“ดูจากที่ข้าพูดอะไรมา ต่อให้เป็นเจ้า มู่อวิ๋นซีก็บอกว่าเป็นเจ้าแล้ว” มู่จื่อโหรวแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก สีหน้าที่มองมู่อวิ๋นซีดูซับซ้อนเล็กน้อย
จันเยว่หน้าซีด “เจ้าพูดเหลวไหล!”
“เจ้าคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับมู่จื่อโหรวดีจนข้าสามารถปกป้องนางไว้?” มู่อวิ๋นซีมองจันเยว่อย่างเย็นชา
แม้ว่าจะเกลียดมู่จื่อโหรว แต่ในตอนนี้ กลับต้องการจันเยว่ซวยมากกว่า
ไม่ใช่เพราะจันเยว่ทำชิงช้าของนางพัง แต่เป็นเพราะจันเยว่เป็นสาวรับใช้ของจวนเจ้าพระยาหย่งชาง เป็นคนของจวนเจ้าพระยาหย่งชาง
นางไม่สามารถที่ต่อกรกับจวนเจ้าพระยาหย่งชางได้ จึงได้โจมตีสาวรับใช้ของจวนเจ้าพระยาหย่งชางสักหน่อย นับว่าแอบช่วยเฟิ่งเชียนเย่ระบายอารมณ์ออกมาเล็กน้อย
“ท่านชาย…”
จันเยว่มองเฟิ่งเชียนเว่ยอย่างเสียใจ “ข้าน้อยไม่ได้……”
“ในเมื่อนางเป็นผู้ก่อเหตุทุกอย่าง” เฟิ่งเชียนเว่ยกลับไม่สนใจนาง มองมู่อวิ๋นซีด้วยสายตาหม่นหมอง “เช่นนั้นข้าจะมอบนางให้คุณหนูมู่จัดการ จะฆ่า จะแกง ก็ตามแต่ท่าน เช่นนี้ คุณหนูมู่พอใจแล้วหรือไม่?”
“พอใจ พอใจแน่นอน”
ทันทีที่นางพูดจบ เฟิ่งเชียนเว่ยก็หันหลังเดินจากไป มู่จื่อโหรวไม่ลังเลแม้แต่ลมหายใจเดียว รีบลุกขึ้นจากพื้นแล้ววิ่งตามออกไปอย่างรวดเร็ว
จันเยว่ทรุดตัวลงกับพื้นราวกับเถ้าถ่านที่ตายไปแล้ว
“ขอบคุณท่านโจวที่เป็นคนยุติธรรม” มู่อวิ๋นซีคำนับใต้เท้าโจวอย่างงดงาม
ใต้เท้าโจวกวาดสายตามองฮั่วเสี่ยวเสี่ยว แล้วหันไปมองมู่อวิ๋นซี กระซิบเบาๆ ว่า “ครั้งนี้จะยกเว้นให้!” หลังจากนั้นก็ส่งเสียงออกมา ” ในเมื่อคดีนี้ชัดเจนแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวขยิบตาให้มู่อวิ๋นซี หลังจากเดินไปได้สองก้าว ก็ย้อนกลับมามัดจันเยว่ไว้ จากนั้นก็โบกมือลามู่อวิ๋นซี
มู่เซิ่งถลึงตาใส่มู่อวิ๋นซีอย่างโหดร้าย และไม่พูดไม่จากับฮูหยินเล็กเติ้ง แล้วพากันออกไป
“ขอบคุณคุณหนู ขอบพระคุณคุณหนูขอรับ!”
พ่อบ้านอู๋ดึงอู๋ฉางเสิ้งให้คุกเข่าลงตรงหน้ามู่อวิ๋นซี แล้วกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ลุกขึ้นเร็ว!” มู่อวิ๋นซีพยุงทั้งสองคนขึ้นมา มองอู๋ฉางเสิ้งอย่างซาบซึ้งใจ “หากไม่ใช่เพราะเจ้ารีบไปเมืองหลวงเมื่อคืน และหาคุณหนูฮั่วจนเจอ แล้วชักชวนนางให้เชิญท่านโจวแห่งจินจ้าวอิ่นมา ในวันนี้คนที่โชคร้ายที่สุดก็คงเป็นข้า”
“หากไม่ใช่เพราะเป็นข้าน้อยที่ขโมยกุหลาบหินแดง……”
“เอาล่ะ!” มู่อวิ๋นซีพูดตัดคำพูดของอู๋ฉางเสิ้ง “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องเอ่ยถึงอีก หายากนักที่เจ้ายังกตัญญู แต่ครั้งหน้าหากเจอเรื่องแบบนี้อีก ให้เจ้ามาหาข้าก่อนได้”
“ขอรับ!” อู๋ฉางเสิ้งมองมู่อวิ๋นซีอย่างจริงจัง “ต่อไปหากคุณหนูมีคำสั่ง ไม่ว่าขึ้นเขาดาบหรือลงทะเลเพลิง ข้าอู๋ฉางเสิ้งจะไม่ขมวดคิ้วแม้แต่นิดเดียว”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องขึ้นเขาดาบ และก็ไม่ต้องลงทะเลเพลิง ช่วยข้าดูแลแปลงดอกไม้ให้ดีก็พอแล้ว พวกเจ้าดูสิ” มู่อวิ๋นซีย่อตัวลง และหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาวาดเป็นวงกลมบนพื้น “นี่คือน้ำพุร้อน ที่นี่…”
รอบด้านนางวาดวงกลมเล็กๆ อีกรอบ “เป็นลานเล็กๆ ที่สามารถอยู่อาศัยได้ ปกติพวกเจ้าก็ไม่ได้พักอยู่ที่นี่”
“นี่คือที่ที่กลุ่มนายท่านพักอยู่ พวกเราจะสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” พ่อบ้านอู๋อธิบาย
“ข้ารู้ ที่ข้าหมายถึงคือ ที่นี่…… ที่นี่……” นางเพิ่มวงกลมอีกวงหนึ่งอยู่ระหว่างวงกลมสองวงแทนชานเรือน “สร้างลานอีกหน่อย หลังจากนั้นนำแปลงดอกไม้เปิดสู่โลกภายนอก”
“การเปิดสู่โลกภายนอกคืออะไรขอรับ?” พ่อบ้านอู๋และอู๋ฉางเสิ้งมองหน้ากัน จับศีรษะอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้าพูดถูก ที่นี่คือแดนสวรรค์” มู่อวิ๋นซีมองอู๋ฉางเสิ้ง “แต่ดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้มีเพียงคนตระกูลมู่ของข้าเท่านั้นที่สามารถมาได้ ไม่น่าเสียดายหรือ?”
ที่สำคัญกว่านั้นคือ คนไม่มีความผิด แต่ผิดตรงที่ครอบครองสิ่งล้ำค่าที่จะไปกระตุ้นความริษยาของผู้อื่น
ไม่ว่าวันนี้จะเป็นนางที่ล่วงเกินจวนเจ้าพระยาหย่งชางไป หรือว่าจะเป็นจักรพรรดิที่ไม่ชอบท่านย่าของนาง หรือจะเป็นผู้สูงศักดิ์คนอื่นๆ เกรงว่าทั้งหมดจะริษยาที่ตระกูลมู่ของนางได้ครอบครองดินแดนมหัศจรรย์ที่อยู่ในโลกมนุษย์เช่นนี้ไว้ ภายใต้ความริษยา ใครจะรู้ว่าจะสามารถทำเรื่องบ้าๆ อะไรขึ้นได้
ดังนั้น นางต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงแปลงดอกไม้ของนาง เป็นแปลงดอกไม้ของทุกคน
“เรานำห้องที่ว่างเปล่าพวกนี้ไปขายหรือจะเช่าออกไป อย่างไรก็ตามอย่าถือไว้ในมือของเรา” มู่อวิ๋นซีจิ้มลงไปวงกลมแต่ละวง
“นี่ จะทำได้เช่นไร?” พ่อบ้านอู๋หน้าเปลี่ยนสี “นี่คือความพยายามขององค์หญิงใหญ่นะขอรับ”
“เพราะนี้เป็นความพยายามของย่า ดังนั้นจึงต้องทำอย่างนี้” มู่อวิ๋นซีอธิบายเสียงเบากับทั้งสองคนว่า “วันนี้ข้าล่วงเกินจวนเจ้าพระยาหย่งชางไป เพราะหน้าของใต้เท้าโจว เขาคงไม่มาหาเรื่อง แต่หลังจากนั้นล่ะ เจ้ารับรองได้ไหมว่าเขาจะไม่มาหาเรื่อง? เจ้าสามารถรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ไปยุยงคนอื่นให้มาสร้างปัญหา?”
“ท่านรองมู่ทำข้าอย่างไรพวกเจ้าก็เห็นแล้ว หากข้ามีปัญหา เจ้าคิดว่าเขาจะสนใจหรือ? ไม่! ดังนั้น ห้องเหล่านี้ จึงจำเป็นต้องเช่าหรือไม่ก็ขายออกไป เมื่อถึงตอนนั้น แปลงดอกไม้นี้ และนี่ไม่ได้เป็นแค่ของข้ามู่อวิ๋นซีเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นของใครก็ได้ด้วย ถึงตอนนั้นต่อให้มีคนมาสร้างปัญหา ก็ต้องชั่งน้ำหนักดูแล้ว”
“คุณหนูรองพูดถูก!” อู๋ฉางเสิ้งเข้าใจในสิ่งที่มู่อวิ๋นซีคิดไว้ แต่พริบตาก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง “แต่ถึงอย่างนั้น กลีบดอกไม้ที่เครื่องประทินโฉมของเราต้องการ เกรงว่าจะไม่เพียงพอแล้ว”
“เป็นไปได้อย่างไร?” มู่อวิ๋นซียิ้มบางๆ ดวงตาสดใสราวกับดวงดาวระยิบระยับ “ไม่ว่าจะเป็นคนที่เช่าเรือนหรือซื้อเรือน ให้บอกพวกเขาว่า ลานเรือนต้องปลูกดอกไม้ที่พวกเราต้องการ ดอกไม้ร่วงโรย กลีบดอกไม้จะกลับมาเป็นของพวกเรา และแน่นอนเราสามารถเสนอดอกไม้หลากหลายสำหรับที่จะให้พวกเขาได้เลือก”
“สำหรับดอกไม้เหล่านี้ พวกเขาสามารถดูแลพวกมันได้ด้วยตัวเอง หรือให้พวกเขาจ้างพวกเจ้ามาดูแล รวมทั้งสวนดอกไม้เหล่านั้น สามารถแบ่งกันเป็นส่วนๆ ได้ เพื่อให้พวกเขาได้ประลองกันปลูกดอกไม้……”
“เช่นนี้ หากเลี้ยงไม่ดี พวกเขายังสามารถซื้อดอกไม้ของเราได้…… ยังสามารถซื้อปุ๋ยดอกไม้ที่พวกเราทำขึ้นเป็นพิเศษได้อีก” ดวงตาของอู๋ฉางเสิ้งยิ่งดูเจิดจ้า มองมู่อวิ๋นซีด้วยสีหน้าเลื่อมใส “เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่นี่จึงเต็มไปด้วยเงิน และไม่มีใครกล้ามาทำอะไรตามอำเภอใจ ดีจังเลยขอรับ!”
“แต่ว่า” ดวงตาของเขาหม่นหมองลงเล็กน้อย “แล้วแปลงยาล่ะ?”
“ฉีอิน?” มู่อวิ๋นซีกลอกตาดู แต่กลับไม่เห็นฉีอิน แล้ว
ตอนนี้ ฉีอินกำลังมองเฟิ่งเชียนเย่ที่เปิดประตูห้องอย่างตะกละตะกลาม ในใจมีกระสับกระส่าย “ท่านชายเย่!”
เฟิ่งเชียนเย่ไม่เชิญนางเข้ามา เพียงเลิกคิ้วขึ้น “มีเรื่องอะไร?”
ฉีอินพยักหน้า และแสร้งทำเป็นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมองไปที่เฟิ่งเชียนเย่ราวกับว่าได้ตัดสินใจแล้ว “ท่านชายเย่ ข้ารู้ว่าท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณหนูรอง…… ดังนั้น ขอให้ท่านได้เกลี้ยกล่อมคุณหนูรองด้วยเจ้าค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นกับนาง?” ดวงตาของเฟิ่งเชียนเย่หรี่ลงเล็กน้อย
“นาง……” ฉีอินกัดริมฝีปาก “จวนเจ้าพระยาหย่งชางมารับกุหลาบหินแดง แต่เพราะคุณหนูรองทะเลาะกับมู่จื่อโหรว จึงได้จุดไฟเผากุหลาบหินแดงที่จวนเจ้าพระยาหย่งชางต้องการจนหมดแล้ว”
เฟิ่งเชียนเย่ตะลึง “เจ้าว่าอะไร?”
“คุณหนูรองได้เผากุหลาบหินแดงสี่สิบหกกระถางที่จวนเจ้าพระยาหย่งชางต้องการไปหมดแล้วเจ้าค่ะ” ฉีอินร้อนใจจนเหมือนจะร้องไห้แล้ว “อีกอย่าง นางยังบอกอีกว่า……หลังจากนี้หากสิ่งของของแปลงดอกไม้และแดงดุจท้อ จวนเจ้าพระยาหย่งชางจะซื้อก็ต้องเป็นราคาสองเท่า”
“จริงหรือ?” ดวงตาของเฟิ่งเชียนเย่ปรากฏถึงความวิตกกังวล
ฉีอินพยักหน้าอย่างรีบร้อน ในใจแอบยินดี “ไม่เพียงแค่นั้น นางยังใส่ร้ายจันเยว่และบีบคั้นจน……”
“จันเยว่?” เฟิ่งเชียนเย่คว้าไหล่ของฉีอินเอาไว้
หัวใจของฉีอินเต้นระรัว “เจ้าค่ะ! นางใส่ร้ายฉีอินสาวใช้ท่านชายใหญ่แห่งจวนเจ้าพระยาหย่งชาง คุณหนูรองเอาแต่ใจเกินไปแล้ว”