิงพูด ในระหว่างที่ลุกขึ้นทำท่ายืดเส้นยืดสายเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ พี่ไม่ได้จะทำร้ายมู่หรงเสวี่ยจริงๆใช่ไหม พี่ต้องระวังนะ ฉันขอเตือนไว้เลย…”
“โอเค เข้าใจแล้ว ไม่ต้องย้ำขนาดนี้หรอก!” เขาเป็นคนที่รอบคอบอยู่แล้ว จะปล่อยให้น้องสาวมาพูดย้ำแบบนี้อีกทำไมล่ะ?!!
“พี่…ฮึม ถ้าทำมู่หรงเสวี่ยเจ็บแม้แต่ปลายผม ฉันไม่ปล่อยพี่ไว้แน่!” โม่อ้ายลี่พูด
คุณปู่โม่เองก็ลุกขึ้นและพูดพร้อมรอยยิ้ม “ปู่จะตั้งตารอดูด้วยนะ ฮ่าฮ่า…” ท่านเชื่อว่าโม่หลิวเฟิงรู้ว่าอะไรควรและไม่ควรและคงจะไม่ทำร้ายมู่หรงเสวี่ยแน่ๆ
มู่หรงเสวี่ยหยักไหล่และพูดออกมาอย่างไม่แยแส “เธอดูถูกฉันเกินไปแล้ว ฉันขอบอกเลยว่าฉันเก่งจริงๆนะ…” หลังจากนั้นเธอก็พยักหน้าราวกับว่ามันเป็นเรื่องจริง ท่าทางของเธอดูทรงอำนาจอย่างมาก พร้อมมองไปที่รอยยิ้มของตระกูลโม่
เธอพูดออกไปแล้วแต่พวกเขาไม่เชื่อเธอ แต่โชคดีที่ข้างนอกเป็นพื้นที่โล่งจึงไม่น่าที่จะเกิดรูอะไรได้
ที่สนามนอกบ้านตระกูลโม่
มู่หรงเสวี่ยและโม่หลิวเฟิงเผชิญหน้ากันและกัน
สายตาของโม่หลิวเฟิงเต็มไปด้วยวิญญาณนักสู้ เขามีความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เจอคู่ต่อสู้ของตัวเอง เขาพูดออกมาว่า “เสี่ยวเสวี่ย เธอเป็นผู้หญิง ฉันจะให้เธอลงมือก่อน 3 ครั้ง…” ถึงแม้เขาจะคิดว่ามู่หรงเสวี่ยน่าจะแข็งแกร่งอย่างมาก แต่เขาเองก็มั่นใจในฝีมือการต่อสู้ของตัวเอง
“ไม่จำเป็นหรอก พี่โม่ลงมือก่อนได้เลย!” เธอกลัวว่าเพียงแค่เธอขยับแค่ครั้งเดียว พี่โม่ก็จะไม่มีโอกาสได้ลงมือแล้ว
“เสี่ยวเสวี่ย อย่ามัวอวดดีอยู่เลย ฉันจะลงมือก่อนได้ยังไง ผู้หญิงก่อนเลย…” โม่หลิวเฟิงก้มหน้าเล็กน้อยและเขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกดูถูก
มู่หรงเสวี่ยลังเลอยู่นานแล้วจึงถามออกไปอย่างนุ่มนวล “พี่โม่ พี่แน่ใจเหรอ?”
“แน่ใจสิ! ลงมือเลย” โม่หลิวเฟิงพร้อมที่จะเจอกับจังหวะที่น่ากลัวของมู่หรงเสวี่ยที่เขาคิดไว้แล้ว
“งั้น…งั้น ฉันก็พร้อมแล้ว…”
มู่หรงเสวี่ยรวบรวมพลังจิตวิญญาณไว้ที่มือ เธอไม่ได้ขยับแต่ค่อยๆยกมือผลักไปที่ฝั่งของพี่โม่
ในสายตาของคุณปู่โม่และโม่อ้ายลี่ คือภาพมู่หรงเสวี่ยที่โบกไปข้างหน้าราวกับไล่ยุ่ง อย่างไรก็ตามโม่หลิวเฟิงพึมพำแล้วถอยหลังไปหลายก้าวก่อนที่จะยืนได้มั่นคง สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดเผือดเล็กน้อย
เพราะมู่หรงเสวี่ยกลัวว่าจะทำร้ายพี่โม่ เธอจึงใช้พลังจิตวิญญาณเพียงแค่ 20% เท่านั้น เมื่อได้เห็นสีหน้าซีดเผือดของพี่โม่ เธอก็เป็นห่วงและรีบวิ่งเข้าไปถาม “พี่โม่ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
Related