“โอเค ตอนนี้ก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมจริงๆ” โม่หว่านหว่านพยักหน้ารับคำกำชับของเธอ “ฉันจะไม่พูดอะไรกับคนอื่น แต่ว่านะย้าวย้าว ในเมื่อตั้งครรภ์แล้ว เช่นนั้นก็ต้องระมัดระวังเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายถึงจะถูก”
“มากน้อยอย่างไรก็ต้องคิดเผื่อลูกด้วย” โม่หว่านหว่านมองเธออย่างสงสาร ภายในระยะเวลาสั้นๆไม่กี่วัน ซูย้าวผอมลงไปมาก บวกกับไม่กินไม่ดื่มติดกันหลายวันก่อนหน้านี้ ทั่วทั้งร่างเธอในตอนนี้จึงผอมราวกับหนังหุ้มกระดูก มองดูแล้วตรอมใจมากเกินไป
โม่หว่านหว่านเดินไปที่ห้องอาหาร ยกโจ๊กออกมาชามหนึ่ง ส่งให้ซูย้าวช้าๆ “มากน้อยอย่างไรก็กินสักหน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้นลูกจะทำอย่างไร”
ซูย้าวฝืนทำท่าทางกระปรี้กระเปร่า พยายามฉีกยิ้ม ยกโจ๊กชามนั้นขึ้นมา ค่อยๆกินเข้าไปหลายคำ
มีโม่หว่านหว่านอยู่เป็นเพื่อนเธอ ก็สามารถทำให้เวลาผ่านไปเร็วขึ้น ไม่อย่างนั้น เธออยู่คนเดียวก็มักจะคิดเพ้อเจ้อไร้สาระอย่างเลี่ยงไม่ได้
แม้ว่าลี่เฉินซีจะไม่ได้บอกเธอว่าหลายวันนี้ยุ่งเรื่องอะไร แต่ข่าวใหญ่ครึกโครมล้วนกำลังแย่งกันรายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องการประมูลเสนอราคาเหมืองแร่คาลาเวอไรต์ เรื่องหลักๆที่เขากำลังยุ่งอยู่นั้นก็น่าจะเป็นเรื่องนี้เช่นกัน
ซูย้าวมักจะรู้สึกว่าโครงการเหมืองแร่คาลาเวอไรต์มีปัญหา แม้ว่าจะไม่ได้ตรวจสอบละเอียด แต่ในเมื่อลี่เฉินซีตัดสินใจแล้ว เธอก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร หวังว่าการเลือกของเขาจะถูกต้องนะ!
สาเหตุที่โม่หว่านหว่านอุ้มลูกมาอยู่กับเธอเป็นเรื่องหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะลู่ส้าวหลิงก็กำลังยุ่งอยู่เช่นกัน เมื่อเธอว่าง ก็ไม่มีอะไรจะทำ สามารถอยู่เป็นเพื่อนซูย้าวได้ก็ดีเช่นกัน
ทั้งสองคนอยู่เป็นเพื่อนซึ่งกันและกัน ทั้งยังมีเด็กชายตัวน้อยที่ช่วยทำให้เวลาผ่านไปเร็วขึ้น หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับดีดนิ้ว ลี่เฉินซีก็ยังไม่กลับมา คาดว่ายุ่งเกินไปจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้
ลู่ส้าวหลิงก็เช่นกัน ดังนั้นโม่หว่านหว่านจึงพาลูกมาค้างคืนที่นี่ ค่ำคืนอันยาวนาน ซูย้าวยืนอยู่ข้างบานหน้าต่าง สีหน้าอาบย้อมไปด้วยความวิตกกังวล
เวลาผ่านไปไม่นาน เธอรู้สึกได้ว่าความรู้สึกนั้นห่างไกลจนยากจะเอื้อมถึง มีเพียงสิ่งเดียวที่อยากทำก็คือนำสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกๆกลับคืนมา สามารถเลี้ยงดูลูกๆให้เติบใหญ่ได้ก็หมดห่วงและเพียงพอแล้ว
ทว่าเวลานั้นผ่านไปรวดเร็ว เมื่อลองมองดูแล้ว ดูเหมือนว่าเธอกับลี่เฉินซีจะอยู่ในสภาพการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ สิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี้ล้วนอยู่ด้วยตลอดเวลา
เกิดเรื่องขึ้นมากมายขนาดนี้ เธอก็ประจักษ์ชัดในสิ่งต่างๆ ถ้าหากว่าไม่ได้มีเขาอยู่ด้วย เธอตัวคนเดียวไม่ได้มีความกล้าหาญและเชื่อมั่นมากขนาดที่จะเผชิญหน้าได้
ลี่เฉินซี เป็นชายหนุ่มที่เธอตกหลุมรักแรกพบแต่เด็ก ดื้อดึงที่จะอยู่ด้วยกันโดยไม่ฟังคำเตือนของใคร และรักเดียวใจเดียวอย่างลึกซึ้งมั่นคง สำหรับเธอแล้วไม่ใช่คนที่เข้ามาแล้วจากไป หรือคนที่มีส่วนร่วมสำคัญธรรมดาๆแบบนั้น สำหรับเธอแล้ว เขาสำคัญมาก และมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น
ซูย้าวหลับตาลงอย่างไร้เรี่ยวแรง รู้สึกใจคอไม่ดีอย่างอดมิได้ หวังว่าเขาจะปลอดภัยไร้อันตราย จะต้องปลอดภัยไร้อันตรายแน่นอน
ในชีวิตของเธอแทบจะไม่เคยอธิษฐานขอพรจากพระ กระทั่งปีที่มารดาประสบภัยเสียชีวิต เธอก็ไม่ได้เลื่อนลอยจนต้องการความช่วยเหลือแบบนี้ แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน ตอนที่ลี่หมิงป่วยจนหมดหนทางเยียวยา เธออธิษฐานอย่างใจจริง หวังว่าสิ่งที่เรียกว่าเทวดาหรือพระเจ้าทั้งหลาย จะสงสารเด็กตัวน้อยๆคนนี้ แม้ว่าจะให้ความทุกข์ทรมานทั้งหมดนี้อยู่บนร่างเธอ ก็ไม่เจ็บแค้นและไม่เสียใจภายหลัง
แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงผิดหวัง
และในครั้งนี้ เธอไม่อยากจะขอพรอธิษฐานกับพระอีก แต่กลับยินยอมที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดฝากฝังไว้กับคำภาวนาให้ลี่เฉินซีอยู่ดีมีสุข เปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดี
วันรุ่งขึ้น ทางด้านลี่เฉินซียังคงไม่มีข่าวคราวใดๆ ในโทรทัศน์ล้วนเป็นข่าวการประชุมใหญ่เรื่องการเสนอราคาต่างๆ แต่คล้ายกับว่าถูกคนจงใจปิดข่าว ดังนั้นสิ่งที่เหล่านักข่าวรายงานล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สลักสำคัญอะไร
ซูย้าวอกสั่นขวัญแขวน เดินวนกลับไปกลับมาอยู่ในห้องรับแขกด้วยความกังวล โม่หว่านหว่านกล่อมลูกชายให้หลับเรียบร้อยแล้ว ก็มาอยู่เป็นเพื่อนเธอ “พอแล้ว จะไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับพวกเขาหรอก”
โม่หว่านหว่านเดินเข้ามา ดึงมือเธอให้นั่งลง เทน้ำแกงโสมที่พี่เลี้ยงเคี่ยวชามหนึ่งแล้วยื่นให้เธอ “เธอคิดดูนะ ไม่ใช่เพียงแค่เฉินซีคนเดียว ยังมีส้าวหลิงกับประธานเจียง พวกเขาอยู่ด้วยกันหลายคน เธอก็ยังไม่วางใจหรือ”
ซูย้าวไม่ได้เป็นกังวลเรื่องความสามารถของพวกเขาหลายคน เพียงแต่อานเจียเย้นคนนี้มีแผนการร้ายมากเกินไป ถ้าหากว่า…
นัยน์ตาเธอหม่นหมอง เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ น้ำแกงที่มาถึงปากก็ดื่มไม่ลง สุดท้ายก็วางลง และในตอนนี้เองโทรศัพท์มือถือที่เงียบงันมานานดังขึ้น
ซูย้าวตอบสนองด้วยการหันกลับไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ดูสายที่โทรเข้ามาอย่างรวดเร็ว และกดรับสายนั้นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “เฉินซี?”
“ในที่สุดก็รู้ว่าควรจะเรียกผมว่าอย่างไรแล้วสินะ” น้ำเสียงน่าฟังของลี่เฉินซีที่ดังมาจากอีกฟากของสายโทรศัพท์ ยังคงเย้ายวนน่าดึงดูด
เห็นได้ชัดว่าบนใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่กลับใช้น้ำเสียงราบเรียบไม่ใส่ใจเอ่ยว่า “ถ้าหากว่าเปลี่ยนเป็นคำว่าสามี ผมจะดีใจมากกว่านี้ ไม่สู้เรียกสามีให้ฟังสักคำหนึ่ง?”
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกไป ทางซูย้าวยังไม่ได้พูดอะไร ส่วนเจียงจี้เซิงกับลู่ส้าวหลิงที่นั่งอยู่ไม่ไกลบนโซฟากลับเหลือบมองมาทางเขาด้วยสีหน้ารังเกียจ
เป็นธรรมดาที่ลี่เฉินซีจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เอ่ยหยอกเธอต่อไปว่า “เรียกสิ ผมฟังอยู่นะ”
ซูย้าวขมวดคิ้ว “อย่าเล่นน่ะ ทางคุณเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ดี ถือว่าทั้งหมดราบรื่นนะ” เขาเอ่ยเรียบๆ เดิมเขาจะต้องชนะการเสนอราคาในครั้งนี้ พร้อมกับที่เจียงจี้เซิงและลู่ส้าวหลิงให้ความร่วมมือ จึงเท่ากับกลายเป็นเสือติดปีก
เพียงแต่รายละเอียดการประชุมเสนอราคาจะถูกประกาศหลังจากนี้ไปสามวัน และช่วงเวลานี้ก็เป็นช่วงที่เขาเตรียมสิ่งอื่นๆเอาไว้รองรับแรงกระแทกพอดี
ลี่เฉินซียกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วที่ขมวดอย่างไม่ได้ตั้งใจ “ย้าวย้าว ผมไม่เชื่อคุณ สุดท้ายแล้วก็ยังคงประมูลโครงการเหมืองแร่คาลาเวอไรต์ คุณคงจะไม่โกรธใช่ไหม”
ทางด้านซูย้าวก็ยิ้มอ่อนโยน “เรื่องที่คุณปิดบังฉันก่อนหน้านี้มาโดยตลอด คาดว่าเป็นเรื่องนี้สินะ!”
เธอพูด ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “คุณให้ฉันเชื่อคุณแล้ว ฉันจะโกรธอะไรอีกคะ ขอเพียงแค่คุณปลอดภัยไร้อันตรายใดๆ สำหรับเรื่องอื่นๆนั้น ไว้ค่อยคุยกันวันหลังเถอะค่ะ!”
สิ่งที่เรียกว่าให้ความสำคัญกับความรักมากเกินไป และกระเง้ากระงอดแง่งอนเหล่านั้น ล้วนรอให้ทั้งสองฝ่ายมั่นคงก่อน เธอค่อยไปทะเลาะเรื่องไร้สาระพวกนี้ ทว่าในตอนนี้ กับทางด้านอานเจียเย้นก็ราวกับต้องเผชิญหน้ากับศัตรูอันแข็งแกร่งแล้ว เธอจะเพิ่มเรื่องกลุ้มใจให้เขาเพราะเหตุนี้ได้อย่างไร
เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่เข้าใจเหตุผล ชื่นชอบหาเรื่องสักหน่อย?!
“โครงการเหมืองแร่คาลาเวอไรต์จะต้องมีปัญหาแน่นอน แต่ถ้าหากว่าคุณคิดดีและมีแผนการแล้ว อย่างนั้นฉันก็จะไม่ถามอะไรให้มากความ เฉินซี คุณจะต้องปลอดภัย เพื่อเจิ้งเอ๋อ และเพื่อซีซี…”
เธอลากเสียงยาวแผ่วเบา น้ำเสียงที่ค่อยๆเงียบหายไป ทำให้ทางด้านลี่เฉินซีร้อนอกร้อนใจ จนอดมิได้ที่จะเอ่ยว่า “จะพูดว่ายังมีคุณด้วยอีกสักประโยคหนึ่งไม่ได้หรือ คุณน่ะ นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังมองความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณไม่ออกอีกหรือ”
ซูย้าวยิ้มจนปัญญา พยักหน้าหงึกหงัก “มองออกค่ะ แต่ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ ปลอดภัยก็พอแล้ว จำเอาไว้ว่าต้องระมัดระวังตัวให้มาก”
ทางด้านชายหนุ่มรับคำ และพูดคุยกันอีกหลายประโยค ก่อนจะวางสายโทรศัพท์ลง
ทางลี่เฉินซียังคงยุ่งมาก ซูย้าวไม่อยากจะเบี่ยงเบนสมาธิเขามากเกินไป แค่การโทรศัพท์หาสายหนึ่ง ก็ทำให้จิตใจที่ไม่สงบของเธอ ผ่อนคลายลงไม่น้อย
กระทั่งโม่หว่านหว่านก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ “ดูสิ สายโทรศัพท์เดียวจากสามียังมีประโยชน์กว่าหลายร้อยประโยคที่ฉันพูด ดูท่าจะเป็นพลังเวทมนตร์แห่งความรัก…”
“อย่าเล่นสิ เธอก็เป็นห่วงส้าวหลิงไม่ใช่หรือ ไม่โทรศัพท์ไปถามล่ะ” ซูย้าวกำลังพูด โทรศัพท์ของโม่หว่านหว่านก็ดังขึ้น เธอรีบให้สัญญาณและหมุนตัวเดินกลับไปรับโทรศัพท์
ซูย้าวนั่งพิงอยู่บนโซฟาอย่างอารมณ์ดีเล็กน้อย ในขณะที่คิดอะไรอยู่ ก็มีเสียงกริ่งดังมาจากประตูหน้าบ้าน
เพราะว่าแม่เลี้ยงอยู่ในห้องครัว ระยะทางไกลเล็กน้อย ซูย้าวก็ว่างไม่มีอะไรทำ จึงลุกขึ้นเดินตรงไปเปิดประตู
เมื่อเปิดประตูหน้าบ้านออก เธอก็ตะลึงค้าง
คนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ก็คือเพ้ยส้าวหลี่
ชายหนุ่มยังคงเท่ห์เหมือนคราแรก สวมชุดสูทและรองเท้าหนัง เป็นเพราะสภาพอากาศที่ค่อยๆเย็นลง ด้านนอกจึงคลุมด้วยเสื้อโค้ทตัวยาวดูดีมีสไตล์ หล่อเหลาสง่างาม
เพียงแต่ซูย้าวยังคงคิดถึงเหตุผลที่เขามาเยือนที่นี่ไม่ออก จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามว่า “มีธุระหรือ?”
“ไม่ถามผมว่าไปหาลี่เฉินซีมาหรือไม่ ดูท่า คุณเห็นผมก็รู้แล้วว่า ผมน่าจะมาพบคุณ” เขาหยอกล้ออย่างไม่ใส่ใจ ยามที่นัยน์ตาลึกล้ำชวนให้ผู้คนหลงใหลมองมาที่เธอ ก็ยังคงลึกซึ้งเหมือนเดิม
ซูย้าวขมวดคิ้ว ไร้ซึ่งความกระฉับกระเฉงและคึกคักในวันวาน เพียงแค่เอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “มีเรื่องอะไรกันแน่”
“มีเรื่องนิดหน่อย อยากจะคุยเรื่องลี่เฉินซีกับคุณ” เพ้ยส้าวหลี่เอ่ย และก้าวผ่านเธอ เดินตรงเข้าไป