หลังจากนั้นเรื่องอันน่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น
มือของอวี๋หวั่นประกบลงบนศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ก้อนที่สอง ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์พลันส่องแสงสว่างวาบ เป็นสีแดงจางๆ เพราะแสงจ้าเกินไป จึงยังมองเห็นได้ไม่ชัดนัก แต่มันมีสีแน่นอน
ด้วยสายตาอันแหลมคม อิ่งลิ่วสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ เขาไม่คิดมาก รีบใช้เงาจากร่างกายสูงใหญ่ของตนบดบังแสงในเวลากลางวันที่ส่องกระทบศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ไว้ครู่หนึ่ง ในที่สุดทุกคนก็มองเห็นสีของศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างชัดเจน
“แดง…สีแดง…เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์…” ผู้อาวุโสสกุลหลานท่านหนึ่งเอ่ยพึมพำ เขาคล้ายกับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่กลับบอกไม่ได้ว่าผิดปกติที่ใด
คนที่ประหลาดใจที่สุดคือหลานเจียว หลานเจียวรู้ดีกว่าใครว่าสตรีผู้นี้เป็นตัวปลอม นางจะทำให้ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์เปล่งแสงได้อย่างไรกัน? เห็นชัดๆ ว่าก้อนแรกไม่สว่าง เหตุใดก้อนที่สองถึง——
หรือว่าหินก้อนนั้นพังแล้วกันแน่?!
หลานเจียวไม่เชื่อว่าผู้บุกรุกที่มาจากด้านนอกก็สามารถมีสายเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ แม้ตระกูลหลานจะไม่ใช่ทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์เพียงตระกูลเดียว ตระกูลเฉิงกับตระกูลจ่างซุนก็เคยมีสตรีศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน แต่สายเลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาถูกตัดขาดอย่างถาวรไปเมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว ไม่มีทางเกิด ‘ปลาลอดตาข่าย’ มาได้ ไม่มีทาง!
หลานเจียวเดาไม่ผิด ในเวลานั้นสตรีศักดิ์สิทธิ์ทิ้งบุตรหลานเอาไว้ไม่น้อย เหล่าบุตรหลานเริ่มต้นสร้างตระกูลของตน แต่เพราะพวกเขาล้วนรวมเข้ากับสกุลซือคง เหตุเพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ จึงทำให้สายเลือดหยุดการแพร่ขยาย
สกุลหลานเป็นสายเลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์สุดท้ายบนโลก
แต่ปัญหาคือ ในกระดูกของอวี๋หวั่นก็มีเลือดสกุลหลานไหลเวียนอยู่
หลานเจียวคิดได้ว่าอวี๋หวั่นกับนางหลานเป็นพวกเดียวกัน…ทันใดนั้น นางก็คล้ายกับเข้าใจบางอย่างแล้ว!
สตรีผู้นี้เป็นทายาทสกุลหลาน!
แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ให้กำเนิด แต่นางต้องเป็นบุตรสายตรงของสกุลหลานแน่!
ไม่เช่นนั้น เลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์ของนางจะอธิบายว่าอย่างไร? จะอธิบายความสัมพันธ์กับนางหลานว่าอย่างไร?
ความตื่นตระหนกรุนแรงพุ่งเข้าสู่หัวใจของหลานเจียว หวาดกลัวเสียยิ่งกว่ายามที่นางได้รับบาดเจ็บหรือถูกลักพาตัว บิดาของนางเป็นบุตรอนุสกุลหลาน นางก็เป็นบุตรอนุของบิดา กล่าวตามจริง หากไม่ใช่เพราะให้กำเนิดสตรีศักดิ์สิทธิ์ เพียงสถานะของนางเท่านี้ ไม่เพียงพอให้แลตามองในสกุลด้วยซ้ำ
หากสายหลักของสกุลหลานมีสตรีศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นย่อมสูงส่งกว่าสายอนุ…
หลานเจียวใคร่จะตีตนเองให้ตาย หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ไยนางต้องเผชิญความเสี่ยงถึงเพียงนั้นเพื่อเชิญผู้อาวุโสมา? นี่เป็นการฉีกหน้าสตรีผู้นั้น หรือทุบหน้าตนเองกันแน่?
“ช้าก่อน” ผู้อาวุโสของตระกูลที่เอ่ยปากเมื่อครู่ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าสิ่งใดผิดปกติ เขามองอวี๋หวั่นและกล่าวว่า “เจ้าไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์สีเขียวหรอกหรือ?”
ทั้งยัง…เป็นสีแดงอ่อน เลือนรางแทบมองไม่เห็น
เมื่อวาจาเหล่านี้ถูกเอ่ยออกมา เหล่าผู้อาวุโสก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ กล่าวโดยทั่วไปแล้ว เลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกเกิด แน่นอนไม่ได้ตัดเรื่องการเลื่อนระดับจากการใช้ความพยายามหลังเกิดมา แต่นั่นจะเกิดขึ้นกับสตรีศักดิ์สิทธิ์สีเหลืองลงไปเท่านั้น ยิ่งระดับต่ำเพียงใด ช่องว่างการเลื่อนระดับก็มีมากขึ้นเท่านั้น ตรงกันข้าม สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดมาก็เป็นสีเหลืองหรือสีเขียว การเลื่อนระดับโดยพื้นฐานแล้วเป็นไปได้ไม่มากนัก หลังจากสืบทอดต่อกันมาหลายปี สายเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็มีความบริสุทธิ์น้อยกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์รุ่นแรกมาก
สามารถถอยกลับไปถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์สีเขียวได้ เป็นขีดสุดของสกุลหลานแล้ว
แต่จะกล่าวถึงการลดระดับ…กลับเป็นไปไม่ได้นัก
ระดับของสตรีศักดิ์สิทธิ์หากไม่คงที่ก็สูงขึ้น ไม่มีวันลดลง เว้นแต่ถูกคนวางยาพิษ ทำลายสายเลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์จนหมดสิ้น แต่หากเป็นเช่นนั้น ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่ส่องแสง
เช่นนี้ สตรีผู้นี้…ก็ไม่มีทางเป็นหลานจีได้!
“ฮ่า!” หลานเจียวที่จับจุดสำคัญได้ ยิ้มอย่างเบิกบาน ราวกับเมฆพบตะวัน ในที่สุดวสันตฤดูของนางก็มาถึง นางชี้ไปที่อวี๋หวั่น พลางมองผู้อาวุโสของสกุลหลาน “ทุกคนได้เห็นแล้ว บุตรของข้าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์สีเขียว สิ่งนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงตลอดกาล แน่นอนว่าบุตรของข้าตั้งใจฝึกฝน วันหน้าอาจได้เลื่อนขั้นสูงขึ้นอีกระดับ แต่ไม่เหมือนกับคนตรงหน้านี้เป็นแน่ เป็นได้เพียงสตรีศักดิ์สิทธิ์สีแดง!”
โอ้ หลานชิ่นเอ๋ยหลานชิ่น เจ้ามีเลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือแล้วอย่างไร? เทียบกับบุตรสาวของข้าได้หรือ?
หากไม่มีหลานจีผู้ล้ำค่าอยู่เบื้องหน้า สตรีศักดิ์สิทธิ์สีแดงระดับต่ำสุดนี้ก็อาจได้รับความเคารพจากตระกูล ทว่ามิใช่มีหลานจีอยู่หรอกหรือ? ผู้อาวุโสของตระกูลไม่ได้โง่เขลา หากต้องเลือกหนึ่งในนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นหลานจี
ดังนั้น แม้ว่าตัวตนของสตรีผู้นี้จะถูกเปิดเผยแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่นางต้องเกรงกลัว นางไม่มีสิ่งใดต้องกังวลอีกแล้ว
แต่อวี๋หวั่นไม่ได้คิดเช่นนาง อวี๋หวั่นมองก้อนหินในมืออย่างไม่เชื่อสายตา สว่างแล้วๆ นี่เธอเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์จริงๆ หรือ? โอ้สวรรค์! เธอช่างยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้!
แต่สตรีผู้นั้นกล่าวว่าอย่างไร?
สีเขียว?
อวี๋หวั่นมองไปที่มือของตน และวางมันลงบนศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ด้วยความประหลาดใจ “เขียวๆๆๆ!”
วิ้ง–
ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว!
อวี๋หวั่นเบิกตาโพลง “อ๊ะ! เป็นสีเขียวจริงๆ!”
“พวกเจ้าดูสิ!” เด็กรับใช้สกุลหลานผู้หนึ่งเอ่ยปากขึ้น
ทันใดนั้นทุกคนก็มองไปที่อวี๋หวั่นและเห็นว่าหินซึ่งส่องแสงสีแดงจางๆ เมื่อครู่ ไม่รู้เหตุใด จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวแวววาว ไม่ใช่สีเขียวอ่อนของสตรีศักดิ์สิทธิ์หลานจี แต่เป็นสีเขียวมรกตดั่งหินโมรา
ทุกคนต่างตกตะลึงตาค้าง!
แม้แต่อิ่งลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ตะลึงแน่นิ่งเอ่ยไม่ออก
ฮูหยินน้อยของพวกเขามิใช่ว่าไม่ได้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ? ไยจู่ๆ ถึงเป็นสีเขียวเช่นนี้? เมื่อยามแรกที่แสงสีแดงปรากฏขึ้น เขาก็ตกใจมากแล้ว ยามนี้เห็นศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาแทบตกใจจนอ้าปากค้าง
“คุณ คุณ คุณ…คุณชายดูสิ!” เขาเอ่ยตะกุกตะกัก
“ข้าเห็นแล้ว” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
ใบหน้าของเขาสงบราบเรียบ แต่ในใจจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ ไม่อาจทราบ
“ว้าว ข้าช่างสามารถยิ่งนัก” อวี๋หวั่นมองมือขวาที่มีมนต์ขลังของเธอ และวางมันลงบนศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง “เขียวๆๆๆๆๆ!”
นอกเหนือจากสีเขียวๆๆ แล้ว สีของศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มเป็นสีเขียวมากขึ้น จากสีเขียวมรกตเป็นสีเขียวเข้ม ไม่ช้ามันก็กลายเป็นสีเขียวหม่น!
หลานเจียวซวนเซแทบล้มลงกับพื้น!
เป็น…เป็นไปได้อย่างไร?
นางเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์สีแดงไม่ใช่หรือ? เหตุใดในพริบตาก็เปลี่ยนเป็น…เป็นสีเขียวแล้ว?
ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์มีปฏิกิริยาต่อสายเลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ผิดพลาด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สตรีศักดิ์สิทธิ์ระดับใด เมื่อสัมผัสกับศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ ก็จะแสดงระดับนั้นออกมา ไม่เกี่ยวข้องกับสถานะของสตรีศักดิ์สิทธิ์เอง
ดังนั้น จึงไม่มีทางเกิดขึ้นสองระดับเช่นนี้
ถอยกลับไปหมื่นก้าว หากศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์เบี่ยงเบน เช่นนั้นก็ต่างได้เพียงหนึ่งระดับเท่านั้น หรือระหว่างระดับที่อยู่ติดกัน แดง ส้ม เหลือง เขียว คราม น้ำเงินและม่วง เหนือสีแดงคือสีส้ม เหตุใดชั่วพริบตาถึงสามารถข้ามไปถึงสองระดับ?
หลานเจียวแทบทรุดลง!
ทั้งที่เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์สีเขียวเหมือนกัน แต่คนตาบอดก็ยังมองออกว่าสตรีผู้นี้เป็นสีเขียวยิ่งกว่าหลานจี
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หลานจีสิ้นหวังที่สุด
“ยังมีสีใดอีก?” อวี๋หวั่นกระซิบถามอิ่งลิ่ว
นี่ท่านเล่นสนุกแล้วรึ? มุมปากของอิ่งลิ่วกระตุก กระแอมและเอ่ยว่า “แดง ส้ม เหลือง เขียว คราม น้ำเงิน และม่วง ยิ่งอยู่หลัง…”
“ระดับยิ่งสูง” สี่คำไม่ทันเอ่ย ก็ได้ยินเสียงภาวนาของอวี๋หวั่น “เหลืองๆๆๆ”
ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวหม่นไปแล้ว กลับแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองในทันใด เหลืองมากเท่าที่จะเหลืองได้ เหลืองจนตาคนมองแทบบอดสนิท…
เพิ่มขึ้นสามระดับ พวกเขาก็ประหลาดใจมากแล้ว แต่…แต่ แต่ยังลดระดับได้ตามใจอีก? ไม่ได้บอกว่าระดับของสตรีศักดิ์สิทธิ์จะไม่มีทางลดอีกตลอดชีวิตหรือ?
อวี๋หวั่นไม่รู้สิ่งใดจะลดหรือไม่ เธอชื่นชอบสีนี้
เธอเหลือบมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่สวมเสื้อคลุมสีคราม “ครามๆๆๆ!”
ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เปลี่ยนเป็นครามอีกครั้ง…
ฟุบ!
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งทรุดเข่าลงอย่างอ่อนแรง!
อวี๋หวั่นนำมือออกจากศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ แล้วมองฝ่ามือของตนอีกครั้ง “สว่างได้เพียงสีเดียวหรือ?”
ทุกคน : แน่นอน เจ้าสว่างได้แค่สีเดียว! แล้วก็ต้องเอามืออ้วนๆ ของเจ้าวางไว้ข้างบน!
ทว่าในฉากต่อมา ทุกคนก็ถึงกับคุกเข่า
ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์มากกว่าร้อยชิ้นที่ถูกนำมาตามคำสั่งของหลานเจียว สว่างขึ้นทีละชิ้น ดั่งโคมลอยริมแม่น้ำ หากกล่าวให้ชัดขึ้น คือสว่างขึ้นทีละจุด
สีที่อวี๋หวั่นชอบ พวกมันล้วนมีทั้งหมด
ยามนี้ อย่าว่าแต่จะลุกขึ้น เหล่าผู้อาวุโสที่ไม่ได้เป็นลมไปก็นับว่าพวกเขาจิตใจแข็งแกร่งแล้ว
แม้…แม้แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์รุ่นแรกของสกุลหลาน ก็ยังไม่อาจสร้างปรากฏการณ์เช่นนี้ ไม่ต้องสัมผัสก็สามารถทำให้ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์มากมายเช่นนี้เปล่งแสงออกมา ทั้งยังต้องการสีใดก็ได้สีนั้น กลิ่นอายของสตรีศักดิ์สิทธิ์ต้องมีพลังมากถึงเพียงใด จึงจะทำเช่นนี้ได้
“ไม่…ไม่ใช่ว่าสว่างสามสีแล้วหรือ?” หลานเจียวฝืนใจจับผิด
ทันทีที่สิ้นเสียง ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงหน้าอวี๋หวั่นก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ส้ม เหลือง เขียว คราม น้ำเงิน ม่วง!
สีสันสดใสท้าแดด!
…………………………………………
หมายเหตุ : เยี่ยนเสี่ยวซื่อ ในที่นี้สื่อถึงลูกคนที่ 4
Related