“นิสัย?” ชายแว่นดำยังคงทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเข้าใจนัก หรือเขาอาจจะเข้าใจแล้ว แต่กลับไม่อยากยอมรับ เหมือนที่ซย่าน่าบอก สีหน้าของเขาในตอนนี้ย่ำแย่มาก ซีดจนแทบไม่เหลือสีของเลือดฝาดเลยแม้แต่น้อย ร่างกายก็กำลังกระตุกสั่นเบาๆ แต่เพราะถูกเจ้ามาสเตอร์บอลและหลิงม่อควบคุมไว้ เขาจึงทำได้เพียงยืนหยัดอดทนแม้ในใจจะหวาดกลัวเพียงใดก็ตาม
จู่ๆ ความลับสำคัญของตัวเองก็ถูกเปิดเผย มันย่อมไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีแน่ ในฐานะที่เป็นคนมีความลับเหมือนกัน หลิงม่อจึงเข้าใจความรู้สึกของชายแว่นดำเป็นอย่างดี ทว่าจากที่หลิงม่อสังเกตเห็น สาเหตุที่ชายแว่นดำสามารถรักษาความลับของตัวเองไว้ได้ ต้องเกี่ยวข้องความสามารถพิเศษที่แปลกประหลาดของเขาอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่สำคัญกว่ากลับเป็นเพราะตัวตนของเขา
“มีนิพพานเป็นกำบังไว้ตรงหน้าอย่างนี้ ถ้าหากเราไม่เลือกที่จะแฝงตัวเข้าไป และได้ยินสิ่งที่เหล่าหลันเคยพูดเกี่ยวกับเขา บวกกับเสี่ยงอันตรายใช้พลังกลืนกิน เราอาจไม่รู้เรื่องนี้ก็ได้ เขาไม่เคยเผยตัวต่อหน้าสมาชิกธรรมดาเลยซักครั้ง เพราะเลี่ยงไม่ให้ใครจับได้สินะ? ถึงมันจะมีความเป็นไปได้น้อยมาก แต่เขาก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงถึงที่สุด ช่างเป็นคนที่มีความระมัดระวังสูงมาก…”
หลิงม่อวิเคราะห์เงียบๆ ในใจ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “หลังจากที่จับสังเกตปัญหาเหล่านี้ได้ ฉันก็เริ่มคาดเดาถึงพลังของแก บุคคลที่มีตำแหน่งฐานะต่างกันสองคน แต่เนื้อแม้กลับเป็นคนคนเดียวกัน เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? พอลองคิดดูดีๆ อีกที ความจริงระหว่างพวกแกสองคนมีเพียงพลังจิตเท่านั้นที่เหมือนกันจริงๆ แน่นอนว่านิสัยที่แสดงออกมาในตอนแรกก็เหมือนกันอย่างกับแกะ…ฉันพูดถูกไหม?”
“เหอะ…” ชายแว่นดำแค่นเสียงเย็นชา แต่เขากลับเริ่มหลบตาหลิงม่อไปโดยไม่รู้ตัว
“แต่หลังจากที่เจ้ามาสเตอร์บอลเริ่มทำการควบคุมแก นิสัยของแกกลับเปลี่ยนไป ฉันคิดว่า นี่คงจะเป็นนิสัยเฉพาะของเจ้าของร่างนี้สินะ?” พูดถึงตรงนี้ สายตาของหลิงม่อก็ฉายแววสนอกสนใจทันที ความสามารถพิเศษที่สามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตอื่นผ่านพลังจิตได้อย่างนี้ ความจริงควรถูกเรียกว่าเป็นพลังด้านควบคุมถึงจะเหมาะสม ผู้มีพลังจิตทั่วไปถึงแม้จะเก่งกาจซักแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถใช้พลังสายควบคุมได้โดยตรงอย่างแน่นอน
“เมื่อเป็นอย่างนี้ ร่างกายร่างนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นร่างจริงของแก…ความจริงฉันเคยตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับความสามารถพิเศษของแกด้วยนะ อย่างเช่นร่างจริงของแกอาจกลายร่างเป็นตัวหนอน หรือไม่ก็แกอาจมีพลังจิตแยกร่าง อะไรทำนองนั้น…”
“จะเป็นไปได้ยังไง!” ชายแว่นดำทนฟังไม่ไหว
คนคนนี้…เขาเห็นความสามารถพิเศษของคนอื่นเป็นอะไรกัน!
“อย่าเพิ่งโมโหสิ ฉันยังพูดไม่จบเลย อีกหนึ่งความคิดที่ฉันพอจะทำใจยอมรับได้ง่ายหน่อย ก็คงจะเป็น ‘ปืนซอมบี้’ นี่แหละ โดยแกจะยิงพลังจิตของตัวเองออกไป เพื่อก่อกวนระบบประสาทส่วนกลางของเป้าหมาย สุดท้ายอารมณ์และพฤติกรรมของอีกฝ่ายก็จะได้รับผลกระทบ…” น้ำเสียงของหลิงม่อจริงจังขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับว่าเรื่องที่เขาพูดอยู่เป็นความจริง
กลับเป็นซย่าน่าที่กำลังผึ่งหูฟังอย่างตั้งใจ พอได้ยินเข้าก็หัวเราะคิกคัก “ลอกผลงานในเกมชนเผ่านักรบมาชัดๆ เลยนี่นา…”
“เหอะๆๆ…พูดซะจนฉันเกือบจะเชื่อตามเลยนะ” ชายแว่นดำกลับัวเราะขึ้นมาทันควัน เขาจ้องหน้าหลิงม่อ แล้วบอกว่า “ในเวลาแค่นี้แกกลับคิดอะไรได้มากมายขนาดนี้ ฉันคงดูถูกแกเกินไป…ถ้าไม่ใช่เพราะฉันมั่นใจในการอำพรางตัวของตัวเองมาก ฉันคงจะสงสัยไปแล้วว่าการตายของหมายเลข 0เป็นการลองเชิงล่วงหน้าจากแกหรือเปล่า ร้ายกาจมาก แต่น่าเสียดายที่มันไม่ใช่อย่างนั้น”
“หมายเลข 0 ก็คือแกด้วยอย่างนั้นหรือ?” หลิงม่อถามอย่างตกตะลึง
“แน่นอนว่าไม่ใช่ มันเป็นแค่ตัวทดลองที่ล้มเหลวเท่านั้น” ชายแว่นดำว่า
หลิงม่อนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา “ฉันเข้าใจแล้ว รวมร่างใช่ไหมล่ะ?”
มุมปากของชายแว่นดำกระตุกเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไร
หลิงม่อยันเข่าลุกขึ้นยืน แล้วก้มหน้าพูดกับชายแว่นดำว่า “ข้อผิดพลาดของแก คือแกไม่ได้เลือกคนที่จะรวมร่างด้วยให้ดี หลังจากที่พลังจิตถูกเจ้ามาสเตอร์บอลกำราบไว้ จิตใต้สำนึกที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของเจ้าของร่างเดิมก็จะโผล่ขึ้นมา และแก…แกอ่อนแอกว่าบอสใหญ่ตัวจริงมาก”
“เชี่ย แก…อื้อๆ!”
หลิงม่อลุกขึ้นปัดเสื้อนอกสองสามที มองหน้าชายแว่นดำที่ถูกอุดปากด้วยเศษผ้าอีกครั้ง แล้วพูดเสียงเบาว่า “แกเป็นบอสใหญ่ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เป็นบอสใหญ่ด้วย ตอนนี้พอมีจิตใต้สำนึกของตัวเอง แกจะไม่อยากมีร่างกายเป็นของตัวเองเชียวหรือ? ส่วนสัมผัสที่ถูกส่งมาจากทางนั้น…” เขาหันไปมองยังทิศที่ตั้งของนิพพานสำนักงานใหญ่ แล้วกระตุกมุมปากขึ้นเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย “เขาแค่ทิ้งแกเพื่อตัวเองเท่านั้น แกอาจคิดว่านี่เป็นการเสียสละ แต่ไม่คิดบ้างหรอว่าความคิดแบบนี้เป็นความคิดที่เขายัดเยียดใส่สมองของแกน่ะ?”
“ลองคิดดูดีๆ ถ้าให้ความร่วมมือกับฉัน แกอาจจะอยู่ได้นานขึ้นหน่อย”
“อื้อๆ!” ชายแว่นดำยังคงดิ้นรนขัดขืน แต่หลังจากถูกหลิงม่อจับได้ การขัดขืนในระดับนี้ของเขาก็ถูกจัดการได้ง่ายๆ ด้วยพลังจิตก่อกวนเพียงครั้งเดียว
หลอมรวมดวงจิต…วิธีการใช้ความสามารถพิเศษประเภทนี้อาจดูยุ่งยาก แต่จริงๆ แล้วมันกลับง่ายดายมาก
นำดวงแสงแห่งจิตของร่างอื่นมาหลอมรวมกับพลังงานทางจิตของตัวเอง เท่านี้ก็เท่ากับเป็นการสร้าง “ร่างแยก” ของตัวเองขึ้นมาแล้วหนึ่งร่าง
รูปแบบความคิดของ “ร่างแยก” จะเหมือนกับร่างจริง แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว ดูจากเหตุการณ์เมื่อกี้ เหมือนว่ามีพลังสัมผัสรู้บางอย่างอยู่ระหว่างร่างแยกเหล่านี้กับร่างจริง ซึ่งสามารถสร้างผลกระทบบางอย่างกับอีกฝ่ายได้เล็กน้อย ทว่าระดับของผลกระทบ และจำนวนของร่างแยก จะต้องมีขีดจำกัดอย่างแน่นอน
ถ้าหากเมื่อกี้หลิงม่อปล่อยให้ชายแว่นดำหลุดจากการควบคุม เดาว่าเขาคงจะหมดประโยชน์ในฐานะเชลยไปทันที
เพียงแต่เขาไม่รู้เลยว่า หลิงม่อรู้ความจริงถึงขั้นนี้แล้ว…
วินาทีที่หันกายเดินออกไป สายตาของหลิงม่อฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่องเล็กน้อย
ขณะที่เขาพูดเรื่องเหล่านั้นจบ คลื่นดวงจิตของชายแว่นดำก็เกิดการเปลี่ยงแปลงขึ้นชั่วเสี้ยววินาที…
“ถึงจะเป็นตัวทดลองที่ล้มเหลวยังไงก็ตาม แต่พวกแกจะไม่ใช้มันมาเป็นตัวอย่างเปรียบเทียบเชียวหรือ?” หลิงม่อเม้มปาก พลางคิดในใจ
………..
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ณ ทางเดินเส้นนั้นในนิพพานสำนักงานใหญ่
หลังจากทนฟังเสียงกรีดร้องอีกเป็นร้อยครั้ง ในที่สุดประตูบานนั้นก็เปิดออก
เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนที่กำลังเดินตรวจตรารีบพากันเดินเข้าไป ไม่ถึงสองนาทีพวกเขาก็ลากถุงบรรจุศพสามใบที่โชกไปด้วยเลือดออกมาจากข้างใน
เสียงลากที่เกิดจากถุงบรรจุศพสีดำเสียดสีกับผิวพื้น ทำเอาหัวหน้าทีมชั่วคราวนั่งไม่ติดเก้าอี้
ถึงแม้จะคาดเดาถึงจุดจบได้ตั้งแต่ที่เสียงกรีดร้องเริ่มเบาลงเรื่อยๆ แต่พอคิดว่าตัวเองจะต้องเดินเข้าไปในห้องนั้นแล้ว เขาก็ทำใจเย็นไม่ลง!
และในตอนนี้เอง จู่ๆ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งก็หันมา และกวักมือเรียกหัวหน้าทีมชั่วคราวจากที่ไกลๆ “เจ้าคนที่มีเรื่องจะรายงาน มานี่สิ”
หัวหน้าทีมซ่งหันไปมองเขา แล้วบอกว่า “ไปสิ”
“ฉันไม่อยากไปนี่!” หัวหน้าทีมชั่วคราวคร่ำครวญในใจ
บรรยากาศในห้องกลับคืนสู่ความสงบแล้ว พอยืนมองเข้าไปจากประตู ก็รู้สึกได้เพียงว่าข้างในช่างกว้างขวาง ของประดับตกแต่งทุกอย่างดูหรูหรา หลังจากที่ศพถูกลากออกไป ก็ไม่เห็นว่าบนพื้นจะมีคราบเลือดเหลือให้เห็น และเมื่อกวาดตามองทั่วห้องก็ไม่เห็นว่าจะมีเครื่องมือทรมานแต่อย่างใดเหมือนกัน แต่ทั้งสองฝั่งของห้องล้วนเป็นห้องแยก ไม่แน่ว่าหนึ่งในนั้นต่างหากที่เป็นห้องทรมานจริงๆ…
พอคิดได้ว่าในห้องนี้เพิ่งมีคนตายไปถึงสามคน หัวหน้าทีมชั่วคราวก็แข้งขาสั่นขึ้นมาทันที
สถานที่ที่จะพูดคุยกันอยู่ในห้องแยกห้องหนึ่ง ทว่าหลังจากเดินเข้าไป หัวหน้าทีมชั่วคราวก็นิ่งค้างไป
“ทำไมเป็นนายล่ะ?” เขาเปิดปากถามโดยอัตโนมัติ
ไม่คิดเลยว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา กลับเป็นคนที่เขารู้จัก…
แต่เขาคนนี้ไม่ใช่บอสใหญ่แต่อย่างใด กลับเป็นสมาชิกธรรมคนหนึ่ง แล้วก็ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตด้วย…
หัวหน้าทีมชั่วคราวนึกถึงเรื่องการสอบสวนหนอนบ่อนไส้ที่ถูกพูดถึงก่อนหน้านี้ แต่สภาพของคนตรงหน้าเขาก็ไม่ได้ดูเหมือนคนที่ผ่านการทรมานมาเลยนี่…
นอกจากสีหน้าที่ดูซีดเซียวเล็กน้อย ท่าทางของเขากลับดูผ่อนคลาย ซ้ำยังให้ความรู้สึกเหมือนเขากำลังรู้สึกอิ่มเอมอย่างน่าประหลาด
แต่ในความอิ่มเอมนั้น ก็แฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
หัวหน้าทีมชั่วคราวรู้สึกว่าสีหน้าที่คนคนนี้แสดงออกมาค่อนข้างขัดแย้งกัน เหมือนอารมณ์สองอารมณ์ที่ถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน…
“นายเคยเจอฉัน?” จู่ๆ อีกฝ่ายกลับกระตุกยิ้มมุมปาก แล้วบอกว่า “ช่างเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันเป็นตัวแทนของบอสใหญ่ มีอะไรก็บอกกับฉันแล้วกัน”
“หา?” หัวหน้าทีมชั่วคราวตั้งตัวไม่ทัน
“เจ้าแซ่หลิงนั่นมันฝากนายมาบอกอะไร?” อีกฝ่ายกลับเปลี่ยนเรื่องทันที
“คือว่า…” หัวหน้าทีมชั่วคราวลังเล แต่อีกฝ่ายกลับถลึงตาจ้องเขาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์
พอถูกเขาจ้องอย่างนี้ หัวหน้าทีมชั่วคราวรู้สึกถึงไอเย็นที่แผ่ซ่านขึ้นมาจากปลายเท้า จึงรีบพูดขึ้นว่า “ฉันจะบอกแล้ว…”
ก็ดีเหมือนกัน เผชิญหน้ากับตัวแทน ยังไงก็ดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับบอสใหญ่ตรงๆ ล่ะนะ…
“เพราะเจ้าหลิงเกอนั่นบอกว่าจะต้องบอกกับบอสใหญ่โดยตรงเท่านั้น ฉันก็เลย…” หัวหน้าทีมชั่วคราวคิด พลางพูดขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “เขาบอกว่า หนูหนึ่งรังอาจดูจัดการยาก แต่ความจริงแค่ต้องจับหนูหนึ่งในนั้นให้ได้ เขายังบอกด้วยว่าไม่ว่าใจหนูจะคิดอะไรอยู่ เขาก็มีวิธีเค้นความจริงออกมาให้ได้อยู่ ถ้าหากหนูที่เหลือไม่เชื่อฟัง เขาก็ไม่ถือสาที่จะใช้ไม้แข็ง”
อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เขาพูดแค่นี้?”
“ยังบอกอีกว่า…บอกให้บอสใหญ่สำนึกเข็ดหลาบเสียบ้าง นึกถึงรสชาติความรู้สึกในตอนนั้นให้มากๆ อย่าคิดว่าเขาแค่พูดขู่ให้กลัว” เหงื่อเย็นๆ เริ่มไหลอาบร่างหัวหน้าทีมชั่วคราว
“นี่คงไม่ใช่คำพูดเดิมของเขาหรอกใช่ไหม?” อีกฝ่ายพูดขึ้น
หัวหน้าทีมชั่วคราวฝืนยิ้ม แล้วบอกว่า “ความหมายโดยรวมก็ประมาณนี้แหละ…”
“คิดจะทำให้พวกเรากลัวว่าขว้างหนูแล้วจะกระทบโดนสิ่งของอื่นงั้นหรือ…คำขู่นี้…ช่างโอหังยิ่งนัก แต่เขาคิดว่าฉันจะกลัวจริงๆ หรือ?”
อีกฝ่ายใช้นิ้วเคาะโต๊ะ พลางหรี่ตาเบาๆ
ถึงแม้จะไม่ได้ถูกอีกฝ่ายจ้องหน้าอยู่ แต่หัวหน้าทีมชั่วคราวกลับรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตอย่างชัดเจน
“ยังมีอีกไหม?” จู่ๆ อีกฝ่ายก็ถามขึ้น
หัวหน้าทีมชั่วคราวกัดฟันแน่น แล้วบอกว่า “เขาบอกว่า…อย่าบีบังคับฉันให้มาก ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะเหยียบแกให้ตายตก…ไปทีละตัวๆ ไม่เชื่อแกก็ลองดู”
“ปึง!”
ตัวแทนบอสใหญ่ตบโต๊ะดังปึง ทำเอาหัวหน้าทีมชั่วคราวตัวสั่นขึ้นมาทันที
ผ่านไปสองนาทีเต็มๆ ตัวแทนคนนี้จึงได้โบกมือแล้วพูดขึ้นว่า “ออกไป!ใช่สิ เรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าประตูเข้ามาด้วย”
“ได้…” หัวหน้าทีมชั่วคราวเดินไปเปิดประตูทันทีราวกับต้องการจะวิ่งหนี เสี้ยววินาทีที่ก้าวออกจากห้อง ในสมองของเขายังคงคิดอย่างสงสัยว่า ทำไมจู่ๆ เจ้าหมอนี่ถึงได้กลายเป็นคนอำมหิตไปอย่างนี้ล่ะ? ท่าทางโหดเหี้ยมอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าใครก็แสร้งทำกันได้นี่…
ขณะที่เขาปิดประตูห้อง หัวหน้าทีมชั่วคราวก็ได้ยินเสียงคำรามต่ำดังมาจากในห้อง “เจ้าแซ่หลิง ฉันจะฆ่าแก!”
—————————————————————————–