บทที่ 221 ข้อความแปลกๆ
ในปาร์ตี้มื้อค่ำ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกมึนๆเล็กน้อย ในระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำ เหล่าพนักงานก็ดื่มกันแทบจะไม่ยั้งและพวกเขาก็อารมณ์ดีกันมาก มู่หรงเสวี่ยเองก็มีความสุขมากไปด้วย หลังจากที่ดื่มกับทุกคนไปสองสามแก้ว หลงอี้ก็เข้ามาห้ามไว้
จนกระทั่งช่วงค่ำ เหล่าพนักงานก็ค่อยๆทยอยกลับกัน มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆที่มาคนเดียวต่างก็เดินออกมาพร้อมหลงอี้และคนอื่นๆ
อย่างไรก็ตามที่หน้าประตู ก่อนที่จะได้ขึ้นรถมู่หรงเสวี่ยก็ต้องหยุดเพราะมีกลุ่มวัยรุ่นมาขวางเอาไว้ หลงอี้เข้ามายืนอยู่หน้ามู่หรงเสวี่ยทันที ส่วนทีมที่เหลือก็ยืนล้อมรอบมู่หรงเสวี่ยไว้พร้อมดึงอาวุธออกมา
“พี่หวัง นั้นไงเธอ นังผู้หญิงชั้นต่ำที่ไล่ฉันออกจากบริษัท พี่ต้องสั่งสอนเธอซะหน่อยนะ…”เสี่ยวหลิงพร้อมใบหน้าที่แต่งแต้มจนหนายืนเบียดอยู่ข้างๆผู้ชายที่ชื่อพี่หวังพร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนสุดๆ เมื่อเธอเห็นมู่หรง เธอก็จ้องมามองด้วยสายตาโกรธแค้น
ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยได้ยินเสียง เธอก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร เป็นพนักงานที่เจอวันนี้เอง ดูเหมือนว่าเธอจะรนหาเรื่องจริงๆ
“อยากมีเรื่องกับแก๊งโม่หรือไง?” มู่หรงเสวี่ยเดินไปข้างหน้าหลงอี้และมองไปที่ชายที่อยู่อีกฝั่งและพูดออกมาอย่างเย็นชา เธอเคยได้ยินที่พี่จื่อเหวินเคยบอกเรื่องแก๊งที่มีอำนาจของเมืองมาแล้ว ถึงแม้เธอจะรู้ว่าแค่หลงอี้และทีมของเขาก็เพียงพอที่จะจัดการคนพวกนี้แล้ว แต่เธอก็ไม่อยากที่จะมีปัญหา
พี่หวังเมื่อได้ยินว่าแก๊งโม่สีหน้าก็เปลี่ยนไปแทบจะในทันที “ไร้สาระ อะไรนะ?! พวกเราสิแก๊งโม่…” เขาเงยหน้าขึ้นมาและเริ่มที่จะมองไปที่มู่หรงเสวี่ย
“พี่หวัง ทำไมยังไม่รีบจัดการอีกละ พวกมันมีกันแค่ไม่กี่คนเองแต่เรามีคนมากกว่าตั้งเยอะนะ!” เสี่ยวหลิงเห็นว่าคำพูดของมู่หรงเสวี่ยทำให้สีหน้าของพี่หวังเปลี่ยนไป จนเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่พอใจ เธอต้องมีอะไรกับคนพวกนี้อยู่ตลอดบ่ายกว่าที่จะทำให้พี่หวังออกมาแบบนี้ได้ จนขนาดตอนนี้ขาเธอยังปวดอยู่เลย แล้วแบบนี้เธอจะปล่อยให้นังผู้หญิงชั้นต่ำลอยนวลไปได้ง่ายๆได้ยังไง
“เงียบไปเลย” พี่หวังหันมาตะคอกใส่เสี่ยวหลิงแล้วหันมามองมู่หรงเสวี่ยต่อ ยิ่งเขามองเธอมากเท่าไร เขาก็ยิ่งคุ้นหน้ามู่หรงเสวี่ยมากขึ้นเท่านั้น ในตอนนี้ชายคนที่อยู่ข้างหลังพี่หวังเดินขึ้นมาและกระซิบที่ข้างหูของเขา “หัวหน้า นี่คือผู้หญิงที่เราไม่ควรจะเข้าไปยุ่งด้วยใช่ไหม? ทางองค์กรได้แจกรูปมาให้แล้วพวกนั้นก็ติดรูปไว้ที่กำแพงที่ฐานของเราไง”
ดวงตาของพี่หวังเบิกกว้าง แล้วทันใดนั้นเขาก็จำรูปภาพที่ถูกติดไว้ที่ฐานขึ้นมาได้ทันที รายละเอียดถูกอธิบายไว้เป็นพิเศษว่าคนที่ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งแต่กลับต้องปกป้องคนนี้เป็นหัวหน้าที่แท้จริงของพวกเขา พวกลูกน้องที่อยู่ข้างหลังอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่หัวหน้าของสถานที่จะต้องรู้
“พี่หวัง…” เสี่ยวหลิงเห็นพี่หวังยังไม่ลงมือ เธอจึงดึงแขนเสื้อเขาเล็กน้อยและร้องเรียกอย่างออดอ้อน
สีหน้าของพี่หวังเปลี่ยนไป แล้วในทันทีเขาก็ตบเข้าที่หน้าของเสี่ยวหลิงที่อยู่ข้างๆเขาเสียงดัง “ป้าบ!!!! กล้าดียังไงถึงหลอกให้พวกเรามามีเรื่องกับหัวหน้าของแก๊งโม่แบบนี้”
เสี่ยวหลิงไม่อยากที่จะเชื่อ เธอแตะไปที่ใบหน้าที่บวมของตัวเองและทันใดนั้นก็มองไปที่พี่หวังราวกับจะหาเรื่อง “พี่หวัง พี่เข้าใจผิดแล้ว…นังผู้หญิงชั้นต่ำคนนี้จะเป็น…”
“บ้าเอ๊ย! เธอสินังผู้หญิงชั้นต่ำ” พี่หวังเตะเสี่ยวหลิงไปอีกหลายครั้ง
“โอ๊ย! พี่หวัง อย่าเตะสิ…” มือเสี่ยวหลิงที่กุมหัวอยู่และอดไม่ได้ที่จะร้องขอความเมตตา พี่หวังไม่ใจอ่อนและเตะเธอจนเกือบตาย
จนกระทั่งเสี่ยวหลิงเจ็บจนเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา พี่หวังจึงหยุดและเดินเข้าไปหามู่หรงเสวี่ยอย่างนอบน้อม
ด้วยใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมและรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยที่อยู่บนใบหน้ายิ่งทำให้เขาดูน่ากลัวขึ้นไปอีก “หัวหน้าครับ ทั้งหมดมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย…”
คิ้วของมู่หรงขมวด หัวหน้างั้นเหรอ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?!! อย่างไรก็ตาม เธอไม่อยากให้พวกโลกใต้ดินเรียกเธอว่าประธานหรือหัวหน้าด้วยท่าทางอ่อนโยนแบบนี้หรอก
“ผมจะจัดการผู้หญิงคนนี้ให้เรียบร้อย ไม่ให้เธอมาสร้างปัญหาอะไรอีกแน่ๆครับ…” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ผู้หญิงที่นอนอยู่ที่พื้น เธอไม่ใช่คนดี คนที่อยากให้เธอตายต้องรีบถูกจัดการอย่างเร็วที่สุด ไม่งั้นจะต้องมีเสี่ยวเข่อลี่คนที่สองแน่ๆ แล้วเธอก็จะต้องมาปวดหัวอีก
เมื่อเธอนึกถึงเสี่ยวเข่อลี่ สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยวก็เครียดขึ้นมาแล้ว ครั้งที่แล้วเธอพยายามที่จะกำจัดเธอ แต่ฮวงฟูอี้หยุดไว้ได้ทัน เธอไม่เข้าใจความตั้งใจของดราก้อนพาวิลเลี่ยนที่จะหาว่าอำนาจอะไรที่อยู่เบื้องหลังเสี่ยวเข่อลี่ อย่างไรก็ตามตราบใดที่เสี่ยวเข่อลี่ยังมีชีวิตอยู่ เธอก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างอธิบายไม่ได้ โดยเฉพาะสายตาที่เสี่ยวเข่อลี่มองฮวงฟูอี้ซึ่งแสดงท่าทีอย่างชัดเจน
พี่หวังคิดว่ามู่หรงเสวี่ยยังโกรธเรื่องเหตุการณ์ของเสี่ยวหลิงอยู่ ในตอนนี้เขาเตะเท้าของเสี่ยวหลิงที่กองอยู่กับพื้น ทันใดนั้นลมหายใจของเสี่ยวหลิงก็เริ่มที่จะอ่อนแรงลง “หัวหน้าครับ ได้โปรดมั่นใจได้เลยนะครับว่าผมจะจัดการเรื่องผู้หญิงคนนี้อย่างดีเลย…” พี่หวังสัญญาอย่างจริงจัง
“ทำงานได้ดีมาก!” มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและขึ้นรถไปกับหลงอี้
เพราะเธอยังต้องอยู่ที่นี่อีกสองสามวัน ในเมืองเล็กๆแบบนี้มู่หรงเสวี่ยทำได้เพียงแค่อยู่ในโรงแรมเท่านั้น โรงแรมในเมืองเล็กๆเทียบไม่ได้กับโรงแรมห้าดาวในเมืองเลย อย่างไรก็ตามมู่หรงเสวี่ยไม่ใช่คนเลือกมาก ในโรงแรมมีคนเข้าพักอยู่เพียงไม่กี่ห้อง
“คุณมู่หรง คุณนอนพักผ่อนได้อย่างสบายใจเลยนะครับเดี๋ยวผมจะเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูเอง…” หลงอี้ยังไปนอนไม่ได้ ที่นี่ไม่เหมือนกับที่ฐานจึงไม่ค่อยปลอดภัยที่จะอยู่ในโรงแรมแบบนี้ เขาจะต้องคอยอยู่เฝ้า
มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว “ไม่ต้อง ฉันไม่มีอันตรายอะไรหรอก พวกนายไปนอนเถอะแล้วก็ไม่ต้องมาเฝ้าที่หน้าประตูด้วย…”
“ไม่ได้ครับ เราต้องเฝ้าอยู่ที่นี่!” หลงอี้ยืนยันว่านี่เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะอดนอนติดกันสองสามวันเมื่ออยู่ในภารกิจ มันเป็นเรื่องปกติ เพราะที่นี่มีภูเขาอยู่มากเกินไปและไม่มีฐานของดราก้อนพาวิลเลี่ยนอยู่ที่นี่ด้วย
“หลงอี้ นายเข้ามาหาฉันสักเดี๋ยวสิ!” มู่หรงพูด
หลงอี้เงียบไปชั่วขณะ แล้วก็เดินตามเข้าไป เขาไม่รู้ว่าคุณมู่หรงมีเรื่องอะไรที่จะพูด
มู่หรงเสวี่ยปิดประตูกระแทกเสียงดัง
ร่างของหลงอี้สั่นไปพร้อมกับเสียงปิดประตู นี่…มันไม่ค่อยเหมาะเท่าไรที่ผู้หญิงกับผู้ชายจะอยู่ด้วยกันตามลำพังแบบนี้ อีกอย่างผู้หญิงคนนี้ก็ยังเป็นนายหญิงของเจ้านายเขาด้วย
มู่หรงเสวี่ยหันกลับมามองที่หลงอี้ แล้วพูดออกมาเสียงเบา “เพราะนายเคยเห็นมาแล้วงั้นฉันจะไม่ปิดบังนายอีก…”
เขาเคยเห็นอะไรงั้นเหรอ?!! หลงอี้ไม่กล้าที่จะยอมรับว่าเขาแวบความคิดไม่ดีขึ้นมาในใจ ฮ่าฮ่าแต่มันก็แค่ความคิดเท่านั้น เขาไม่กล้าที่จะทำอะไรไม่ดีกับผู้หญิงของดราก้อนมาสเตอร์หรอก
เพียงเสี่ยววินาที มู่หรงเสวี่ยก็หายตัวไปจากเบื้องหน้าหลงอี้
ดวงตาของมังกรเบิกกว้างในทันทีและเบื้องหน้าเขาก็กลายเป็นอากาศที่ว่างเปล่าแล้วเธอหายไปไหนล่ะ?!!!
เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา จู่ๆมู่หรงก็โผล่ออกมาอีกแล้วพูดออกมาเสียงเบา “นายเข้าใจเรื่องนี้ไหม?!!”
หลงอี้รู้สึกงงไปหมด “เข้าใจเรื่องอะไรเหรอครับ?”
เมื่อกี้ยังเห็นไม่ชัดอีกหรือไง?! มู่หรงเสวี่ยหายตัวไปและโผล่กลับมาอีกครั้ง
หลังจากที่ขยี้ตา สุดท้ายหลงอี้ก็เข้าใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไปเองแต่มู่หรงเสวี่ยหายตัวและโผล่กลับมาใหม่ได้จริงๆ นี่มันอะไรกันเนี่ย? นี่เป็นโหมซ่อนตัวงั้นเหรอ?!!!
“งั้นพวกนายก็กลับไปพักกันได้แล้ว ฉันไม่มีอันตรายอะไรหรอก…” มู่หรงเสวี่ยไม่รู้ตัวเลยว่าทำให้หลงอี้กลัว เขายังคงพูดกับตัวเองอยู่เลย…หลังจากผ่านไปสักพักเมื่อไม่ได้ยินหลงอี้ตอบอะไรกลับมา เธอก็โบกมือตรงเบื้องหน้าหลงอี้ “ฮัลโหลหลงอี้ ใจลอยไปไหนแล้ว? ได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่า?”
“คุณมู่หรง คุณเพิ่ง…” หลงอี้ถาม ถึงแม้ครั้งที่แล้วตอนที่ออกตามหาคุณมู่หรงเขาจะได้เห็นเหตุการณ์เรื่องนี้แล้ว แต่เขาก็คิดว่าเป็นการซ่อน
มู่หรงเสวี่ยมองหลงอี้อย่างดูถูก “นายไม่เข้าใจ งั้นเอาแบบนี้นะในโลกนี้ฉันสามารถที่จะหายตัวได้ และไม่มีใครที่จะหาเจอด้วย งั้นฉันจึงไม่มีอันตรายอะไรหรอก นายไปพักได้แล้ว…”
“โอ้…โอ้…” หลงอี้พูดแต่เขาก็ยังไม่ได้สติกลับมาเท่าไร
“ถ้าเข้าใจแล้วก็ออกไปได้แล้ว!” มู่หรงเสวี่ยผลักหลงอี้ที่มีสีหน้ามึนงง
หลงอี้เดินอย่าไร้สติไปที่ประตู จนกระทั่งมู่หรงเสวี่ยปิดประตูไปนานแล้ว เขาก็ยังไม่ตอบสนองอะไร
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้กังวลเรื่องหลงอี้ พวกเขารู้ว่าเธอกังวลเรื่องเสี่ยวเข่อลี่ คุณปู่คุณย่าของเธอเองก็ยังปลอดภัยอยู่ที่ดราก้อนพาวิลเลี่ยน ตอนนี้เธอไม่มีอะไรที่จะต้องห่วง ส่วนที่เหลือก็คือการตามหาองค์กรที่ทำการทดลองอย่างไร้มนุษยธรรมแบบนั้นให้เจอ แล้วจัดการเสี่ยวเข่อลี่เพื่อที่เธอจะได้ตามหาพ่อแม่อย่างสบายใจ
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้นอนที่เตียงของโรงแรมแต่ตรงเข้าไปในมิติลับ มัเพียงในมิติลับเท่านั้นที่ปลอดภัยที่สุด ตอนนี้เมื่อไม่มีหลงอี้เฝ้าอยู่ เธอจะได้ไม่ต้องห่วงว่าจู่ๆจะมีใครบุกเข้ามา
หลังจากที่เข้าไปในมิติลับ เธอก็รีบเดินเข้าไปข้างหลังม่านน้ำตกทันที นี่ราวกับว่าเธอได้เข้าใกล้พ่อแม่ของเธอมากขึ้นไปอีก
หลุมดำหลากสี เธอไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้เลยเพราะมีแรงดูดซึ่งง่ายมากที่จะดูดคนเข้าไปข้างใน เธอเฝ้ามองรอบๆหลุมอย่างระวัง คิดว่าตัวเองอาจจะมองข้ามอะไรไปหรือเปล่า แต่รอบ ๆ เป็นกำแพงหินดอกไม้สีขาว ไม่มีอะไรมาก มู่หรงเดินออกมาอย่างผิดหวัง แต่จู่ๆเธอก็เจอหินที่ยื่นออกมาจากกำแพงและรู้สึกว่ามันแปลก เธอจึงเดินเข้าไป
หลังจากที่มองใกล้ๆ หินเป็นหินสี่เหลี่ยมยื่นออกมาบนกำแพงหินแบนซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ ตรงกันข้ามมันเหมือนสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น มู่หรงเสวี่ยยื่นมือออกไปและกดลงบนหิน
หินไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยและรอบๆก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่มู่หรงเสวี่ยก็ยังไม่ยอมแพ้ บางทีนี่อาจจะเป็นสถานที่ที่จะช่วยพ่อแม่เธอไว้ ได้ ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้แค่หนึ่งในหมื่นแต่เธอก็จะตรวจอย่างละเอียด
เธอใช้มือเคาะและตบลงไป พยายามทุกวิถีทางและถึงขนาดร้องตะโกนใส่ก้อนหินงี่เง่าด้วย “เปิดประตูที, จงเปิด, จงเปิด…”
ตามจริงแล้วเรื่องนี้พิสูจน์ได้แค่ว่าหนังเป็นเรื่องหลอกลวงและมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีรหัสลับหรืออะไรพวกนั้นอยู่จริง
สุดท้ายเธอก็จับไปที่หินและบิดมันซะ
“แกร็ก!” มีเสียงหินขยับ มันจมลงไปในกำแพงแล้วกำแพงหินก็สั่นและค่อยๆแยกเปิดออก ด้านในประตูมีข้อความเขียนอยู่ มู่หรงเสวี่ยมองเข้าไปข้างในที่ประตูก่อนแต่เธอก็ไม่ได้เดินเข้าไปโดยตรง ถ้ามีเครื่องกลหรืออะไรบางอย่างมันก็คงจะแย่ อย่างไรก็ตามข้อความดูเหมือนจะยาวมากๆและเธอก็มองไม่เห็นส่วนท้ายตอนจบ
เธอหยิบหินขึ้นมาจากพื้นและโยนเข้าไปที่ข้อความ
ก้อนหินกลิ้งลงพื้น ส่งเสียงดังชัดเจนจนกระทั่งหยุดโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
มู่หรงค่อยๆก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างระวัง ค่อยเดินตรงไปข้างหน้า เธอรู้สึกว่านี่อาจจะมีคำตอบที่เธอกำลังตามหาอยู่
ข้อความยาวมากๆ มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไปอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงแต่ก็ยังไม่เห็นตอนท้ายเลย อย่างไรก็ตามทุกส่วนของถนนทั้งสองข้างทางจะมีไข่มุกราตรีขนาดใหญ่เปล่งแสงอ่อน ๆอยู่ด้วย มีลวดลายมากมายบนผนังซึ่งล้วนเป็นภาพของตัวละครบางตัว ตัวละครแต่ละตัวมีท่าทางที่แตกต่างกันซึ่งดูราวกับเป็นดินแดนเทพนิยาย ซึ่งทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจหลังจากได้เห็น
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้รู้ข้อมูลเบื้องต้นของหลุมหลากสีนี้โดยไม่ได้สนใจลวดลายที่อยู่บนกำแพงอย่างละเอียดเลย
อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา มู่หรงเสวี่ยก็เจอเข้ากับประตูหินแต่ก็ไม่มีอะไรเลยและไม่มีปุ่มอะไรด้วย เธอหาวิธีที่จะเปิดประตูไม่ได้เลย มู่หรงเสวี่ยลองผลักอย่างแรงแต่ก็ไม่ขยับเลยสักนิด
เธอตรวจทั่วทั้งประตูแต่ก็ไม่เจอกลไกที่คล้ายกับหินเมื่อกี้เลย หลังจากที่คลำอยู่เป็นชั่วโมง มู่หรงเสวี่ยก็เจอเส้นทางที่จะกลับมาจุดเริ่มต้นได้ หลังจากที่ออกมามู่หรงเสวี่ยก็กลับไปที่ห้องใต้หลังคาและเข้าไปพักในนั้น วันนี้เธอเหนื่อยมากจริงๆ เธอนึกภาพออกเลยว่าในวันปกติพี่กู่, พี่จื่อเหวินและลั่วเฉิงเฟยจะต้องเหนื่อยมากแค่ไหน
เธอรู้สึกผิดอยู่เล็กๆ เห็นอยู่ชัดๆว่าเธอเป็นคนก่อตั้งบริษัทขึ้นมาแต่ในเวลาปกติเธอก็ปล่อยให้พี่กู่เป็นคนบริหารจัดการทุกอย่าง มันไม่ดีเลยจริงๆ เธอเองก็ควรที่จะเข้ามามีบทบาทในการวางแผนของบริษัทด้วยเหมือนกัน
แล้วยังมีบริษัทเลิฟสโนว์อีก ถึงแม้จะมีทีมบริหารพิเศษเข้ามาดูแลแต่เธอเองก็ควรที่จะกลับเข้าไปตรวจสอบบ้าง
เธอไม่รู้เลยว่าตอนนี้เด็กคนนั้นจะเป็นยังไงบ้าง ไม่บ่อยเลยที่เธอจะขาดการติดต่อกันนานขนาดนี้ ในช่วงที่ผ่านมาเธอเองก็ยุ่งมากๆด้วยจึงลืมที่จะติดต่อเธอไปซะสนิทเลย
Related