ทว่าถึงแม้หลิงม่อจะเตือนพวกเขาแล้ว แต่กว่าโรงแรมเล็กๆ แห่งนี้จะกลับเข้าสูความเงียบสงบอีกครั้ง เวลาก็ได้ล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงคืนแล้ว
หลังจากช่วยสวี่ซูหานอำพรางจุดผิดสังเกตบนร่างกายอย่างดีเสร็จ หลิงม่อก็หันไปให้ความสนใจกับเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง
เอาแต่แข่งเวลากับนิพพานอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่ ยิ่งเขามีคนเยอะขึ้น การเดินทางก็จะยิ่งช้าลง ตรงกันข้าม ฝั่งนิพพานอาจจะเดินทางอย่างไม่หยุดพัก กระทั่งอาจใช้วิธีพิเศษในการตามรอยพวกเขาก็ได้ ดูจากความชำนาญเส้นทางของพวกเขา เกรงว่าถึงจะออกจากเมืองเฮยสุ่ยไปแล้วก็ยังไม่ปลอดภัย
และสาเหตุที่หลิงม่อถ่วงเวลา ก็ไม่ใช่เพราะต้องการทิ้งระยะห่างเพียงอย่างเดียว…
ณ ห้องเก็บเสบียง ในมุมหนึ่งของโรงแรม
ชายแว่นดำ…หรือหนึ่งในร่างแยกของบอสใหญ่แห่งนิพพาน กำลังนั่งพิงผนังด้วยสภาพไร้สติ
มือทั้งสองข้างของเขาถูกมัดไว้กับท่อน้ำพลาสติกบนหัว ส่วนขาทั้งสองข้างก็ถูกมัดติดกันแน่น
และในขณะที่เขาถูกมัดตัวจนเคลื่อนไหวลำบากอย่างนี้ เขายังจำเป็นต้องพยายามยืนอยู่ในท่าเดิมตลอด…ซึ่งหลิงม่อบอกว่า มันช่วยให้เขาใช้ความคิดได้ดี…
“แกร่ก”
เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น จากนั้นแสงไฟฉายสว่างแยงตาก็สาดส่องเข้ามา
ชายแว่นดำหันหน้าหนีอย่างยากลำบาก เขาได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาในห้อง
ไม่นาน เสียงที่ดังวนอยู่ในสมองเขาซ้ำๆ หลายรอบก็ดังขึ้นที่ข้างหูเขาอีกครั้ง “อยู่คนเดียวมาหลายชั่วโมง น่าจะคิดอะไรได้บ้างแล้วสินะ?”
“เหอะ…” ชายแว่นดำกระพริบตาถี่ๆ อย่างอ่อนแรง แล้วมองหน้าหลิงม่อ
เมื่อรูปร่างของคนตรงหน้าค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ชายแว่นดำกลับเผยรอยยิ้มเหมือนคนบ้าออกมา
“สิ่งที่นายพูด เชื่อถือได้หรอ?” เขาถามเสียงแผ่ว
หลิงม่อควงไฟฉายในมือเล่น แล้วตอบคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เรื่องนี้น่ะ…จับตาดูไว้ให้ดีก็แล้วกัน”
………..
ห้าวันต่อมา
บนถนนที่ค่อนข้างโล่งกว้าง คนกลุ่มหนึ่งกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง
ทันใดนั้น คนที่วิ่งนำหน้าสุดพลันชะงักฝีเท้า แล้วหันไปมองร้านค้าริมถนนร้านหนึ่ง
“ไปดูตรงนั้นหน่อย”
เขาพูดสั้นๆ ขณะเดียวกันก็ก้าวนำไป
เสี้ยววินาทีที่เปิดประตู มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากข้างใน
ขณะที่เสียงดึงลูกเลื่อนเพื่อนำกระสุนขึ้นลำกล้องดังขึ้น มือข้างนั้นกลับร่วงลงไปอย่างอ่อนแรงทันที
“อย่าแตกตื่น แค่ศพ”
คนที่เปิดประตูกลับดูนิ่งมาก เขาผลักประตูออกจนสุด จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนข้างหลังต่างพากันร้องอย่างตกตะลึง
“นั่นมัน…” ชายคนที่เกือบลั่นไกยังคงตั้งท่าเล็งปืนอยู่อย่างนั้น แต่ปากกลับพูดขึ้นมาด้วยความตื่นกลัว
“ซอมบี้” ชายผู้นำทีมพูดต่อให้จบ
สายตาเย็นชาของเขามองลึกเข้าไปในตัวร้าน จากนั้นก็ขมวดคิ้วบางๆ
ในร้านค้าโล่งกว้างแห่งนี้ มีศพซอมบี้นอนเกลื่อนเต็มไปหมด…และดวงตาของศพเหล่านั้น ก็เหมือนกำลัง “จ้อง” มาที่พวกเขา
ทว่าเขากลับนั่งยองๆ ลงไป และเริ่มพลิกศพซอมบี้ตัวหนึ่ง ราวกับว่าเขามองไม่เห็นความน่ากลัวของศพพวกนี้ “ซอมบี้พวกนี้น่าจะตายอย่างมากก็ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้ว…สายตาของพวกมันดูเลื่อนลอย ซึ่งเหมือนกับพวกที่เคยเจอก่อนหน้านั้นมาสองสามครั้ง พวกมันถูกโลกมายาล่อมาที่นี่ จากนั้นก็ถูกฆ่าอย่างไร้ทางสู้…ตรงจุดนี้มีรอยแผลเป็นรูโหว่ เป็นรูโหว่ที่เหมือนวิธีของเจ้าคนที่ลงมือมากที่สุดนั่น”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือ “ระยะห่างเริ่มใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว พวกนั้นหนีไม่รอดแน่ แต่ว่า” พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขากลับชะงักไป แล้วพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่รู้เพราะอะไร เส้นทางที่พวกเขาใช้ เหมือนเส้นทางของพวกเรามาก”
“เจ้าเจ็ด นายหมายถึง…ทางลัดเส้นนี้น่ะหรอ?” ชายคนที่ถือปืนถาม
“ถูกต้อง…” ชายคนที่ถูกเรียกว่าเจ้าเจ็ดพยักหน้า แล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “พวกเขาจับตัวประกันไว้ด้วยไม่ใช่หรอ? ฉันว่าเจ้านั่นต้องเป็นคนบอกทางพวกเขาแน่ๆ แต่พวกเขารู้ทาง แล้วไม่คิดว่าเราจะรู้เหมือนกันหรือไง? ถึงแม้จะประหยัดเวลา แต่ถ้าพวกนั้นใช้เส้นทางนี้จริงๆ ต้องถูกพวกเราไล่ตามทันในไม่ช้าแน่นอน…”
ขณะที่เขากำลังใช้ความคิด กลับมีเสียงสมาชิกทีมคนหนึ่งดังขึ้น “พี่เจ็ด มันเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรอ? เพราะแสดงว่าพวกมันโง่น่ะสิ!”
“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ หากภารกิจครั้งนี้สำเร็จ พวกเราไม่ต้องทำภารกิจอื่นไปอีกครึ่งปียังได้เลย แถมค่าตอบแทนที่ได้ก็จะดีขึ้นด้วย ทุกคนทำให้เต็มที่ล่ะ” เจ้าเจ็ดพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เข้าใกล้พวกนั้น ให้ลงมือสังหารทันที และต้องกำจัดให้สิ้นซาก”
“แล้วตัวประกันล่ะ?” มีคนถามขึ้นะ
“อีกฝ่ายไม่ได้ฝีมืองอกง่อย จะช่วยตัวประกันออกมาโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง พอถึงเวลา…ฆ่าให้หมดอย่าให้เหลือ!” หลังพูดจบ เจ้าเจ็ดก็ก้มหน้ามองศพข้างเท้าอีกครั้ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นโบกสั่งการ “รีบตามไปเร็ว!”
ขณะเดียวกัน ณ ถนนหลวงที่ค่อนข้างกันดารเส้นหนึ่ง
คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางด้วยสภาพอิดโรย โดยการพยายามลากขาอันอ่อนแรงเดินไปช้าๆ
ด้านหน้าพวกเขา เด็กสาวสามคนที่ดูค่อนข้างผ่อนคลายกำลังเดินนำอยู่ และด้านหลังเด็กสาวสามคนก็มีเด็กหนุ่มที่สภาพดูไม่เลวเดินตามอยู่อีกคน
“หลิงม่อ…” จู่ๆ ก็มีเสียงโอดครวญหนึ่งดังมาจากในกลุ่มคน เขาตะโกนอย่างอ่อนแรงว่า “ฉันเหนื่อยเหลือเกิน…”
“อดทนอีกหน่อย”
เด็กหนุ่มกำลังก้มหน้ากดเครื่องจักรเล็กๆ ที่ดูไม่สะดุดตาเครื่องหนึ่งในมือ พอได้ยินเสียงโอดครวญก็ตอบโดยไม่หันไปมอง
ตลอดการเดินทางนี้เขาง่วนอยู่กับการกดเครื่องจักรนี้ เหมือนกำลังตามหาบางสิ่งอยู่
แต่ในเมืองที่เต็มไปด้วยซากอาคารผุพังแห่งนี้ เขาจะตามหาอะไรได้อีก?
“ฉันเหนื่อยมากจริงๆ นะ…” คนคนนั้นยังคงโอดครวญต่อ
ไม่นาน เสียงบ่นราวกับเครื่องเล่นเสียงที่เล่นวนซ้ำๆ ของเขาก็เป็นเหตุให้เสียงตะคอกหนึ่งดังขึ้นมา
“โธ่โว้ย! ฉันยังไม่บ่นเลย แล้วลุงจะบ่นเหนื่อยอะไรนักหนาวะเนี่ย!”
ชายคนเดิมยังคงโอดครวญต่อไป “คนเราควรเคารพผู้อาวุโส และรักเด็กมากๆ…”
“ชิท! ทั้งที่ลุงอยู่บนหลังฉันเนี่ยนะ!” มู่เฉินพูดขึ้นด้วยสีหน้าซีดเซียว
และเหล่าหลันที่อยู่บนหลังเขา ก็กำลังหอบหายใจอย่างอ่อนล้า…
พวกเขาเดินทางกันมานานเกินไปแล้ว ถึงมู่เฉินจะมีแรงแบกเขา แต่เขาก็รู้สึกเหมือนกระดูกตัวเองใกล้จะแหลกสลายเต็มทีแล้ว
“นายต้องเข้าใจจุดอ่อนของพวกชอบเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านสิ…” เหล่าหลันครวญ
“อย่ามาทำให้คนชอบเก็บตัวเสื่อมเสียเชียวนะ อย่างลุงน่ะ เป็นได้แค่ตาเฒ่าโรคจิตเท่านั้นแหละ!”
“พี่เขย ถ้าอย่างไร พักผ่อนซักหน่อยไหม?”
หลังหลิ่นเร่งฝีเท้าเพื่อเดินตามหลิงม่อให้ทัน จากนั้นก็บอกเขา
“อีกไม่นานแล้ว” หลิงม่อเงยหน้าตอบ
“พวกเราเดินทางโดยไม่หยุดพักมาห้าวันแล้ว ถึงจะไม่ได้เดินทางเร็วมาก แต่อย่างไรสภาพร่างกายของคนก็รับไม่ไหวอยู่ดี พวกเรายังไม่เท่าไหร่ แต่สามคนนั้นอ่อนแรงมากแล้วนะ…” หวังหลิ่นหันกลับไปมองอย่างเป็นห่วง และคนที่เธอมองไม่ได้มีแค่เหล่าหลันคนเดียว แต่ยังมีหลันหลันที่ร่างกายอาบไปด้วยเหงื่อทั้งตัว และเหล่าเจิ้งที่เดินโซซัดโซเซเต็มที…
นอกจากนี้ ยังมีชายแว่นดำที่เดินหกล้มคลุกคลานอีกคน แต่เขากลับถูกหวังหลิ่นมองข้ามไปอย่างไม่ใยดี
“พวกเราประหยัดเวลา แต่ก็เสียสละอะไรไปไม่น้อย เชื่อฉันเถอะ เหลืออีกไม่ไกลแล้ว…”
สิบกว่านาทีต่อมา จู่ๆ หลิงม่อก็ชี้ไปยังตึกสูงที่อยู่ข้างหน้า บอกว่า “ที่นั่นแหละ”
เมื่อเสียงพูดของเขาดังขึ้น ทุกคนต่างพากันเงยหน้ามองไป
หลันหลันหอบหายใจ แล้วถามว่า “ก็แค่ตึกตึกหนึ่งเองไม่ใช่หรอ…เดินเข้าไปก็จะถึงที่หมายเลยหรือไง?”
“หรือว่านายซ่อนประตูมิติไว้ในนั้น?” เหล่าเจิ้งพูดไร้สาระขึ้นมา
“อีกเดี๋ยวทุกคนก็จะรู้เอง” หลิงม่อบอก
ชายแว่นดำเองก็หรี่ตาแล้วมองตึกสูงแห่งนั้นด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน
“เขาไม่รู้สถานการณ์ตัวเองจริงๆ หรือว่าเขาสามารถหาโอกาสพลิกสถานการณ์ได้จากที่นี่จริงๆ กันแน่?”
แต่เมื่อหลิงม่อเร่งฝีเท้าเดินไปยังตึกสูง เขาก็ไม่มีเวลาครุ่นคิดอีกต่อไป…
“เดินเร็วหน่อย ทุกคนอดทนอีกหน่อยนะ!”
ผ่านไปไม่นาน ขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปในตึกสูงเพียงครู่เดียว เงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งที่พุ่งทะยานเข้ามาด้วยความเร็วสูงก็ปรากฏตัวที่ปลายถนนสายนี้…
“อดทนอีกหน่อยบ้าอะไรล่ะ…นี่มันจะตายอยู่แล้วนะโว้ย! ต้องเดินขึ้นตึกยี่สิบกว่าชั้น…” เหล่าเจิ้งเริ่มบ่นอย่างหมดสภาพขึ้นมาอีกครั้ง เขาเงยหน้ามองหลิงม่อที่อยู่ข้างหน้า แล้วพูดอย่างอารมณ์เสียว่า “เป็นผู้มีพลังจิตเหมือนกัน แต่ทำไมสภาพร่างกายต่างกันอย่างนี้วะ!”
“เฮอะ ยังไม่เข้าใจอีกหรอ? นี่แสดงว่ายังไม่เห็นความต่างระหว่างนายสองคน?” มู่เฉินที่เดินอยู่ข้างๆ แค่นเสียงพูด
เหล่าเจิ้งหันไปมองเขาอยากตกตะลึง จากนั้นก็ถามอย่างคาดหวังว่า “นายรู้หรอ?”
“เหลวไหล!” มู่เฉินมองเขาอย่างดูแคลน แล้วบอกว่า “เหตุผลง่ายจะตาย…เพราะนายโสดไง!”
“…ไร้ข้อโต้แย้ง…” เหล่าเจิ้งถึงกับพูดไม่ออก
แต่ในระหว่างที่ทุกคนกำลังเดินขึ้นบันไดอยู่นั้น ด่านล่างกลับเริ่มมีการเคลื่อนไหวเบาๆ ดังขึ้น
เสี้ยววินาทีที่เสียงนี้ดัง บรรยากาศในทางเดินบันไดก็เงียบกริบทันที ทุกคนต่างพากันหยุดเดินพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย…
หลันหลันที่เดินรั้งท้ายสุดค่อยๆ หันหน้ากลับไปมองบันไดมืดๆ ด้านหลัง…
—————————————————————————–