แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 689 นายคิดว่าฉันจะช่วยนายทำลายความทรงจำวัยเด็กหรอ

บทที่ 689 นายคิดว่าฉันจะช่วยนายทำลายความทรงจำวัยเด็กหรอ

ซอมบี้ธรรมดาพวกนั้นไม่รู้วิธีเปิดประตู แต่แค่มีพลังทำลายล้างสูงก็เพียงพอแล้ว

“แกร๊ก” เสียงบานประตูหักดังขึ้น พร้อมกับเสียงคำรามของเหล่าซอมบี้ที่ดังก้องเข้ามาในตัวอาคาร

“ไปเร็ว!” มู่เฉินเร่งฝีเท้า เขารีบผลักประตูนิรภัยที่เปิดทิ้งไว้ออก

แสงสว่างจ้าพลันส่องเข้ามาข้างใน ขณะเดียวกันก็มีซอมบี้สองตัวกระโจนเข้ามา

มู่เฉินตกใจตามสัญชาตญาณ แต่การเคลื่อนไหวกลับว่องไว เขายืนขวางประตูแล้วรีบชักมีดออกมาแทงทันที

คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะยกมีดขึ้น จู่ๆ หน้าผากและท้องของซอมบี้สองตัวนั้นก็ถูกแทงทะลุเป็นรู

เคียวดาบของซย่าน่าพุ่งผ่านจากด้านข้าง เกี่ยวซอมบี้ตัวที่ยังไม่หมดลมขึ้น แล้วทุ่มร่างมันลงกับพื้นแรงๆ

ภาพน่าสะพรึงขวัญอย่างนี้หากไม่เห็นกับตา คงยากที่จะเชื่อว่าเป็นฝีมือของเด็กสาวอย่างซย่าน่า

มู่เฉินหันกลับไปมองหลิงม่อด้วยสีหน้าตกตะลึง แต่กลับเห็นหลิงม่อทำหน้าเรียบเฉย “ก็ฉันมีพลังสัมผัสรู้นี่…”

“เรื่องนั้นฉันรู้น่า…ถ้างั้นนายก็น่าจะเตือนกันก่อนเซ่!” มู่เฉินโวยลั่น

“ถ้ายังไม่ไปอีกจะทิ้งนายไว้คนเดียวแล้ว” ซย่าน่าชายตามองมู่เฉิน แล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา

“กรร กรร!”

ซอมบี้สามสี่ตัววิ่งเข้ามาถึงทางเดินแล้ว พวกมันกำลังวิ่งพุ่งมาหาพวกหลิงม่อที่กำลังยืนอยู่ตรงทางออก

ในด้านความเร็วและพละกำลังของซอมบี้เหล่านี้ยังใกล้เคียงกับซอมบี้ธรรมดาที่หลิงม่อเคยเจอที่เขตอื่น แต่รูปแบบพฤติกรรมกลับแสดงออกถึงความฉลาดกว่าอย่างเห็นได้ชัด

หนึ่งในนั้นพอพุ่งตัวมาอยู่ข้างหน้า ก็ตวัดสายตามองไปทางสวี่ซูหานทันที

มันถอยไปชิดกำแพง เพื่อพยายามเดินผ่านเย่เลี่ยนที่ยืนขวางอยู่ข้างหน้า

แม้ว่าเย่เลี่ยนจะเก็บซ่อนกลิ่นอายแล้ว แต่พลังของซอมบี้เจ้าเมืองไม่ใช่สิ่งที่สามารถปิดบังได้ ซอมบี้พวกนั้นจึงสามารถรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ

แน่นอน หลิงม่อกับมู่เฉินย่อมต้องเป็นเป้าหมายแรกในการโจมตี แต่ยังมีซอมบี้ชนชั้นสูงอย่างหลี่ย่าหลินและซย่าน่าคอยป้องกันอยู่อีกชั้น

ดังนั้นเป้าหมายที่ดูจัดการง่ายที่สุด ก็เหลือแต่สวี่ซูหานเท่านั้น

“นึกไม่ถึงว่าจะมีสติปัญญาขั้นพื้นฐานแล้ว…” หลิงม่อหันกลับไปมองในตัวอาคาร แล้วคิดในใจ

“ชิบ ช่วยเธอเซ่!” มู่เฉินหน้าถอดสีครั้งใหญ่ เขาตัดสินใจจะเลี้ยวกลับเข้าไปทันที

แต่เพิ่งจะย้อนกลับไปได้ก้าวเดียว เขาก็เห็นเย่เลี่ยนที่ตอนแรกเอาแต่ยืนเหม่ออยู่กับที่โฉบไหวร่างกาย และยกมือขึ้นคว้าต้นคอซอมบี้ตัวนั้นที่พยายามจะวิ่งผ่านเธอไปอย่างแม่นยำ จากนั้นก็เหวี่ยงร่างของมันใส่ซอมบี้ตัวอื่นๆ อย่างแรง

การโจมตีของเธอไม่เพียงทำให้พวกมันล้มระเนระนาด เพราะในสายตาของมู่เฉินกำลังสะท้อนภาพหยาดเลือดมากมายพุ่งกระฉูดอยู่กลางอากาศ

แล้วเย่เลี่ยนก็รีบหมุนตัวกลับมา พร้อมกับคว้าแขนสวี่ซูหานวิ่งออกมาจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

“เมื่อกี้…” มู่เฉินทำหน้าช็อก ไม่เจอกันแค่วันเดียว ความเร็วและเรี่ยวแรงของเย่เลี่ยนล้วนเข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เรียกได้ว่าเหนือชั้นกว่าเดิมมาก!

แถมเมื่อกี้ถึงเธอจะดูเหมือนคว้าต้นคอได้สบายๆ แต่ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง ซ้ำอีกฝ่ายก็ยังเป็นซอมบี้อีก เย่เลี่ยนคว้าต้นคอซึ่งถือเป็นส่วนที่ปลอดภัยอย่างแม่นยำได้ยังไงกัน?

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระเบิดซอมบี้ที่ถูกขว้างออกไปอย่างง่ายดายตัวนั้นเลย ซอมบี้สองสามตัวที่เหลือไม่ได้ยืนอยู่ในแนวเดียวกัน แต่กลับถูกขว้างจนล้มทุกตัว…

เซียนโบว์ลิ่งยังชิดซ้าย!

พอลองนึกถึงสีหน้าและปฏิกิริยาอันสงบนิ่งของหลิงม่อเมื่อกี้แล้ว เหมือนเขาจะเชื่อมั่นในตัวเย่เลี่ยนมาก

เป็นเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นที่พวกเขาอยู่นอกสายตามู่เฉิน ในช่วงเวลานั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ !

“อย่าพูดมากน่า รีบๆ ไปเร็ว” หลิงม่อกระชากประตูนิรภัย แล้วรีบวิ่งไป

เสี่ยวป๋ายกับอวี๋ซือหรานไม่มีปัญหาอยู่แล้ว อาศัยแค่เสี่ยวป๋ายตัวเดียวก็ยังเอาอยู่

เทียบกับพวกหลิงม่อ พวกเธอสามารถอำพรางกายได้ดีกว่าด้วยซ้ำ

หลิงม่อรู้ตัวว่ากลิ่นของตัวเองเป็นที่ดึงดูดของเหล่าซอมบี้ แต่ถ้าจะให้พกผ้าห่อศพติดตัวไว้กลบกลิ่นตลอดเวลา…เขาก็คงทำไม่ได้

ยิ่งพอมีมนุษย์จริงๆ อย่างมู่เฉินอยู่ด้วยแล้ว ถึงจะมีซอมบี้อยู่ในทีมเพิ่มอีกเท่าไหร่ ก็ไม่อาจหยุดยั้งการไล่ล่าได้

ด้านหลังมีลานจอดรถอยู่ตามคาด ไม่เพียงมีรถเบนซ์จอดอยู่เต็มไปหมด บนทางรถยังมีซากรถยนต์คันหนึ่งที่ถูกชนยับเยินจอดขวางไว้ตรงกลาง

พวกหลิงม่อเดินลัดเลาะผ่านรถยนต์เหล่านั้นเข้าไปตรงกลาง ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงลมแรงปะทะเข้ามาจากด้านข้าง

หลิงม่อโฉบกายหลบออกด้านข้างทันที มู่เฉินเองก็รีบหมอบลงอย่างรวดเร็ว

เงาดำตวัดผ่านด้านบนศีรษะ ตามมาด้วยเสียง “ปัง” ที่ดังขึ้น

เมื่อซากรถยนต์คันนั้นโยกเยกไปมาครู่หนึ่ง ทุกคนก็เห็นรูปร่างที่แท้จริงของเจ้าเงาดำนั่น

ซอมบี้ร่างใหญ่สวมชุดพนักงานซ่อมรถตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงนั้น โดยถือคีมเหล็กไว้ในมือหนึ่งอัน

หลังคารถถูกแรงขณะทิ้งตัวของมันทำให้ยุบลงไป ตอนที่พวกหลิงม่อจ้องมองมัน ก็เห็นหน้าต่างรถแตกร้าวดัง “แคร่ก”

“แรงเยอะมาก…” มู่เฉินเห็นแล้วลำคอแห้งผาก โดยเฉพาะรูปร่างของซอมบี้ตัวนี้ ถึงแม้จะไม่น่ากลัวเท่าซอมบี้เจ้าเมืองที่เมืองตงหมิง แต่เขาคิดว่าไม่ควรดูถูกจะดีกว่า

พอคีมเหล็กอยู่ในมือของมัน กลับดูเหมือนเป็นของเล่นชิ้นเล็กๆ ไปเลย

“ประเด็นคือมันใช้อาวุธเป็นต่างหากเล่า…” หลิงม่อเองก็จ้องซอมบี้ตัวนั้นอย่างไม่ยอมละสายตาเหมือนกัน “นายว่ามันจะเห็นพวกเราเป็นเห็ดน้อยรึเปล่า?”

“อย่ามาทำลายความทรงจำในวัยเด็กของฉัน ฉันไม่มีทางตอบนายแน่” มู่เฉินกลอกตามองบน

หลิงม่อพูด พลางค่อยๆ แอบเหลือบมองไปข้างหลัง

ทางออกลานจอดรถอยู่ตรงนั้น ตอนนี้ยังไม่เห็นซอมบี้โผล่มา แต่เดาว่าคงอีกไม่นาน

ถ้าหากถูกดักทั้งหน้าทั้งหลัง ลำพังแค่พวกหลิงม่อก็ยังเอาตัวรอดได้สบาย แต่ในการต่อสู้อันโกลาหลนี้ อาการของสวี่ซูหานคงจะแย่ลงมาก

ตอนนี้เธอกำลังซบไหล่เย่เลี่ยนอย่างอ่อนแรง และหายใจถี่ระรัวเพราะถูกกลิ่นเลือดกระตุ้น ดวงตาสองข้างจับจ้องไปที่ซอมบี้ร่างใหญ่อย่างเลื่อนลอย

“ไม่ต้องสู้กับมัน ล่อมันไปด้วยเลย” หลิงม่อตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

“ล่อไปด้วย? พวกเราจะวิ่งเร็วสู้มันได้ไง!” มู่เฉินตะลึง

เขาเพิ่งจะพูดจบ ซอมบี้ร่างใหญ่ตัวนั้นก็กระโดดสูง พุ่งตัวเข้ามาข้างบนศีรษะพวกเขาอีกครั้ง

ขณะที่ตัวยังอยู่กลางอากาศ ซอมบี้ร่างใหญ่ก็ยกคีมเหล็กขึ้นสูง และเป้าหมายของมันคือศีรษะของมู่เฉิน

มู่เฉินไม่กล้าตั้งรับตรงๆ จึงรีบเบี่ยงตัวหลบออกด้านข้าง

แต่พอซอมบี้ตัวนี้ทิ้งตัวลงพื้น คีมเหล็กในมือก็ถูกเหวี่ยงเข้ามาในแนวขวางอย่างไม่มีจังหวะหยุดพัก

“เคร้ง!”

มู่เฉินตั้งรับหนึ่งครั้ง แล้วเขาก็รู้สึกชาไปทั้งแขน

เป็นผู้มีความสามารถพิเศษยังขนาดนี้ ถ้าเป็นคนธรรมดา ถึงแม้จะมีความสามารถในการตอบสนองที่เร็วเหมือนกัน แต่ต้องมีกระดูกหักแน่นอน

“ทำไมมันจ้องเล่นงานฉันอีกแล้ววะ! มู่เฉินไม่คิดจะสู้ตาต่อตากับมันต่อ ทำได้เพียงหลบซ้ายเลี่ยงขวาอย่างน่าอนาถ

“ใครใช้ให้นายเกิดมาหัวโตล่ะ…” หลิงม่อตอบเสียงเรียบ แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนสั่งเสียงดัง “ไปทางซ้าย!”

มู่เฉินรีบโฉบหลบไปทางซ้าย ไม่นานเขาก็เห็นร่างกายของซอมบี้ร่างใหญ่ที่กำลังควงคีมเหล็กพุ่งตามมาหยุดชะงักไป แล้วหัวเข่าของมันมีเลือดพุ่งกระฉูดออกมา

พรวด!

เจ้าร่างใหญ่ล้มลงกับพื้น เปล่งเสียงครวญครางทันที

และไม่ต้องมีเสียงเตือนใดๆ มู่เฉินรีบเปิดแนบทันที

ทว่าพอเหลือบไปเห็นปืนไรเฟิลในมือเย่เลี่ยนแล้ว มู่เฉินอดรู้สึกเสียวสันหลังไม่ได้

เมื่อกี้เป็นจังหวะที่เกิดขึ้นเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น เย่เลี่ยนเริ่มเตรียมพร้อมและจ้องหาโอกาสตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ทั้งที่ไม่กี่วินาทีก่อนยังเห็นเธอตัวติดกับสวี่ซูหานอยู่เลย…

คงไม่ใช่ในเสี้ยววินาทีที่หลิงม่อตะโกนบอกให้เขาไปทางซ้ายหรอกนะ…

ในขณะที่ทุกคนกำลังจะพุ่งตัวออกไปทางประตูใหญ่ ซอมบี้ร่างใหญ่ก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

มันกะเผลกขาข้างหนึ่ง แล้วกระชับคีมเหล็กวิ่งตามมา ทว่าความเร็วของมันกลับลดลงไปมาก

“เฮ้ หัวหน้า มันกำลังเลือดไหลนะ พวกเราเอามันมาด้วยอย่างนี้ไม่เป็นการล่อซอมบี้ตัวอื่นมาด้วยหรอ?” มู่เฉินที่วิ่งหอบแฮ่กๆ อยู่ข้างหลิงม่อ ถามขึ้น

“ตัวนี้เป็นซอมบี้วิวัฒนาการ ซ้ำยังถึงช่วงกลางของระดับวิวัฒนาการแล้วด้วย มันแค่บาดเจ็บ แต่ยังมีรังสีอำมหิตอยู่ ซอมบี้ตัวอื่นอาจวิ่งตามมา แต่ไม่เข้ามาใกล้เกินไปแน่ๆ ซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อเรา ยังไงก็ยังดีกว่าถูกพวกมันล้อม” หลิงม่ออธิบาย

มู่เฉินเริ่มเคยชินกับ “สารานุกรมความรู้ประจำวันเกี่ยวกับซอมบี้” ของหลิงม่อแล้ว สิ่งที่เขาสนใจคืออีกเรื่องหนึ่ง “ฟังดูไม่เลว แต่หลังจากนั้นล่ะ? ซอมบี้ที่ไล่ตามเราก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่รึไง!”

“ถ้ามีซอมบี้เยอะเมื่อไหร่ก็ฆ่ามันทิ้ง ศพซอมบี้ธรรมดาไม่สามารถทำให้พวกมันละทิ้งการไล่ล่าได้ แต่ศพของซอมบี้ระดับวิวัฒนาการนั้นไม่เหมือนกัน” ซย่าน่ายิ้มประหลาด พูดจบเธอก็แลบลิ้นออกมาเลียมุมปากเบาๆ

“แต่มันจะทนไปได้อีกนานแค่ไหน?” มู่เฉินหันกลับไปมองอย่างกังวล

ซอมบี้ร่างใหญ่ตัวนั้นยังวิ่งไล่ตามมาอย่างไม่ยอมลดละ นอกจากนี้ความเร็วของมันก็ไม่ได้ช้าขนาดนั้น เมื่อใดที่พวกหลิงม่อหยุด ไม่กี่สิบวินาทีก็คงจะถูกไล่ตามทันแล้ว

ทว่าเข่าของมันถูกโจมตีจนเละหมดแล้ว มันวิ่งลากแข้งและฝ่าเท้าบิดๆ เบี้ยวมากับพื้น เหมือนมีแค่ผิวหนังที่เป็นตัวยึดให้ติดกันเท่านั้น

ตลอดทางที่วิ่งตามมา มันทิ้งรอยเลือดเป็นเส้นยาวไว้บนพื้นข้างหลัง ไม่เพียงเท่านั้น ในเลือดพวกนั้นยังมีเศษเนื้อเล็กๆ ปะปนอยู่ด้วย

“อย่าดูถูกความสามารถในการฟื้นตัวของซอมบี้” หลิงม่อบอก

สวี่ซูหานเองก็อดหันไปมองไม่ได้ หนึ่งเป็นเพราะแรงกระตุ้นจากกลิ่นเลือด สองเพราะจู่ๆ เธอเกิดความคิดประหลาดๆ ขึ้น…

มองดูสัตว์ประหลาดตัวนั้นแล้ว จู่ๆ เธอก็นึกตัวตัวเอง…

แข้งขาที่บิดเบี้ยวอย่างนั้นยังสามารถหายดีได้…แต่สิ่งที่เธอรู้สึกไม่ใช่ความดีใจ กลับเป็นหวาดกลัว!

ถึงแม้จะไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ และเธอก็เริ่มคุ้นเคยกับประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ไวเกินเหตุของซอมบี้แล้ว แต่ถ้าจะให้ยอมรับตัวตนใหม่อย่างการเป็นซอมบี้ สำหรับมนุษย์มันเป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ…

หลังออกจากลานจอดรถไป ก็จะเห็นถนนหลวงอีกเส้นอยู่ด้านหน้า

หลิงม่อรีบวิ่งนำทุกคนไปยังทางเดินแคบๆ ซึ่งอยู่ระหว่างกลุ่มอาคารก่อสร้างอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดพัก

มีซอมบี้พุ่งเข้ามาจากข้างหน้าบ้างเป็นครั้งคราว แต่หนวดสัมผัสของหลิงม่อที่รวมพลังสำรวจและพลังโจมตีไว้ในเส้นเดียว ก็ได้แสดงให้เห็นถึงพลังอันยอดเยี่ยมออกมาให้เห็น

ทุกครั้งที่มีซอมบี้โผล่มา และในขณะที่มู่เฉินหัวใจหล่นวูบ บนหัวของซอมบี้พวกนั้นก็จะมีรูแผลเหมือนถูกเจาะปรากฏขึ้น และล้มลงไปทั้งที่ยังไม่ทันได้อ้าปากด้วยซ้ำ

ในสภาพแวดล้อมแคบๆ อย่างนี้ ไม่มีทางที่ซอมบี้อีกตัวจะอ้าปากคำรามก้องทันทีที่ซอมบี้ตัวแรกถูกฆ่าทิ้งแน่นอน…

ซอมบี้ร่างใหญ่ที่ไล่ตามหลังมาดึงดูดซอมบี้มาได้เยอะตามคาด แต่ในทางเดินที่กว้างสุดไม่เกิน 3 เมตรอย่างนี้ พวกมันไม่สามารถวิ่งแซงมาโจมตีพวกหลิงม่อได้ แล้วก็ไม่กล้าเข้าใกล้ซอมบี้ร่างใหญ่มากไปด้วย ทำได้เพียงตามห่างๆ อยู่ข้างหลังต่อไป

ตอนแรกมู่เฉินยังหวาดระแวงอยู่ แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้ผลจริงๆ

การติดตามหลิงม่อ ทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ถึงแม้เขาจะถูกรังแกมาไม่น้อยก็ตาม…

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset