“ยังไม่รีบไปอีก!” บอสใหญ่ตะคอกอย่างหมดความอดทน
บรรดาสมาชิกระดับสูงสะดุ้งโหยงไปตามๆ กัน พอได้สติก็รีบแย่งกันลงจากรถอย่างหวาดกลัว
“ใช่แล้ว เรียกผู้มีความสามารถพิเศษทุกคนมารวมตัวกันด้วย ฉันมีเรื่องจะให้พวกเขาทำ” บอสใหญ่ตะโกนไล่หลังมาอีกครั้ง
“ครับ!”
หัวหน้าทีมวิจัยรับคำอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็ชิงลงรถไปเป็นคนแรก
ไม่นาน ในตัวรถบัสก็เหลือบอสใหญ่อยู่เพียงคนเดียว
เขานั่งอยู่บนโซฟาที่หันหลังให้ประตูรถ ร่างกายยังคงสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
เมื่อเสียงประตูรถปิดดังขึ้น ดวงตาที่กำลังปิดสนิทของบอสใหญ่ พลันเบิกโพลงขึ้นทันที
เขาค่อยๆ หันหน้าไปทางหน้าต่างรถที่อยู่ด้านข้าง
ด้านนี้ของรถบัสไม่ได้ถูกหลิงม่อโจมตี สภาพกระจกหน้าต่างยังคงดูสมบูรณ์ดี และด้านนอกนั้นก็คือกำแพงรั้วของอาคารสิ่งก่องสร้างต่างๆ ที่ยามนี้ถูกความมืดปกคลุมจนมองไม่เห็นเงาร่างใด
สิ่งที่บอสใหญ่กำลังจ้อง กลับเป็นเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนกระจกหน้าต่าง
ใต้แสงไฟสาดส่อง เขาเห็นตัวเองอย่างชัดเจน
สีหน้าเคร่งขรึม เครื่องหน้าที่ดูบิดเบี้ยวเล็กน้อย สิ่งที่สะดุดตาที่สุด กลับเป็นดวงตาทั้งคู่ของเขา
เขาในตอนนี้ มีอาการเหมือนชายแว่นดำทุกประการ…
บอสใหญ่จ้องเงาตัวเองที่ดวงตาเหลือกขาวสะท้อนอยู่ในกระจก พลางกัดปากแน่น แล้วคว้าที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะชาขว้างใส่เงาตัวเองบนกระจกเต็มแรง
“เคร้ง!”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น บอสใหญ่ก็คำรามด้วยความโกรธแค้นรอดไรฟัน “ตายซะให้หมด! พวกแกต้องตายซะให้หมด!”
ในพื้นที่สีเขียวของมหาลัยแพทย์ คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินไปตาม “เส้นทาง” เส้นหนึ่งอย่างระมัดระวัง
แต่แทนที่จะบอกว่าเป็นเส้นทาง สู้บอกว่าเป็นทางเดินที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ลูกบอลขนาดใหญ่กลิ้งผ่านจะเหมาะกว่า เพียงแต่ลูกบอลลูกนั้นน่าจะกลิ้งได้ไม่ค่อยไหลลื่นนัก
ใบหญ้าคมกริบถูกเหยียบทับติดพื้น กิ่งก้านของพุ่มไม้ใบหญ้าถูกแหวกเปิดเป็นช่องเล็กๆ
เหล่าหลันเดินตามมู่เฉินด้วยสีหน้าตะลึง แล้วจู่ๆ ก็ร้องขึ้นมา “นี่น่าจะเป็นฝีมือของสัตว์ลกลายพันธุ์แน่เลยใช่ไหม?”
“จะเป็นไปได้ไง…” หลิงม่อพูดเสียงขึ้นจมูก
ทว่าในใจเขากลับสั่นสะท้านไปทั้งทรวง ไม่คิดเลยว่าเขาจะดูออกด้วย?!
ตามหลักแล้ว ร่องรอยการกลิ้งของเสี่ยวป๋ายที่มีรูปร่างใหญ่โตขนาดนั้น ไม่น่าจะโยงไปถึงสัตว์กลายพันธุ์ที่มักเคลื่อนไหวคล่องแคล่วได้เลย
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาเห็นร่องรอยอย่างนี้ จะต้องคิดว่าเป็นฝีมือคนแน่นอน
แต่ “คนอื่น” ที่ว่านี้ ก็หมายถึงหลันหลันและมู่เฉินที่กำลังทำหน้าตกตะลึงอยู่ข้างๆ นั่นเอง…
“ไม่ใช่มั้ง พวกซย่าน่าเป็นคนทำต่างหาก” หลันหลันบอก
มู่เฉินเองก็พยักหน้า “อย่าคิดว่าพวกเธอดูบอบบางแล้วจะทำไม่ได้นะ ลุงคิดว่าเคียวดาบในมือซย่าน่าเป็นพร็อพตกแต่งหรอ? นั่นน่ะเอาไว้ถางหญ้าโดยเฉพาะเลยนะ แถมยังใช้ประโยชน์ด้านอื่นได้ด้วย…”
“นายไม่อยากเป็นคนแล้วสินะ?” ซย่าน่าถามพร้อมรอยยิ้มบาง
“ฮูหยินน้อยหลิง ข้าน้อยผิดไปแล้ว” มู่เฉินหุบปากทันที
เหล่าหลันส่ายหน้าไปมา แล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ไม่ไม่ ถึงแม้ตรงนี้จะมีร่องรอยถูกเคียวดาบถางหญ้า แต่จุดที่รากและใบหญ้าพวกนี้ขาดล่ะ? พวกเธอมาดูนี่…”
“ต้องมีสัตว์กลายพันธุ์เพิ่งกลิ้งตัวผ่านไปทางนี้แน่นอน ช่างน่ามหัศจรรย์…” หลิงม่อพูดขึ้น
“น่าจะมีให้เห็นไม่น้อยนี่ สัตว์กลายพันธุ์ที่ชอบกลิ้งตัวไปมาในพุ่มหญ้าเวลาเบื่อน่ะ…” หลันหลันพูดส่งๆ เธอกำลังค้อมตัวลงไปดูเช่นกัน แต่กลับดูอะไรไม่ออกเลย แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่จะขวางเธอไม่ให้วิ่งไปวิ่งมาพร้อมรอยยิ้มร่า ถ้าหากไม่ใช่ว่า “เส้นทาง” กว้างเพียงเท่านี้ เดาว่าเธอคงจะลุกขึ้นมาเต้นบัลเลต์แล้ว
มู่เฉินพูดเสริม “ก็เป็นความเคยชินของสัตว์บางชนิด…”
สีหน้าของเขาในตอนนี้ดูบูดบึ้งเล็กน้อย มีทหารไล่ล่าอยู่ข้างหลัง แต่สองพ่อลูกนี้มันยังไงกัน!
คนหนึ่งก็เอาแต่ถูฝ่ามือไปมาแล้วส่องแว่นขยายไปทั่ว ส่วนอีกคนก็ดูท่าทางเหมือนดีใจมากจนจะบินได้อยู่แล้ว…
มันใช่หรอ?!
มู่เฉินไม่รู้เลย ว่าสองคนนี้ไม่ได้ออกมาข้างนอกนิพพานเกือบจะหนึ่งปีแล้ว…
หลันหลันอารมณ์เด็กสาว จู่ๆ ก็ได้รับอิสระกลับคืนมาอีกครั้ง แล้วเธอก็ไม่ต้องห่วงเรื่องที่ตัวเองจะตายแล้ว ย่อมต้องมีความสุขเป็นธรรมดา
แต่เหล่าหลันล่ะ?
ตาแก่บ้านั่น…
“แต่สัตว์กลายพันธุ์ที่กลิ้งตัวจนกลายเป็นทางอย่างนี้มีไม่เห็นไม่มากหรอก!” เหล่าหลันยังคงยืนหยัดในความคิดตัวเอง
“งั้นลุงก็ดูผิดแล้ล่ะ” หลิงม่อบอก
เหล่าหลันทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรอีก แต่เขากลับเห็นหลิงม่อหรี่ตาลง และจ้องเขาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์
เขาชะงักไปเล็กน้อย แล้วไม่นานก็รู้ตัว
หรือว่าจะเป็น ซอมบี้ตัวนั้น?!
เขาตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่คิดเลยว่าซอมบี้ตัวนั้นจะมีพรรคพวกเป็นสัตว์กลายพันธุ์ด้วย!
แต่โดยทั่วไปแล้ว สัตว์กลายพันธุ์กับซอมบี้ เป็นเหมือนน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้นี่นา…
เหล่าหลันขมวดคิ้วครุ่นคิด สุดท้ายเขาก็โยนข้อสรุปไปที่การกลายพันธุ์ส่วนสมองของซอมบี้ตัวนั้น
แม้แต่คนยังเอาอยู่ นับประสาอะไรกับแค่สัตว์กลายพันธุ์ตัวสองตัว?
พอคิดอย่างนี้ เขาก็เผยสีหน้าคลายสงสัยออกมา แถมยังทำท่าลูบคางเหมือน “ฉันเข้าใจแล้ว” อีกต่างหาก
หลิงม่อส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเล็กน้อย ตลอดการเดินทางนี้ เหล่าหลันคือคนที่เขาโกหกยากที่สุด
ท้องฟ้ามืดขนาดนี้ แต่เขาก็ยังสังเกตได้ละเอียดยิบปานนี้!
ถ้าจะก้มหน้าชิดพื้นขนาดนั้น ไม่นอนลงไปเลยล่ะ!
ทว่าซอมบี้ตัวนั้นเป็นเหมือนยาสรรพคุณครอบจักรวาลเลยทีเดียว หลิงม่อไม่ต้องอธิบายอะไร เหล่าหลันก็จะเอาไปจินตนาการต่อเอง…
โชคดีที่ภายนอกเย่เลี่ยนกับซย่าน่าดูปกติดี ถึงแม้เหล่าหลันจะจ้องพวกเธออยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับมองอะไรไม่ออก เพียงแค่ตบไหล่หลิงม่อเบาๆ แล้วบอกว่า “นายนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ…ปีนั้นตอนที่ฉันเรียนต่อเมือง ฉันเองก็เคยพานพบสาวงามดั่งบุปผามามากมาย แต่ไม่เคยผูกสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยเลยซักหน…”
“จะบอกว่าจีบสาวไม่เคยได้เลยซักคน?” หลิงม่อจับประเด็นคำพูดของเขาได้ในทันที
เหล่าหลันหุบยิ้มทันที จากนั้นก็พยักหน้าอย่างหนักใจ “เป็นเพราะพวกหล่อนไม่รู้จักของดีน่ะสิ!”
พูดจบ เขาก็ใช้สายตาพร่ำเพ้อมองมาทางหลิงม่อ “แต่นายกลับมีตั้งสองคน…แถมยังสวยซะขนาดนั้น…”
“สามคนต่างหาก” หลิงม่อแก้
“สวยไหม?”
“ถือว่าสวยเลยล่ะ” หลิงม่อถ่อมตัวเล็กน้อย
“…จู่ๆ ฉันก็อยากกลับนิพพานขึ้นมาแล้วสิ…” เหล่าหลันข่มกลั้นความอิจฉาไว้หลายวินาที จนในที่สุดก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“ฮ่าๆๆ” หลิงม่อหัวเราะ
………..
เขากำลังใช้ความคิดอยู่ แต่จู่ๆ หลันหลันก็หันมาถามเขาเสียงเบา “นี่ ฉันถามอะไรหน่อย ทำไมเรียกน่าน่าไม่ได้ล่ะ?”
“อีกหน่อยค่อยบอก” หลิงม่อพูดกำกวม
ซย่าน่าที่เดินอยู่ข้างหน้าเหมือนรู้ตัว เธอหันมาส่งยิ้มให้หลิงม่อเล็กน้อย
หลิงม่อเองก็ตอบแทนด้วยรอยยิ้มบางเช่นกัน ในใจกลับอดคิดไม่ได้ เขาจะบอกหลันหลันได้อย่างไรล่ะ ว่าร่างนั้นมีซย่าน่าอยู่สองคน?
เรียกแค่น่าน่า ร่างดวงจิตร่างนั้นก็ต้องดีใจอยู่แล้ว แต่ร่างจริงซอมบี้กลับไม่พอใจมากน่ะสิ!
เวลาซย่าน่าไม่พอใจ หลิงม่อเองก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าเธอจะทำเรื่องแผลงๆ อะไรไหม…
ซย่าน่าหันกลับไป แล้วพูดเสียงเบากับเย่เลี่ยนสองสามคำ
ไม่นาน หลิงม่อก็ได้ยินเสียงเย่เลี่ยนพูดอย่างเหนียมอายว่า “หา? ปะ…ประตูใหญ่ของพี่หลิง…เปิดแล้ว?”
“ประตูใหญ่ใครเปิดแล้ว!” หลิงม่อเคือง
ยัยเด็กซย่าน่านั่น…เล่นงานเขาทุกครั้งที่มีโอกาสจริงๆ!
“อยากดูก็บอกตรงๆ ได้นะ” หลิงม่อตะโกนเสริม
“ให้ซือหรานดูเถอะ ให้เธอได้ดับความกระหายนิดหนึ่ง…” ซน่าน่าหัวเราะคิกคัก
“นี่ เดี๋ยวเถอะนะ…”
พอพูดถึงอวี๋ซือหราน หลิงม่อก็รู้สึกหนังศีรษะตึงชา ขณะเดียวกันก็ลอบขำด้วย
เปิดประตูใหญ่ให้ยัยซอมบี้โลลิดูน่ะหรอ เขาโรคจิตขนาดนั้นซะที่ไหน?
เพิ่งจะพูดจบ หลิงม่อกลับพบว่า หลันหลันที่ยืนอยู่ข้างๆ กำลังมองเขาด้วยสายตาพิจารณา
“ไม่ได้เปิดจริงๆ นะ!” หลิงม่อโวยวาย
ในที่สุดมู่เฉินก็ถอนหายใจและพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “พวกเธอช่วยรู้สึกหวาดระแวงต่ออันตรายบ้างได้ไหม…”
“ใช่แล้ว ฉันอยากถามตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ทำไมนายต้องจับจิ้งจอกตาขาวตัวนี้มาด้วย?” หลันหลันชี้ไปที่ชายแว่นดำที่หลิงม่อกำลังลากอยุ่
พอได้ยินหลันหลันพูดถึงตัวเอง ชายแว่นดำก็ร้อง “อู้อี้ๆๆ” และดิ้นขัดขืนขึ้นมาทันที
แต่พอเขาขยับตัว หัวไหล่ก็ถูกใบหญ้าข้างทางบาดจนเป็นแผลอีกครั้ง ความเจ็บปวดทำให้เขาเบิก “ดวงตาสีขาว” กว้าง แล้วเสียง “อู้อี้ๆๆ” ก็ดังถี่ขึ้น
“ปากก็ถูกปิดไปแล้ว ทำไมยังไม่ทำตัวว่าง่ายอีกล่ะ?” หลิงม่อพูด พลางยกเท้าเตะออกไปอย่างแรง
และครั้งนี้เขาก็เตะโดนเอวของชายแว่นดำอีกครั้ง ร่างกายเขาเกร็งไปทั้งตัว จากนั้นก็ตัวอ่อนเพราะหมดแรงไปอีกหน
สภาพของชายแว่นดำในตอนนี้ดูน่าอนาถมากจริงๆ เชือกเส้นหนึ่งถูกนำมามัดรอบปากเขา แถมในปากยังมีผ้าเก่าๆ ก้อนหนึ่งยัดไว้ด้วย
ทั้งมือและเท้าต่างก็ถูกมัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนา และหลิงม่อก็ยังคงลากคอเสื้อด้านหลังเขาเหมือนเดิม
หลิงม่อในตอนนี้ถึงแม้จะดูหน้าซีดไปเล็กน้อย แต่เขาก็ยังมีเรี่ยวแรงมากพอ
ระหว่างที่กำลังเดินอยู่นี้ พลังจิตที่ถูกเผาผลาญไปก็กำลังฟื้นฟูกลับมาทีนิดๆ…
ส่วนเจ้ามาสเตอร์บอลที่อยู่บนหัวชายแว่นดำ ตอนนี้กลับเลื่อนลงไปอยู่ที่ต้นคอเขาแล้ว
ถูกแรงดูดของมันควบคุมอยู่อย่างนี้ ชายแว่นดำจึงไม่กล้าใช้พลังจิตเลยแม้แต่น้อย
ทว่าหลิงม่อก็ไม่ได้อยากให้เจ้ามาสเตอร์บอลดูดพลังของเขา เขาแค่ทำอย่างนี้เพื่อระวังความปลอดภัยเท่านั้น
และเรื่องจริงก็ได้พิสูจน์แล้ว ว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลมาก
“เหล่าหลัน” หลิงม่อไม่ตอบคำถามหลันหลัน แต่กลับหันไปถามเหล่าหลัน “ลุงมั่นใจไหมว่าคนที่อยู่บนรถเมื่อกี้ คือบอสใหญ่ที่ลุงเห็นในตอนแรก?”
“มั่นใจสิ” เหล่าหลันละสายตาที่กำลังกวาดมองรอบข้าง แล้วหันมาพยักหน้าให้เขา
“แล้วเขาล่ะ ลุงไม่รู้จักเขาจริงๆ หรอ?” หลิงม่อถามต่อ
เหล่าหลันมองชายแว่นดำอย่างไม่ค่อยสนใจนัก “ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ เขาหน้าตาประหลาดออกอย่างนี้ ถ้าเคยเห็นฉํนต้องจำได้สิ”
“อื้อๆๆ!” ชายแว่นดำส่งเสียงอู้อี้ออกมาอีกครั้ง
“อย่างนั้นหรอ…ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” หลิงม่อครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็ก้มหน้ายิ้มให้ชายแว่นดำ “ฉันตั้งข้อสันนิษฐานไว้ข้อหนึ่งแหละ เดี๋ยวรอกลับไป ต้องรบกวนแกให้ความร่วมมือในการพิสูจน์ด้วยล่ะ”
“อื้อๆๆๆๆ!” ชายแว่นดำยืดเกร็งลำคอ เหมือนกำลังตื่นตระหนก
หลิงม่อแค่นเสียงเย็น เขาพอจะเดาออกว่าชายแว่นดำอยากพูดอะไร ก็คงจะเป็นอะไรประมาณว่าต่อให้ตายก็ไม่ยอม ฆ่าฉันให้ตายซะดีกว่า…
“อยากตาย ก็ไม่ใช่ว่าจะตายได้ง่ายๆ นะ” หลิงม่อพูดเสียงเบา
ชายแว่นดำพลันนิ่งเงียบไป “สายตา” ที่มองหลิงม่อ พลันฉายแววลนลานขึ้นมาเล็กน้อย
หลิงม่อกลับไม่มองหน้าเขาอีกต่อไป แต่หันไปพูดคุยสัพเพเหระกับพวกซย่าน่าแทน
หลันหลันเองก็พูดแทรกขึ้นบ้างเป็นพักๆ ในพื้นที่สีเขียวอันมืดมัวและน่ากลัวแห่งนี้ กลุ่มคนที่กำลังหนีการไล่ล่ากลุ่มนี้กลับดูผ่อนคลายสบายอารมณ์มาก
ส่วนมู่เฉินนั้นได้ยอมแพ้ไปแล้ว เขากำลังพึมพำกับตัวเองว่า “ช่างเถอะ ถึงยังไงคนพวกนั้นก็คงคิดไม่ถึงหรอกมั้งว่าเส้นทางหนีของพวกเราจะเป็นอย่างนี้น่ะ…”
—————————————————————————–