ก่อนการประชุมเริ่มต้น…
หลังจากที่ได้ทำการเจรจาต่อรอง และแลกเปลี่ยนข้อมูลจนพอใจ หลิงม่อหนีออกจากดาดฟ้าทันที ในระหว่างนั้น เลขาฯ สาวเอาแต้จ้องเขาอย่างอาฆาตแค้นตลอดเวลา จนกระทั่งเมื่อเงาร่างเขาลับหายไปจากครรลองสายตา เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปหาฉีเทียนอี้ “หัวหน้าทีม ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ขณะที่กำลังหันหลังให้ประตู เธอได้ยินเสียง “แกร๊กๆ” เบาๆ พลันลอบด่าในใจ “ล็อกไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร! อีกอย่างถึงแกจะได้ข้อมูลไปแล้วจะทำอะไรได้? ยังไงแกก็หนีออกไปไม่รอด! คืนนี้ฉันจะทำให้แกตายอยู่ที่นี่!”
ด่าก็ส่วนด่า มือของเธอยังคงจับร่างของฉีเทียนอี้เขย่าไปมา และหลังจากที่สังเกตดูใกล้ๆ เธอก็ค้นพบจุดผิดปกติหลายจุดทันที…อันดับแรก ฉีเทียนอี้ไม่ได้บาดเจ็บหนักนี่นา! ถึงแม้เขาจะมีเลือดท่วมตัวเยอะ แต่ส่วนมากไม่ใช่เลือดของเขา…แต่อาการกระตุกสั่นอย่างรุนแรงนี้เกิดจากอะไรกัน? ถ้าหากไม่ใช่ว่าเขาเอาแต่กระตุกสั่นอย่างนี้ เลขาฯ สาวก็คงไม่ร้อนรนเพื่อทำการรักษาเขาอย่างเร่งด่วนขนาดนี้…ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าถ้ากระตุกไปเรื่อยๆ เขาจะแน่นิ่งไม่ไหวติงไปเลยหรือเปล่า
แต่ดูจากตอนนี้ ดูเหมือนว่าเลขาฯ สาวจะเข้าใจบางอย่างผิดไป…
อีกอย่างฉีเทียนอี้ไม่เพียงร่างกายผิดปกติ สภาวะดวงจิตของเขาเองก็ย่ำแย่พอกัน ราวกับว่าเขากำลังอยู่ในสภาวะจิตใต้สำนึกสับสนยุ่งเหยิง พอถูกเลขาฯ สาวเขย่าตัว เขาสูดลมหายใจลึกๆ แล้วพลันลืมตาโพลง
“กรี๊ดด!”
เลขาฯ สาวไม่ทันตั้งตัว เธอกรีดร้องเสียงแหลมอย่างตกใจทันที
เธอเห็น…ดวงตาสีแดงโลหิตทั้งสองข้าง!
ไม่ใช่แค่ส่วนตาขาว แต่เป็นทั้งม่านตาด้วย ดวงตาของฉีเทียนอี้กลายเป็นสีแดงไปทั้งดวง! และสายตาของเขาก็ไร้ซึ่งแววตาของมนุษย์ มันแฝงไปด้วยกลิ่นอายเย็นชา สายตาที่มองเธอ ราวกับกำลังมองมดเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น…
และในเสี้ยววินาทีที่ลืมตา ใบหน้าของฉีเทียนอี้ก็กระตุกสั่นอย่างรุนแรง เขาอ้าปาก เปล่งเสียง “ฮื่อ ฮื่อ” ออกมาจากลำคอ แขนขาทั้งสี่ข้างของเขายังคงกระตุกสั่น แต่กล้ามเนื้อทั่วร่างกลับปูดขึ้นเป็นมัดๆ ตอนนี้เขาดูเหมือนตั๊กแตนใบไม้ตัวหนึ่ง ร่างกายเขาเหมือนกำลังแยกส่วนทำงาน ทั้งดูน่ากลัวและไม่แปลกประหลาดในเวลาเดียวกัน
“นาย…นี่นาย…” ในที่สุดเลขาฯ สาวก็ได้สติ เธอรีบผลักฉีเทียนอี้ออก หมายจะถอยกรูด
ตอนนี้เธอเข้าใจสีหน้าแปลกๆ ของหลิงม่อก่อนที่เขาจะหนีไปแล้ว…และจุดประสงค์ที่เขาล็อกประตู ก็ชัดเจนขึ้นด้วยเช่นกัน…
“เขาต้องการขังฉันไว้ที่นี่ และหัวหน้าทีมก็คืออาวุธที่จะใช้ขังฉัน!”
ทว่าฉีเทียนอี้ที่ดูยังเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว กลับพลิกมือจับข้อมือเลขาฯ สาวทันทีที่เธอขยับตัว
ฝ่ามือกำยำมาพร้อมกับเรี่ยวแรงมหาศาล เสี้ยววินาทีที่ถูกบีบข้อมือ เลขาฯ สาวรู้สึกราวกับกระดูกแทบหัก
เธอทำให้ข้อมือพองโตขึ้นตามสัญชาตญาณทันที เพื่อที่จะสลัดมือของฉีเทียนอี้ออกไป จากนั้นเธอก็กระโดดถอยหลัง พลันยืดตัววิ่งไปทางประตูอย่างรวดเร็ว
“แกร๊กๆ…”
เลขาฯ สาวพยายามบิดกลอนประตูสุดแรง จากนั้นก็กัดฟันถีบประตูแรงๆ สองครั้ง
“ชิท!”
เปิดไม่ได้!
ดูเหมือนวว่าจะมีอะไรบางอย่างวางขวางประตูไว้ ถึงแม้เธอจะถีบประตูจนเปิดออกเล็กน้อยแล้ว แต่มันก็ยังคงไม่กว้างพอที่จะแทรกตัวผ่านไปได้
และในตอนนั้นเอง ฉีเทียนอี้ที่อยู่ข้างหลังก็กำลังลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ เขาจ้องแผ่นหลังของเลาขาฯ สาว ในสภาพน้ำลายไหลย้อยออกจากปาก …
………..
ขณะที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นบนดาดฟ้า เงาร่างหนึ่งกลับโฉบมาปรากฏตัวอยู่บริเวณห้องประชุม และวิ่งเข้าไปซ่อนตัวในมุมอย่างรวดเร็ว…
และเวลานี้ ก็มีคนเดินเข้าห้องประชุมเล็กๆ ห้องนั้นคนแล้วคนเล่า…
ณ จุดที่อยู่ห่างจากห้องประชุมไม่ถึงห้าสิบเมตร เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนกำลังเดินวนเวียนไปมา ห่างออกไปข้างหลังสามสิบเมตร สิบเมตร รวมถึงบริเวณหน้าประตู ล้วนมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยยืนเฝ้าอยู่เช่นกัน คนพวกนั้นล้วนมีอาวุธครบมือกันทุกคน สายตาคมปลาบ แต่ละคนยืนห่างกันในระยะที่สามารถเข้าไปช่วยเหลือกันได้อย่างทันท่วงที
ในสถานการณ์อย่างนี้ หากมีบุคคลภายนอกต้องการลักลอบเข้าใกล้ คงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน…
ทว่าในตอนนั้นเอง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายหนึ่งที่ยืนอยู่รอบนอกสุดพลันชะงักเท้า
เขาหันกลับไปมองทางเดินมืดๆ ข้างหลังแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยกปืนขึ้นเล็งอย่างระมัดระวัง แล้วก้าวเดินไปสองก้าว ราวกับมองเห็นอะไรบางอย่าง…
“เป็นอะไร?” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคนสังเกตเห็นพฤติกรรมผิดปกติของเขา จึงถาม
“นายได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า?” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถามอย่างไม่แน่ใจ
“เสียง?”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นพูดอย่างสงสัย พลันรีบเงี่ยหูฟังทันที
“เหมือนมีคน…กำลังร้องขอความช่วยเหลือ?”
เสียงนี้ฟังดูเลือนรางไม่ชัดเจน แต่ยิ่งเป็นอย่างนี้ ทั้งสองก็ยิ่งสนใจ
“เข้าไปดูกัน”
ทั้งสองเดินไปยังมุมเลี้ยวอย่างระมัดระวัง หลังจากยกปืนขึ้นเล็งหมุนกายเดินไป กลับต้องอึ้งไปพร้อมๆ กัน
ตรงมุมเลี้ยวนั้นมีเครื่องมือสื่อสารวางไว้หนึ่งเครื่อง ซึ่งมีเสียงดังออกมาจากตัวเครื่องอย่างต่อเนื่อง “ช่วยด้วย…”
ทว่าหลังจากที่ทั้งสองปรากฏตัว เสียงร้องนี้พลันหยุดลงทันใด และสิ่งที่เข้ามาแทนที่คือ “ปัง!”
แน่นอนว่ามันเป็นแค่คำเลียนเสียง…แต่จู่ๆ ก็ดังขึ้นอย่างนี้ กลับทำให้พวกเขาสะดุ้งตกใจได้เป็นอย่างดี
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนที่เดิมก็หวาดวิตกกันอยู่แล้วพลันร้องตกใจขึ้นมาพร้อมกัน จากนั้นก็ถอยหลังกรูด เสียงตะโกนของพวกเขา ดึงดูดสายตาของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนอื่นๆ ให้มองมา
และในเสี้ยววินาทีสั้นๆ นั้น เงาร่างดำตะคุ่มที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดพลันทิ้งตัวลงจากเพดาน กระโดดข้ามหน้าต่างออกมายังเฉลียงทางเดิน และยืนอยู่ข้างหลังเหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านี้อย่างเงียบเชียบ
พอมีคนหันกลับมา เงาร่างนั้นก็ได้หายไปแล้ว…
“บางครั้งการใช้วิธีง่ายๆ ก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาดนะเนี่ย…” ขณะที่เดินเข้าไปในห้องประชุม หลิงม่อคิดอย่างได้ใจ ทว่าความคิดได้ใจนี้ของเขากลับถูกทำลายลงในสองวินาทีถัดมา เพราะอยู่ๆ ทางเดินแคบๆ ตรงหน้าพลันมีเสียงคนสองคนกำลังพูดคุยกันดังมา
ความจริงแล้วห้องประชุมนี้เป็นห้องแยกที่ถูกกั้นแบ่งออกมาอีกที ซึ่งมีทางเดินเส้นหนึ่งอยู่ตรงกลาง ห้องด้านนอกที่ไม่ได้เปิดไฟไว้ดูมืดมิด แต่อย่างน้อยก็ยังมองเห็นประตูห้องด้านในได้อย่างชัดเจน สาเหตุที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะว่าการประชุมของฟอลคอนไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่กระทำอย่างโจ่งแจ้งได้ ถึงแม้ว่าฐานทัพที่ 2 จะเงียบไม่ปริปากพูดอะไร แต่พวกเขาก็ไม่อาจทำอะไรเกินขอบเขตอย่างไม่เกรงอกเกรงใจอีกฝ่ายได้ ดังนั้นพวกเขาไม่เพียงนัดเวลาประชุมเป็นตอนกลางคืน แม้แต่สถานที่ก็ต้องเป็นจุดลับตาคนถึงขนาดนี้
และสาเหตุที่หลิงม่อสามารถแฝงตัวเข้ามาได้ ก็เป็นเพราะ…ที่นี่ไม่ได้อยู่ในเขตกล้องวงจรปิด
นี่ถือว่าเป็นข่าวดี เพราะนั่นแสดงว่ากล้องวงจรปิดไม่ได้อยู่ในอำนาจการดูแลของฟอลคอนแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ฐานทัพที่ 2 ก็มีอำนาจตรงนี้ด้วย ทว่าแม้แต่งานด้านการรักษาความปลอดภัยก็ยังถูกแบ่งอำนาจ หากมองจากมุมมองนี้ ก็ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่แย่พอดู
ขณะที่ได้ยินเสียงสองคนนี้คุยกัน หลิงม่อได้อำพรางกายเข้าไปในความมืดอย่างเงียบเชียบ ราวกับกลืนหายไปกับความเงียบสงัดทันที
“จริงหรอ…แต่ฉันได้ยินมาว่า ครั้งนี้อาจมีโอกาสที่จะบีบบังคับอวี่เหวินซวนได้สำเร็จ” หนึ่งในสองคนนั้นพูดขึ้น
“อะแฮ่ม ไม่ว่าจะมีโอกาสหรือไม่มี เตรียมพร้อมรับมือไว้ก่อนดีที่สุด บอกตรงๆ ที่เราถูกส่งมาที่นี่ ก็ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมากแล้วไม่ใช่…”
“นายโง่รึเปล่า อีกหน่อยถ้ายึดฐานทัพที่ 2 ได้ แล้วนายได้เลื่อนขั้นได้ตำแหน่งอย่างเป็นทางการ นั่งเสพสุขสบายๆ ไม่ดีหรอ? นายก็รู้ว่าตอนนี้โลกเราเป็นยังไง…มีชีวิตรอดไปได้ในแต่ละวัน ก็ถือว่าบุญแล้ว”
“เอาเป็นอีกเดี๋ยวถ้าหัวหน้าทีมฉีมาก็รู้แล้ว จะว่าไป สองวันมานี้ท่าทางหัวหน้าทีมฉีดูฉุนเฉียวแปลกๆ นะ…”
“ใครจะไปรู้ล่ะ…”
ทั้งสองพูดไปพลาง เดินไปพลาง ไม่นานก็เดินหายเข้าไปหลังประตูห้องด้านในบานนั้น
แต่หลิงม่อที่ยืนอยู่ในความมืดกลับกระพริบตา พลางคิดอย่างสงสัย “ทำไมถึงบีบอวี่เหวินซวนได้สำเร็จ?”
ในเวลานี้ ประตูห้องด้านนอกก็ถูกดึงปิดช้าๆ ขณะเดียวกันก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น “มากันเกือบครบแล้วใช่ไหม?”
“ดูเหมือนยังมีคนไม่มา…”
“ไม่เป็นไร มาถึงแล้วค่อยเปิดประตูอีกครั้ง ที่นี่พอถึงเวลาจะเข้าออกตามใจไม่ได้ เจ้าโง่สองคนนั้นก็เหลือเกิน ถูกเครื่องมือสื่อสารเครื่องเดียวหลอกจนตกใจแทบตาย ไม่แน่ว่านั่นอาจเป็นฝีมือของฐานทัพที่ 2 ก็ได้…”
“ลองไปค้นหารอบๆ กันเถอะ…”
“ปัง!”
หลังจากที่บานประตูปิดสนิท เสียงพูดคุยด้านนอกก็เงียบหายไปด้วย
หลังจากที่คนในห้องด้านนอกเข้าไปในห้องด้านในทั้งหมด หลิงม่อจึงค่อยๆ บิดคอไปมา จากนั้นก็ลืมตาช้าๆ
เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองข้างก็กลายเป็นสีแดงโลหิตสะดุดตาทันที
และบุคลิกของเขาก็เปลี่ยนไปสิ้นเชิง ทั้งดูกระหายเลือดและแปลกประหลาดสุดๆ
“ได้เวลาแล้ว”
………..
“หื้ม? นายเป็นใคร?”
“ทำไม…”
“อ๊ากกก!”
ด้านหลังบานประตูที่ปิดสนิทมีแสงสว่างจางๆ เล็ดลอดออกมา และสิ่งที่ปรากฏท่ามกลางแสงไฟนั้น ก็คือเงาที่วิ่งเตลิดไปทั่วสี่ทิศ และเงาร่างขนาดใหญ่ที่กำลังพองโตขึ้นเรื่อยๆ ราวอสูรกาย…
—————————————————————————–