บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ อานเจียเย้นปรากฏรอยยิ้มอันแสนเย็นชาอยู่บนใบหน้า รอยยิ้มอันหนักหน่วง จนแสดงให้เห็นการเยาะเย้ยอย่างชัดเจน
ดวงตาของลี่เฉินซีกลับเย็นชา แต่ไม่ได้พูดอะไร ดวงตาดุร้ายดั่งคบเพลิง พลางจ้องมองเขาอย่างเย็นชา โดยไม่กะพริบตาเลย
“ไม่ทราบว่าท่านประธานลี่ คำว่า ‘ปล่อย’ ที่คุณจำกัดความ มันชี้ไปถึงอะไรครับ” อานเจียเย้นถามย้อนกลับ
ปล่อยตัวซูย้าว หรือว่าปล่อยให้เธอเป็นแพะรับบาป เพราะนี่มันมีความหมายได้ทั้งสองอย่าง
ลี่เฉินซีจ้องมองเขาตาเขม็ง พลันพูดด้วยน้ำเสียงอัดแน่น ไร้คลื่นความรู้สึก “โครงการเหมืองแร่คาลาเวอไรต์นี้ นี่คุณยังมองไม่ออกอีกเหรอว่าผมเอ่ยถึงเรื่องอะไรอยู่?”
ความหมายอีกนัยหนึ่ง ตอนที่เขากำลังเตรียมทำโครงการเหมืองแร่คาลาเวอไรต์นี้นั้น ซึ่งตนเองได้เตรียมการในการแลกเปลี่ยนตัวซูย้าวเอาไว้แล้ว อานเจียเย้นต้องการเป้าล่อเป็นเกราะกำบัง เอาไว้เป็นแพะรับบาปสำหรับทุกเรื่องที่อยู่ภายนอก เช่นนั้น บุคคลที่ได้รับเลือก เขายินดีที่จะใช้ตัวเอง
อานเจียเย้นหุบรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าทันที พลางมองเขาอย่างเงียบๆ และถอนหายใจยาวออกมาเล็กน้อย และปรับน้ำเสียงที่พูดออกมาอย่างเย็นชามาก “ความหมายของท่านประธานลี่ผมเข้าใจดี แต่ว่า คุณให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
“ได้ลงบันทึกให้การกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นยังเป็นสายให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจะถูกกันเป็นพยานที่ได้แสดงพฤติกรรมในการกระทำผิดต่อไป แสร้งทำเสียสละบริษัทลี่ซื่อ แถมยังมีกรุ๊ปเจียงซื่อกับบริษัทLG ที่เป็นเพื่อนคุณเป็นต้น โดยเรียกความสนใจให้ผมปรากฏตัว จนสามารถพูดได้เลยว่า วิธีการล่อเสือออกจากถ้ำของท่านประธานลี่ ถือว่าเป็นวิธีฉลาดพอตัว แต่ช่างน่าเสียดาย มันยังไม่ถึงขั้นมีทักษะฝีมือขั้นเทพ”
อานเจียเย้นมีหูตากว้างไกล ราวกับเป็นใยแมงมุมขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง จนชักเส้นใยอย่างหนาแน่น วางกรอบจนกระจายไปทั่ว แม้ว่าตัวเขาเองไม่ได้อยู่ที่เมือง A แต่ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นทางนี้ สิ่งที่เขากับซูย้าวพูดอะไร คุยอะไรเพียงเล็กน้อย เขากลับรู้ทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
ดังนั้น การที่ลี่เฉินซี ลู่ส้าวหลิงและเจียงจี้เซิงทั้งสามคนไว้ลงมือทำรวมถึงแผนการบางอย่าง เขาจะไม่รู้เหรอ?
ถ้าเขารู้ทุกอย่างนี้แล้ว ยังจะให้พวกเขาลงมือทำต่อไปหรือ เช่นนั้นมันก็เป็นไอ้งั่งอย่างสมบูรณ์แบบกันถ้วนหน้า
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วแน่น “ถ้าคุณรู้ทุกอย่างแล้ว งั้นคุณก็น่าจะรู้ว่า ผมไม่ได้เป็นคนเสนอตัวติดต่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเอง พวกเขาได้ตรวจสอบเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณอย่างละเอียดแล้ว ซึ่งมันไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับผมมากนัก เวลานี้ ถ้าคุณต้องการจะโยนทุกอย่างมาเป็นชื่อผม นั่นก็ไม่ใช่จังหวะพ้นโทษที่ดีที่สุดหรอกเหรอ?”
“พ้นโทษ?” อานเจียเย้นได้ยินคำเสียดหูจนแสดงอาการรังเกียจออกมา รอยยิ้มเล็กน้อยที่อยู่บนใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาพลันเย็นชาทันที
ส่วนลี่เฉินซีไม่ได้พูดอะไรต่อ พลันถลำสู่ความเงียบงันชั่วครู่
อานเจียเย้นครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่สักพัก ถึงได้พูดว่า “บางทีอาจจะทำได้ แต่มันต้องเปลี่ยนอะไรสักหน่อย ชิงชิงกับคุณโม่ต้องอยู่ฝั่งทางผมต่อไป”
เขาจงใจหยุดพูดเล็กน้อย จึงพูดต่อ “อ้อใช่สิ ภรรยายังสาวคนใหม่ของประธานเจียงคนนั้น ชื่ออะไรนะ เหมือนชื่อคุณเซียว ผมไม่ได้จำผิดใช่ไหม?”
เจียงจี้เซิงที่นักอยู่บนโซฟาที่ห่างอยู่ไม่ไกลนักได้ยินกับหู พลันแสดงท่าทางเย็นชาลงอย่างเฉียบพลัน พลันช้อนสายตาดั่งนกฟีนิกส์ขึ้น แสดงอาการหนาวเหน็บอย่างไม่อยากจะเชื่อทอประกายออกมาจากดวงตาอย่างเต็มเปี่ยม
ใบหน้าลี่เฉินซีบูดบึ้งและหม่นหมอง อย่างเต็มพิกัด “นี่คุณหมายความว่ายังไงกัน?”
“ตราบใดที่พวกคุณคอยทำตามคำสั่ง พวกเธอก็จะไม่มีอันตราย มิเช่นนั้น …” อานเจียเย้นจงใจลากเสียงยาว พลันเหลือบมองลี่เฉินซีบนหน้าจออย่างดูถูกและรู้สึกสนใจ “ซึ่ง ไม่เกี่ยวข้องชิงชิง ผมจะไม่ทำร้ายเธอ อีกอย่างเธออยู่กับผมที่นี่ มีแต่ความสุขมากกว่าเดิมอยู่แล้ว”
“เธอไม่ใช่อานหว่านชิง เธอเป็นภรรยาของผม!” ลี่เฉินซีใช้เสียงทุ้มต่ำ พูดเน้นทุกคำ
ทว่าอานเจียเย้นกลับยิ้มแต่ไม่พูดอะไร ได้แต่หรี่ตามองเขาเอาไว้ สักพัก ถึงได้ขยับริมฝีปากบางพูดอย่างเฉยเมยออกมา “ตกลงแล้วว่าเธอคือใคร ตอนนี้มันยังไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ชิงชิงจะเลือกเอง ลี่เฉินซี อย่างลืมนะว่าเกมนี้ ใครเป็นผู้คุมเกม พวกคุณต้องฟังคำสั่งจากใคร?”
“ถ้าพวกคุณอยากให้พวกเธอปลอดภัยไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด เช่นนั้น จะทำอะไรก็ไม่ควรให้ผมมาคอยตักเตือนใช่ไหม!”
เมื่อพูดจบ ทางอานเจียเย้นจึงสิ้นสุดการวิดีโอคอลทันทีโดยอัตโนมัติ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ดำมืดอีกครั้ง เหลือเพียงโค้ดตัวเลขที่กระโดดไปมาเป็นแถบอย่างไม่หยุดหย่อน ชั่วครู่ จึงกลับมาเป็นการพักหน้าจอแทน
ลี่เฉินซีโกรธจัดจนต้องหลับดวงตาอันแสนเย็นชาลง พลันยกมือขึ้นมาปลดเนคไท ตอนที่ลืมตาอีกครั้งนั้น มันเป็นการระงับความหม่นหมองในดวงตาอย่างเต็มกำลังแล้ว ภาพลวงตาที่อยู่นัยน์ตาสดใสราวกับสายน้ำเมื่อโทรศัพท์ไปที่บ้าน ก็ไม่มีคนรับสายเช่นเดิม
เลขาฯของเขาก็วิ่งกระหืดกระหอบมาจากด้านนอกและเข้ามาในห้อง ด้วยอาการร้อนรนจนลืมเคาะประตูด้วยซ้ำ และพูดทันทีเมื่อเข้ามาด้านในจนหายใจติดขัด “ท่านประธานเจียงครับ เกิดเรื่องขึ้นแล้วครับ!”
เลขานุการปาดเหงื่อบริเวณหน้าผาก และพูดต่อด้วยน้ำเสียงเดิม “ผมเพิ่งได้รับข่าวมา ตอนที่คุณนายกับพี่เลี้ยงไปเดินห้าง กลับโดนคนจับตัวไปแล้ว คนที่พวกเราให้ไปคุ้มครองคุณนาย ก็เกิดเรื่องขึ้น ตอนนี้ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว!”
“ลูกสาวของฉันล่ะ?” เจียงจี้เซิงถามกลับอย่างร้อนใจ
เลขาฯตอบกลับ “คุณหนูน้อยถูกทิ้งอยู่ที่ห้างครับ ผมได้ให้คนไปรับแล้ว คุณรอสักพัก…”
ตอนที่เขาพูดนั้น พลันหันตัววิ่งออกไปทางด้านนอก ผ่านไปชั่วครู่ เลขาฯจึงอุ้มเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยเข้ามา เจียงจี้เซิงรีบลุกขึ้นทันที พลันพุ่งตัวไปรับลูกสาวเข้าสู่อ้อมกอด และกอดเอาไว้แน่น
เด็กน้อยยังไม่ค่อยเข้าใจถึงรายละเอียดที่เกิดขึ้น พลันใช้มือกอดของชายหนุ่มตามสัญชาตญาณทันที แถมยังหอมแก้มเขาอย่างสนิทสนม “ปาปะ”
เจียงจี้เซิงมองหน้าลูกสาว หัวใจหดหู่ พลันวางตัวลูกสาวไว้บนโซฟาไว้ก่อน และยืดตัวตรงเดินไปทางเลขานุการ และเดินอ้อมมาที่ด้านข้างโต๊ะทำงาน “อานเจียเย้นลักพาตัวผู้หญิงของพวกเราทุกคนไปหมด นี่เขา…บ้าชะมัด!”
“อย่าเพิ่งร้อนใจไป” น้ำเสียงลี่เฉินซีทุ้มต่ำและเฉยเมยมาก แถมยังเบามากเช่นกัน แต่ขมวดหัวคิ้วไว้แน่น จนแสดงความเศร้าโศกออกมาให้ “พวกเธอไม่เป็นไรหรอกช่วงนี้ พวกนายก็ใจเย็นเอาไว้ก่อน”
“ใจเย็น ใจเย็นอะไรล่ะ!” เจียงจี้เซิงน้ำเสียงแหบพร่าอย่างอดไม่ได้ “นายนอกจากพูดว่าใจเย็นแล้วยังจะพูดว่าอะไรได้อีก? อาไน่ตกระกำลำบากกับฉันมาตั้งมากมายมาตลอด ฉันไม่เคยให้ความสุขกับเธอจริงๆ แม้สักวันเดียว ตอนนี้กลับถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องต้นเหตุเพราะฉัน ถ้าเธอเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ฉัน …”
ไม่ให้เขาพูดต่อ ลี่เฉินซีพลันลุกขึ้นและพูดตัดบททันที “ไม่ใช่แค่อาไน่คนเดียวนะ ซูย้าวกับชิงชิงก็ถูกจับตัวไปเช่นกัน คนใดคนหนึ่งในพวกเธอเกิดเรื่องขึ้น นายคิดว่าพวกเราจะรู้สึกสบายใจหรือยังไงกัน?”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ใช่เพียงเจียงจี้เซิงเข้าใจในความสำคัญของเซียวไน่ เวลาเดียวกัน ลี่เฉินซีก็รักซูย้าวมาก ถ้าเธอเกิดเรื่องขึ้น งั้นเขาก็คง…
ลู่ส้าวหลิงเองสาวเท้าก้าวยาวเดินมาหา พลันใช้มือตบไหล่เจียงจี้เซิงอย่างแผ่วเบา “นายมันตื่นเต้นจนเกินเหตุ ซึ่งสภาพมันก็เหมือนกับฉัน จี้เซิง ผู้หญิงของพวกเราต่างถูกจับตัวกันไปหมดแล้ว ฉะนั้นพวกเราจึงต้องใจเย็นให้มาก และต้องสามัคคีกันไว้มากกว่าเดิม เพื่อทำทุกอย่างในการช่วยเหลือพวกเธอทั้งหมดสิ!”
“หากทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด นายรู้ว่าอานเจียเย้นจะพาพวกเธอไปไหนใช่ไหม?”
พูดกันไม่กี่คำ เจียงจี้เซิงก็นิ่งเงียบสนิททันที
เขาไม่รู้ ลี่เฉินซีเองก็ไม่รู้ ลู่ส้าวหลิงก็ตรวจสอบไม่ได้สักที
อำนาจบารมีของอานเจียเย้นช่างยิ่งใหญ่นัก และมีทรัพย์สินมหาศาล อสังหาริมทรัพย์ขนาดมหึมาและบ้านส่วนตัวของเขาอีกนับไม่ถ้วนที่เป็นชื่อของเขาในต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้หากให้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว อย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายปีพอควร!
ตอนแรกอานเจียเย้นก็ลักพาตัวซูย้าวไปแล้ว ลี่เฉินซีควานหาตัวอยู่นาน ยังไม่ได้ร่องรอยใดๆ ที่มีประโยชน์อะไรเลย แล้วสถานการณ์ในตอนนี้ล่ะ!
เจียงจี้เซิงพยายามเก็บงำความรู้สึกอันเดือดพล่านที่อัดแน่นเต็มอกเอาไว้ และสูดลมหายใจเข้าออกตามปกติ จนสีหน้ากลับมาสงบขึ้นมา นัยน์ตาลึกซึ้งอยู่ไม่น้อย “โอเค ใจเย็นเข้าไว้ พวกเราหยุดเคลื่อนไหวกันสักระยะ ได้หมดนะ ฉันเชื่อนาย”
ลี่เฉินซีถอนหายใจเบาๆ และเดินอ้อมไปยังโต๊ะทำงานและเอามือทาบบนไหล่ของเจียงจี้เซิง “สิ่งเดียวที่พวกเราทำได้ในเวลานี้ ก็คือเชื่อมั่นตนเอง และเชื่อมั่นพวกเธอ พวกเธอทุกคนต่างเป็นผู้หญิงคนที่พวกเรารักใคร่ทั้งนั้น น่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้”
“อาจจะนะ!” เจียงจี้เซิงเศร้าโศกเป็นอย่างมาก พลางถอนหายใจอย่างหมดเรี่ยวแรง “แต่ว่า เมื่อเอาคำว่าเสียสละลองมาเปรียบเทียบกันดูแล้ว นายเสียสละมากที่สุดแล้ว เฉินซี เรื่องนั้นเมื่อไหร่ถึงเวลาที่แกควรจะบอกซูย้าวสักที?”
“ใช่ว่าฉันไม่อยากพูด แต่ทางนั้นเองก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย เลยไม่มีโอกาสประจวบเหมาะ รอต่อไปก่อน” ลี่เฉินซีเอนด้านข้างพิงข้างโต๊ะทำงาน พลันหยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวน แล้ววางไว้ที่ริมฝีปากและจุดสูบ
ลู่ส้าวหลิงขมวดคิ้วไว้แน่น “ลูกกับเมีย ถูกดึงเข้าไปร่วมด้วย ถ้าสำเร็จแล้ว นายก็จะบรรลุจุดประสงค์ ถ้าหากแพ้แล้ว ก็จะไม่เหลืออะไรสักอย่างเลยนะ!”
ลี่เฉินซีคลี่รอยยิ้มแผ่วเบาอย่างไร้เรี่ยวแรง พลันค่อยๆ พ่นควันบุหรี่หนาทึบออกมาจากปาก “แต่ได้แต่หวังให้เป็นไปตามข้อแรกแล้วกัน”