บทที่ 218 พนักงานที่หยิ่งผยอง
มู่หรงเสวี่ยแวะมาที่สาขาโดยไม่ได้แจ้งไว้ล่วงหน้า หลักๆก็เพื่อที่จะทำการตรวจสอบด้วย
หลงอี้และมู่หรงเสวี่ยลงจากรถและเดินเข้าไปในบริษัท การตกแต่งไม่มีอะไรมาก ไม่มีการตกแต่งที่หรูหราอะไร มีเพียงรูปปั้นสองตัวที่ตั้งอยู่ที่ประตู ตรงกลางของโถงเป็นแบบจำลองป้ายขนาดใหญ่และที่ด้านซ้ายเป็นโต๊ะต้อนรับ
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่โต๊ะต้อนรับและพบว่าไม่มีใครอยู่เลย เธอขมวดคิ้ว เธอเดินเข้าไปใกล้และเห็นว่าพนักงานที่โต๊ะต้อนรับกำลังนอนอยู่ตะโต๊ะต้อนรับโดยกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ จึงมองไม่เห็นในระยะไกล
“ฮ่า ฮ่า…” พนักงานที่โต๊ะต้อนรับกำลังเล่นโทรศัพท์และหัวเราะ ดูเหมือนว่าเธอกำลังยุ่งกับการคุยกับใครอยู่ แม้แต่มู่หรงเสวี่ยเองที่มายืนอยู่ตรงหน้าก็ยังมองไม่เห็น
มู่หรงเสวี่ยสีหน้าเย็นชาและใช้มือเคาะไปที่โต๊ะ
“รอเดี๋ยว…” พนักงานไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาเพียงแค่ตอบออกมาเท่านั้น ดูเหมือนว่าเธอจะชินกันเรื่องแบบนี้แล้ว แล้วนิ้วของเธอก็รีบกดไปที่หน้าจอโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเริ่มที่จะเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรเพียงแค่มองไปที่พนักงานที่กำลังเล่นโทรศัพท์อย่างมีความสุข
ทันทีที่หลงอี้เดินตามมา เขาอยากที่จะกระชากพนักงานคนนี้ออกมา มู่หรงเสวี่ยห้ามหลงอี้ไว้ทันทีที่เขายื่นมือออกไป
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าที่พนักงานสาวจะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม ดูเหมือนว่าเธอเพิ่งจะคุยกับคนในโทรศัพทืเสร็จ เมื่อเห็นว่ามู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆยังยืนอยู่ที่โต๊ะด้านหน้า เธอก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยและพูดออกมาด้วยร้ำเสียงไม่แยแส
“เป็นอะไรเนี่ยมายืนกันอยู่ได้?”
ไม่มีคำขอโทษใดๆ มู่หรงเสวี่ยไม่คิดว่าพนักงานในบริษัทสาขาจะสบายขนาดนี้ เธอพูดออกไปอย่างเย็นชา “ผู้จัดการอยู่ที่ไหน?!”
พนักงานรีบหันมามองมู่หรงเสวี่ยและเห็นว่าเป็นเพียงเด็กสาวอายุประมาณ 16 ที่คิดว่าตัวเองสวยมากถึงได้เข้ามาถามถึงผู้จัดการแบบนี้ เธอพูดออกมาอย่างเหลืออดเล็กน้อย
“ผู้จัดการของเราไม่ว่างหรอกนะ อย่าเข้ามาแล้วมาถามว่าผู้จัดการของเราอยู่ที่ไหนแบบนี้สิ!”
ไม่สงสัยเลยว่าพนักงานคนนี้ไม่รู้จักมู่หรงเสวี่ยคนดัง ยังไงซะเธอก็เป็นคนท้องถิ่น เธอไม่ได้ชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เธอจะออกไปเล่นทั้งวันและไม่ค่อยได้สนใจโลกเท่าไร เธอเพียงแค่รู้สึกอิจฉาความสวยของมู่หรงเสวี่ยเท่านั้น
มู่หรงเสวี่ยโกรธมากที่เมื่อมีแขกเข้ามาในบริษัทแต่พนักงานต้อนรับกลับพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้ แล้วถ้าอีกฝ่ายแวะมาที่บริษัทเพื่อที่จะคุยเรื่องการร่วมงานล่ะ?!! พนักงานที่สาขาไม่ได้รับการฝึกมาเลยหรือไง
สมาชิกของดราก้อนพาวิลเลี่ยนยังต้องชื่นชมความกล้าหาญของพนักงานสาว ที่กล้าพูดกับหัวหน้าด้วยน้ำเสียงแบบนี้ ในโลกนี้ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้หรอก พวกเขาต่างก็สงสัยว่าพนักงานสาวตาบอดหรือไง ไม่เห็นหรือไงว่าพวกเขาเดินตามคุณมู่หรงอยู่?!!! คนส่วนใหญ่จะต้องรู้แล้วว่าต้องทำยังไง
พนักงานสาวยังคงไม่ควบคุมตัวเองต่อหน้ามู่หรงเสวี่ยอยู่ เธอถึงขนาดหยิบกระจกออกมาและส่องดูซ้ายขวา เธอหยิบลิปสติกออกมาและแต่งหน้าตัวเองเพิ่ม
หลังจากนั้นสักพักเธอก็เห็นว่ามู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมจึงพูดออกไปอย่างเหลืออด
“ทำไมยังยืนอยู่ที่นี่อีกล่ะ? ไป ไปได้แล้ว อย่ามารบกวนฉันทำงาน…” สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเธอไม่อยากให้ผู้จัดการกลับมาแล้วเห็นเด็กสาวสวยแบบนี้ เธอคงจะหมดโอกาส ผู้จัดการเป็นหนุ่มหล่อ หน้าที่การงานก็ดีและฐานะก็ดี นี่เหมือนห่านทองคำเลย
ถึงแม้จะเป็นแค่ผู้จัดการสาขา แต่ก็ยังเป็นผู้จัดการที่ดูแลทุกอย่างอยู่ดี ถ้าเธอได้ตัวผู้จัดการ ในอนาคตบริษัทก็ต้องเป็นของเธอ แค่คิดก็รู้สึกดีแล้ว ต้องบอกเลยว่าบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปนี่ดีมากจริงๆ พวกสื่อเพิ่งจะเข้ามาทำข่าวที่นี่ด้วย แล้วเรื่องเงินเดือนก็จ่ายอย่างงามด้วย
“บริษัทนี้ต้อนรับแขกกันแบบนี้งั้นเหรอ?! ฉันบอกว่าฉันอยากที่จะพบกับผู้จัดการ!” มู่หรงเสวี่ยพูด
พนักงานสาวมองมู่หรงเสวี่ด้วยสายตาดูถูก “เธอก็แค่ผู้หญิงทั่วไป เป็นแขกอะไรกัน? แล้วพวกคนที่อยู่ข้างหลังเธอนี่มันอะไรกัน? อย่าคิดว่าทำตัวเป็นพวกแก๊งแล้วจะทำให้คนอื่นกลัวได้นะ!”
พูดไม่ออกเลย! ในโลกนี้มีดอกไม้งามที่ทรงอำนาจอยู่ไม่มาก มู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะคุยเรื่องนี้อีกแล้ว เธอเพียงแค่โทรไปที่สำนักงานใหญ่เพื่อถามเรื่องผู้จัดการสาขา เรื่องนี้มันแย่กับบริษัทสาขาอย่างมาก
พอดีกับตอนที่มู่หรงเสวี่ยกำลังจะหยิบโทรศัพท์ออกมา พนักงานสาวก็ร้องทักออกมาทันทีด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป “ผู้จัดการ กลับมาแล้วเหรอคะ เหนื่อยแย่เลย…”
ไม่เพียงแค่นั้น พนักงานสาวรีบเดินออกมาจากโต๊ะต้อนรับและตรงเข้าไปหาผู้ชายที่อายุประมาณ 30 ที่เพิ่งเดินเข้าประตูหน้ามา เขาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
มู่หรงเสวี่ยวางโทรศัพท์ลงและเงยหน้าขึ้นมามองที่ผู้จัดการ เธอพบว่าอีกฝ่ายเป็นชายหน้าตาดีและท่าทางสบายๆ ในตอนนี้เขากำลังเดินเข้ามา
“เสี่ยวหลิง ผมบอกให้คุณทำหน้าที่ที่โต๊ะต้อนรับให้ดีไม่ใช่เหรอ?!! แล้วลุกออกมาจากโต๊ะทำไม…”
“ผู้จัดการ ฉันตั้งใจทำงานอย่างหนักเลยนะคะ ไม่เห็นหรือไง?! ต้อนรับลูกค้าด้วยความกระตือรือร้น เป็นหน้าที่ของฉันไม่ใช่หรือไงคะ?”
แตกต่างจากสีหน้าเย็นชาของมู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆ พนักงานสาวดูเหมือนจะเปลี่ยนสีหน้าไปอย่างสิ้นเชิงและน้ำเสียงก็ช่างอ่อนหวาน
สมาชิกทุกคนของดราก้อนพาวิลเลี่ยนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกขนพองไปตามๆกัน ในตอนนี้ผู้จัดการดูเหมือนจะสังเกตเห็นคนมากมายของมู่หรงแล้ว เขาเดินเข้ามาหามุ่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆ เผยรอยยิ้มสุภาพแล้วจึงถามออกมาเสียงเบา “สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ?”
ในตอนนี้ พนักงานสาวเองก็เดินตามเข้ามาด้วยและสีหน้าเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และจู่ๆก็พูดขัดขึ้นมา “ผู้จัดการ อย่าไปสนใจเลยค่ะ ก็แค่พวกคนที่เข้ามาหาเรื่องน่ะค่ะ!! ได้เวลาออกไปได้แล้วนะ บริษัทนี้ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเธอจะเข้ามาเล่นได้นะ
…”
ผู้จัดการตาแหลมมากกว่าพนักงานสาว คนพวกนี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแค่เสื้อผ้าที่ใส่มาก็แพงกว่าเงินเดือนทั้งเดือนของเขาซะอีก ตอนนี้เขาพูดขัดพนักงานสาว “เสี่ยวหลิง อย่าพูดจาไร้สาระ!!! ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่พนักงานของเราพูดจาไร้สาระไปหน่อย…”
มู่หรงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ผู้จัดการ ใช่ไหม?!!”
“ใช่ครับ! มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ?” น้ำเสียงของผู้จัดการไม่ได้มีร่องรอยของความเหลืออด พร้อมยังเผยรอยยิ้มขณะพูดด้วย
พนักงานสาวยังคงยืนอยู่ข้างหลังผู้จัดการอยู่พร้อมทั้งจ้องมาที่มู่หรงเสวี่ย
“นี่คือวิธีที่บริษัทคุณฝึกพนักงานงั้นเหรอ?” ท่าทางของผู้จัดการค่อนข้างดี เธอเพียงแค่อยากจะดุว่าเขาจะจัดการกับปัญหาเรื่องพนักงานยังไง ดังนั้นมู่หรงเสวี่ยจึงยังไม่ได้บอกเรื่องตัวตนของเธอออกไปทันที
“ผมขอโทษนะครับ คุณผู้หญิง คุณผู้ชาย เมื่อกี้พนักงานของผมไม่สุภาพ หลังจากนี้เราจะลงโทษเธอครับ…” ผู้จัดการกล่าวขอโทษ อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจพนักงานต้อนรับมากนัก เหตุผลหลักก็เพราะพนักงานต้อนรับมีส่วนแค่เพียงเล็กน้อย นอกจากนี้บริษัทสาขาก็เพิ่งจะถูกตั้งขึ้นมา ดังนั้นจึงมีอีกหลายอย่างที่เขาต้องจัดการ เขาให้อำนาจแผนกบุคคลเต็มที่ในการรับสมัครพนักงาน ตอนแรกเขาคิดว่าพนักงานต้อนรับสาวที่กระตือรือร้นเรื่องเขาเหลือเกินจะทำงานได้อย่างโอเค เขาจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก
“ไม่สุภาพงั้นเหรอ?! พนักงานในบริษัทของคุณยืนจ้องหน้าฉันอยู่เลย นี่หยาบคายมากใช่ไหม?” มู่หรงพูด
เมื่อได้ยินแบบนี้สีหน้าของผู้จัดการก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหันหัวไปและมองที่เสี่ยวหลิงที่อยู่ข้างหลังเขา เสี่ยวหลิง พนักงานสาวรีบเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว ดังนั้นในตอนนี้สีหน้าของเธอจึงดูตลกเล็กน้อย
“ผู้จัดการ ฉันเปล่า…” พนักงานสาวพูดอย่างกังวล ไอ้คนพวกนี้เนี่ย เธอจะต้องหาคนไปสั่งสอนซะหน่อยแล้ว เสี่ยวหลิงแอบตัดสินใจอย่างเงียบๆอยู่ในใจ ตอนที่ยังอยู่โรงเรียนเธอไม่ค่อยที่จะเรียนเท่าไร เธอมักจะออกไปอยู่กับพวกแก๊งตลอดทั้งวัน
“เงียบแล้วรีบขอโทษเดี๋ยวนี้เลย!” ผู้จัดการเปลี่ยนน้ำเสียงและพูดกับพนักงานสาวอย่างรุนแรง ถ้าโต๊ะต้อนรับทำงานได้ไม่ดี มันก็ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งอธิบายแต่ต้องขอโทษลูกค้า
มู่หรงเสวี่ยยังอยู่นิ่งอยู่ สายตาเย็นชาจ้องไปที่พนักงานสาวอย่างไม่พอใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่พนักงานสาวเห็นท่าทางที่โกรธเกรี้ยวของผู้จัดการ เธอรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย เธอเดินไปหามู่หรงเสวี่ยและพูดออกมาเสียงเบากว่ายุงบินซะอีก “ฉันขอโทษ…”
“เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ?! ฉันไม่ได้ยินเลย…”
“เธอ…” พนักงานสาวโกรธจัดจนถึงขนาดชี้นิ้วใส่หน้ามู่หรงเสวี่ย
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกขี้เกียจที่จะเสียเวลากันพนักงานที่ไร้ยางอายคนนี้ เธอเงยหน้ามองไปที่ผู้จัดการอย่างเย็นชาและพูดออกมา “ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกทันที บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปไม่ต้องการพนักงานแบบนี้และรีบมารายงานความคืบหน้าล่าสุดของสาขาให้ฉันรู้ด้วย…”
หลังจากที่พูดจบ เธอก็หยุดสักพัก มองไปที่คนทั้งสองที่กำลังตกใจและพูดต่อว่า “สุดท้ายนะ ฉันคือประธานของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป!”
มู่หรงเสวี่ยเดินไปที่ชั้นหนังสือพิมพ์ที่อยู่อีกด้าน หยิบหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดออกมาและโยนไปที่ผู้จัดการโดยตรง “ฉันอดไม่ได้ที่จะสงสัยความสามารถในการทำงานของคุณจริงๆ…”
เมื่อผู้จัดการเปิดหนังสือพิมพ์ ก็มีรูปขนาดใหญ่ของมู่หรงเสวี่ย ที่หัวข้อข่าวเขียนไว้ว่าลูกสาวของมู่หรงกรุ๊ปจริงๆแล้วเป็นประธานของบริษัทเจวี๋ยลี่จริงหรือเปล่า?!!! เขาเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ถึงแม้เขาจะทำงานอย่างหนักแต่ก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
เสี่ยวหลิง พนักงานสาวที่อยู่อีกฝั่งมีสีหน้าที่ตกใจมากกว่าอีก สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นขาวซีด เธอเพิ่งจะทำตัวหยาบคายกับประธานของบริษัทตัวเอง
แต่ยังไงซะเขาก็เป็นผู้จัดการ สุดท้ายเขาก็กลับมาวางมาดและเดินเข้าไปหามู่หรงเสวี่ยอย่างเคารพ “ผมไม่รู้ว่าท่านประธานจะมาด้วยตัวเอง ขอโทษด้วยที่ทำตัวไม่สุภาพ!” เขาโค้งตัวเล็กน้อย ในหัวใจรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร รู้สึกว่าตัวเองสร้างความประทับใจที่ไม่ดีต่อหน้าท่านประธาน
มู่หรงเสวี่ยพูดเพียงแค่ว่า “อืม” แล้วก็หันเดินเข้าไปข้างใน “ไปเถอะ เข้าไปคุยกันในออฟฟิศ!”
“ครับ!” หลังจากที่เดินไปได้สองก้าว ผู้จัดการก็หันหลังมาหาอีกฝ่ายและพูดกับพนักงานสาว “เธอกลับไปได้แล้ว ไม่ต้องมาทำงานแล้ว ส่วนเรื่องเงินเดือนแผนกบัญชีจะจัดการโอนให้เอง!” หลังจากที่พูดจบ เขาก็รีบเดินไปข้างหน้ามู่หรงเสวี่ยเพื่อนำทางทันที เขาไม่กล้าที่จะถามถึงหลงอี้ที่อยู่ข้างหลังมู่หรงเสวี่ย เพราะเดาว่าพวกเขาน่าจะเป็นบอดี้การ์ดหรืออะไรสักอย่าง
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ขึ้นลิฟต์แต่เดินขึ้นบันไดแทน ในแต่ละชั้นก็จะแอบมองสภาพของพนักงานในบริษัทสาขาไปด้วย
เกือบจะทุกแผนกว่างเปล่าและมีการควบคุมหลายตำแหน่ง มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ทำให้ผู้จัดการที่อยู่อีกด้านถึงกับเหงื่อตก สถานการณ์ของบริษัทสาขาเทียบไม่ได้กับสำนักงานใหญ่ เหตุผลหลักก็เพราะคนที่มีความสามารถในเมืองเล็กๆแบบนี้หาได้ยากและพวกคนที่มีความสามารถก็ไม่ยอมที่จะย้ายมาอยู่ในเมืองเล็กๆ มีหลายคนที่เลือกจะอยู่ในเมืองใหญ่มากกว่า
สถานการณ์ฐานเกษตรและโรงงานอยู่ในเกณฑ์ดีพอสมควรเนื่องจากยังมีกำลังแรงงานส่วนเกินจำนวนมากในชนบท และผู้หญิงชาวนาหลายคนมักไม่มีอะไรทำที่บ้าน ดังนั้นจึงมีคนเพียงพอในโรงงานและฐานการเกษตร ตรงกันข้ามกับพนักงานในบริษัทที่ห่างไกลจากคำว่าเพียงพอไปมาก
มู่หรงเข้าไปนั่งอย่างเป็นธรรมชาติในตำแหน่งที่สูงที่สุด และพูดกับผู้จัดการด้วยเสียงธรรมดา “รายงานเรื่องสถานการณ์ของบริษัทสาขามาที!”
“ครับท่านประธาน! อย่างที่คุณเห็น บริษัทสาขาค่อนข้างขาดคน โรงงานและฐานการเกษตรเริ่มดำเนินการผลิตแล้ว ผลิตภัณฑ์ชุดแรกกำลังจะออกในวันนี้ ร้านค้ากำลังปรับปรุงใหม่ คาดว่าจะใช้เวลาอีกหนึ่งสัปดาห์…”
มู่หรงเสวี่ยฟังผู้จัดการรายงานอย่างตั้งใจ “พนักงานต้อนรับเป็นอะไร? พนักงานที่รับเข้ามาไม่ได้รับการฝึกหรือไง?” ถ้ามีพนักงานแบบนี้อยู่ในบริษัทแล้วเธอจะมั่นใจได้ยังไง
สีหน้าของผู้จัดการเปลี่ยนเป็นซีดเผือดเล็กน้อย และเขารู้สึกกังวลแต่ก็ยังตอบออกไปตรงๆ “พูดตามตรง มีการฝึกแล้วครับ เรื่องนี้เป็นการละทิ้งหน้าที่ของผมเอง หลังจากที่ผมมอบหน้าที่ให้ฝ่ายบุคคลแล้ว ผมก็ไม่ได้เข้าไปตรวจสอบเลย…”
มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว เธอไม่ค่อยพอใจกับคำตอบแบบนี้ หลังจากที่ฝึกแล้ว แต่พนักงานก็ยังเป็นแบบนี้ ดูเหมือนสถานการณ์ของฝ่ายบุคคลจะไม่ดีเท่าไรเลย เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าพนักงานของสำนักงานสาขาจะอยู่ในสภาพนี้ซึ่งแย่กว่าที่เธอคาดไว้มาก อย่างไรก็ตามเธอเข้าใจได้ว่าผู้จัดการไม่ได้ขี้เกียจ เหตุผลน่าจะเป็นเพราะเขามีเรื่องที่ต้องทำมากเกินไป
Related