“หยุด…อย่าร้องสิ! ชู่ว!”
หลิงม่อรีบนั่งลงปิดปากอวี๋ซือหราน จากนั้นก็สำรวจดูอย่างกังวล “เธอเป็นยังไงบ้าง? เฮยซือล่ะเป็นยังไงบ้าง?”
เสียงกรีดร้องเมื่อกี้ทำให้เขาร้อนใจมาก ออกจากกระดองก่อนกำหนดจะทำให้มีผลกระทบอะไรหรือเปล่า?
ทว่าพอสำรวจดูอย่างละเอียดแล้ว กลับไม่เหมือน…
ไม่นานอวี๋ซือหรานก็เงียบลง เพียงแต่เธอยังคงเบิกตากว้างอยู่อย่างนั้น
เห็นหลิงม่อทำหน้าสงสัย ซย่าน่าก็พูดขึ้นจากอีกฝั่ง “เธอแค่ตื่นเต้นเท่านั้นแหละ ลืมตาตื่นมาก็เห็นไส้กรอกที่ได้แต่เฝ้าฝันหาอยู่ตรงหน้า จะไม่ให้ร้องได้ไงล่ะ…”
อวี๋ซือหรานที่กำลังถูกปิดปากกระพริบตาปริบๆ พลางพยักหน้าหงึกๆ
หลิงม่อก้มหน้ามองร่างกายท่อนล่างของตัวเองโดยอัตโนมัติ แล้วขมวดคิ้วพูดว่า “กางเกงก็ไม่ได้ขาดนี่ จะมองเห็นได้ไง…”
“มีแค่ผ้าบางๆ กั้นไว้ชั้นเดียว ไม่ได้ทำให้จินตนาการยากขึ้นเลย” ซย่าน่าพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา
“มนุษย์คิดค้นเสื้อผ้าขึ้นมา ก็เพื่อไม่ให้พวกโรคจิตคิดจินตนาการไปเรื่อยเปื่อยอย่างนี้ไงล่ะ…” หลิงม่อพูดอย่างระอา
เมื่อความจริงถูกเปิดเผย หลิงม่อก็รู้สึกว่าสายตาที่อวี๋ซือหรานมองตัวเองเต็มไปด้วยประสงค์ร้าย ทำเอารู้สึกขนลุกเลยทีเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตรงนั้นของเขาจะรู้สึกเย็นวาบขนาดไหน
“อย่าร้องอีกล่ะ เดี๋ยวซอมบี้ก็แห่กันมาหรอก” หลิงม่อกำชับอย่างจริงจัง จากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยมือออกจากปากอวี๋ซือหราน
ซอมบี้โลลิเพิ่งจะได้รับอิสรภาพคืนมา แต่สิ่งแรกที่ทำคือกระโจนเข้ามากอดหลิงม่อทันที “พรึ่บ”
“เดี๋ยวก่อน ไม่ต้องกอดต้นขาฉันแน่นขนาดนี้ก็ได้ ไหนเธอลองบอกอาการตอนนี้ของตัวเองให้ฉันฟังหน่อย…”
หลิงม่อเพิ่งจะพูดจบ ก็พบว่าอวี๋ซือหรานไม่ได้ทำแค่กอดเท่านั้น
หน้าเล็กๆ ของเด็กสาวแนบอยู่ตรงต้นขาของเขา เธอทำหน้าอิ่มเอมใจ กระทั่งหลับตาอย่างเคลิบเคลิ้ม
“……”
หลิงม่อมองอวี๋ซือหรานด้วยสายตาที่เหมือนเห็นผี จากนั้นก็เงยหน้ามองพวกเย่เลี่ยน
“นี่มันอะไรกัน?!” หลิงม่อถามเสียงเบา
แต่ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว แม้แต่พวกเย่เลี่ยนก็อึ้งเหมือนกัน
การที่อวี๋ซือหรานกระโจนเข้าไปหมายจะงับหลิงม่อนั้น เป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว
แต่ท่าทางใกล้ชิดเกินเหตุขนาดนี้ ต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ!
ซย่าน่าทำไม้ทำมือให้หลิงม่อ เป็นการส่งซิกว่าให้หลิงม่อลองลูบหัวอวี๋ซือหรานดู
“ดูซิว่าเป็นผลจากการถูกรบกวนระหว่างที่กำลังวิวัฒนาการไปได้ครึ่งเดียวหรือเปล่า…”
“นั่นสินะ…” ถึงอย่างไรลองดูก็ไม่เสียหายนี่
ทว่าแค่ตบหัวคงจะไม่สามารถรู้ได้ ต้องสัมผัสสภาวะดวงจิตดูด้วย…
ในขณะที่หลิงม่อกำลังจะวางมือลงบนหัวอวี๋ซือหราน จู่ๆ เขากลับได้ยินเสียงร้องเบาๆ ดังมาจากปากของซอมบี้โลลิ “บ๊อก…”
“เฮ้ยย!”
หลิงม่อชะงักด้วยความช็อก!
นี่มันอะไรกันอีกละเนี่ย!
ถึงแม้เสียงของอวี๋ซือหรานจะแตกต่างจากเสียงร้องต้นฉบับของแท้ เหมือนเด็กสาวทำเสียงเลียนแบบเพื่อออดอ้อนมากกว่า แต่ทั้งการออกเสียงที่คล้ายกัน และในระยะห่างที่ใกล้ขนาดนี้ หลิงม่อไม่มีทางฟังผิดแน่!
หลังจากค่อยๆ ดึงสติกลับมาจากความตะลึง สิ่งที่หลิงม่อนึกขึ้นได้ในแวบแรก คือ “กายสังขาร” ของเฮยซือเมื่อก่อน ซอมบี้หญิงที่สวมชุดเมดตัวนั้น…
“แต่…แต่อวี๋ซือหรานเป็นร่างร่วมนะ!”
หลิงม่อยังคงสติไม่เข้าที่เข้าทาง เขารีบยื่นมือออกไปแหวกผมอวี๋ซือหรานดู
“ก็ยังอยู่นี่…”
ผ้าพันคอปุกปุยผืนนั้นยังคงพันไว้รอบคออวี๋ซือหราน อีกทั้งหากดูด้วยตาเปล่า ก็จะเห็นว่ามันหลวมออกเล็กน้อย
เพื่อให้มั่นใจกว่าเดิม หลิงม่อจึงยื่นมือลูบคลำดูสองสามที
“นึกว่ารวมร่างกันซะแล้ว…”
แต่พฤติกรรมที่ดูยังไงก็เหมือนเฮยซือนี่ล่ะ จะอธิบายยังไง?
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ตัวอวี๋ซือหรานก็กระตุกสั่น แล้วเบิกตาโพลงทันที
การตอบสนองแรกของเธอคือจ้องต้นขาหลิงม่อที่อยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นข้างบน…
“หยุดเลย” หลิงม่อปากว่ามือถึง รีบยกมือดันหัวเธอไว้ทันที
เมื่อกี้ช็อกติดๆ กันหลายครั้ง หลิงม่อจึงไม่ทันสังเกตว่าตัวเองก็มีสิ่งที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเหมือนกัน
เมื่อวิวัฒนาการของอวี๋ซือหรานและเฮยซือหยุดลงชั่วคราว หลิงม่อก็เริ่มฟื้นตัวตามมา
ไม่เพียงร่างกายกลับมามีเรี่ยวแรงทีละนิดๆ แต่เขาเริ่มควบคุมร่างกายทุกส่วนได้อีกครั้งแล้ว
ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหายวับไปกับตา ซ้ำยังมีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นไม่น้อย แขนขาทั้งสี่ข้างกระฉับกระเฉงคล่องแคล่วกว่าเดิมมาก
“อาการปวดเอวเรื้อรังก็หายไปด้วยแฮะ…”
หลิงม่อยกมือขึ้นลูบเอวด้านหลังโดยอัตโนมัติ พลางแอบคิดในใจ
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ หลิงม่อก็รู้สึกเหมือนความเย็นระลอกหนึ่งแล่นเข้ามาโจมตีแผ่นหลังเขาอย่างรวดเร็ว
เหลือบมองหางตา กลับพบว่าเป็นหลี่ย่าหลินที่กำลังจ้องมือเขาอยู่
“ชิ กะผิดซะได้…”
“มนุษย์ไส้กรอก…” อวี๋ซือหรานเงยหน้าช้าๆ ดวงหน้าเล็กๆ ที่กำลังฉายรังสีอาฆาตมาดร้ายเต็มที่ จ้องมองมาที่หลิงม่ออย่างเย็นชา
หลิงม่อยังไม่ทันได้เปิดปากพูด เธอก็ยกแขนยกขาสั้นๆ ขึ้นตีโพยตีพาย “ครั้งนี้ความคิดของเฮยซือกับฉันหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ว ตอนนี้ฉันจะเป็นซอมบี้ก็ไม่ใช่สัตว์กลายพันธุ์ก็ไม่ใช่อย่างนี้นายจะรับผิดชอบยังไง! บอกมานะ! นายจะรับผิดชอบยังไง!”
“ป้านเยว่ต้องไม่เอาฉันแล้วแน่ๆ เลย แล้วถ้าหากต่อไปเฮยซืออยากหาคู่ครองขึ้นมาบ้าง จะแบ่งกันยังไงเล่า…ป้านเยว่ต้องไม่เอาฉันแล้วแน่ๆ! ไปเลย! นายไปตามหาป้านเยว่กลับมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!”
ซอมบี้โลลิโวยวายอย่าบ้าคลั่ง หลิงม่อที่ได้ยินกลับนิ่งอึ้ง
“หลอมรวม?”
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ไม่นานก็แผ่หนวดสัมผัสทางจิตแทรกเข้าไป
ระหว่างที่กำลังตรวจสอบ สีหน้าของหลิงม่อก็ดูประหลาดขึ้นเรื่อยๆ
“จริงด้วยแฮะ…”
โดยปกติแล้ว ดวงแสงแห่งจิตที่แตกต่างกันสองดวงจะไม่สามารถหลอมรวมกันได้อย่างสมบูรณ์ หรือถึงแม้อาศัยแรงกระตุ้นภายนอกทำจนสำเร็จ อย่างไรก็ต้องมีผลข้างเคียงที่ตามมาไม่น้อยแน่นอน
อย่างเช่นหมายเลข 0 ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียว…
ทว่าสถานการณ์ของอวี๋ซือหรานและเฮยซือกลับพิเศษมาก ร่างร่วมของพวกเธอทั้งสองวิวัฒนาการร่วมกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ก่อนหน้านี้ระดับความเข้าใจที่หลิงม่อมีต่อการดำรงชีวิตอย่างนี้ของพวกเธอ หยุดอยู่แค่ “ร่างภาชนะ” มาโดยตลอด
แต่ตอนนี้ เรื่องไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นอีกต่อไป
ในเวลาปกติพวกเธอไม่ใช่ร่างที่เชื่อมต่อกันอย่างแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียว แต่ในระหว่างวิวัฒนาการ พวกเธอกลับกลายเป็นร่างเดียวกันอย่างแท้จริง
และคาดว่านี่คงเป็นประโยชน์ของหนอนดักแด้นั่น ในขณะที่ดวงแสงแห่งจิตของพวกเธอหลอมรวมเป็นหนึ่ง หนอนดักแด้จะช่วยคุ้มกันพวกเธอ โดยการสร้างพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมา
เมื่อการวิวัฒนาการจบลง ดวงแสงแห่งจิตแยกตัวกัน หนอนดักแด้ก็จะหดตัวและหายไปภายใต้การควบคุมของเฮยซือ
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าครั้งนี้หนอนดักแด้จะอ่อนแอขนาดนี้…ทั้งที่เส้นไหมสีเงินของเฮยซือออกจะเหนียวแน่นและแข็งแรงขนาดนั้น!
พอคิดถึงตรงนี้ หลิงม่อก็ดึงเส้นไหมสีเงินจาก “ผ้าพันคอ” ขึ้นมาหนึ่งเส้น แล้วกระตุกหนึ่งที “ทำไมจู่ๆ ถึงได้กากอย่างนี้ล่ะ…”
แต่เพิ่งจะกระตุกครั้งแรก หลิงม่อก็อึ้ง
เขากระตุกครั้งที่สองอย่างไม่อยากเชื่อ แล้วสุดท้ายจึงยอมรับ
นี่มันอ่อนแอซะที่ไหนล่ะ ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเหล็กเส้นเสียอีก!
แต่ในเมื่อเป็นอย่างนี้ แล้วหนอนดักแด้ที่เกิดจากการถักทอเหล็กเส้นพวกนี้เข้าด้วยกันนั่น ทำไมถึงได้แตกออกง่ายๆ อย่างนั้นล่ะ
หลิงม่อหันไปมองบนพื้น แล้วหยิบเส้นไหมสีเงินขึ้นมาหนึ่งเส้น
แค่มองแวบแรก หลิงม่อก็เข้าใจทันที
เส้นไหมสีเงินบนพื้นและบนตัวเฮยซือ อาจดูเหมือนกัน แต่ถ้าหากลองดึงเบาๆ ดูล่ะก็…
ปึ๊ด!
เส้นไหมสีเงินที่ขาดออกจากกันเกี่ยวอยู่บนนิ้วมือหลิงม่อ และสายตาที่หลิงม่อมองไปที่ “ผ้าพันคอ” ก็เปลี่ยนไปจากเดิม
ทั้งๆ ที่เป็นแค่ผ้าพันคอขนปุกปุย ที่บางครั้งอาจโผล่หัวเล็กๆ เท่านิ้วโป้งโผล่ออกมา แล้วเอียงคอมองหน้าผู้คนอย่างสงสัยแท้ๆ…
แต่ทำไมแกถึงได้ร้ายขนาดนี้!
เมื่อก่อนตอนได้ยินซย่าน่าบอกว่า ธาตุแท้ของเฮยซือก็คือสีดำ หลิงม่อไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้น แพะรับบาปก็คือตัวเขานี่เอง!
ไอเย็นแผ่จากปลายเท้ากระจายไปทั่วร่าง แต่ไม่นาน หลิงม่อก็พบว่าอวี๋ซือหรานไม่โวยวาย และไม่ขยับแล้ว…
“เป็น…เป็นอะไรไป?” หลิงม่อถามเสียงเบา
อวี๋ซือหรานเงียบไป 2 วินาที แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาสีแดงเบิกกว้างจ้องมองมายังเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “นายรู้แล้ว”
ถึงหลิงม่อจะจิตแข็งยิ่งกว่านี้ แต่วินาทีนี้เขาก็อดใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มไม่ได้
น้ำเสียงนี้ สีหน้านี้ แล้วยังคำพูดนี้อีก…
ใครกันล่ะเนี่ย?!
“ได้โอกาสซักที ฉันรอมานานมากแล้ว…”
“อวี๋ซือหราน” ยังคงพูดต่ออย่างนิ่งๆ “ไอ้ร่างกายที่เหมือนของแถมนั่นจะทำให้ฉันพอใจได้อย่างไร…ถึงแม้ร่างนี้จะต้องใช้ร่วมกับยัยเด็กโง่นั่น แต่อย่างน้อยก็ถือว่ามีพลังมากพอ…เตี้ยไปหน่อยก็ไม่เป็นไร อวัยวะส่วนที่สำคัญมีขนาดใช้ได้ก็พอ…”
หลิงม่อปากอ้าตาค้างจ้อง “อวี๋ซือหราน” อย่างตกตะลึง ถ้าหากไม่ใช่ว่าสมองตื่นตัวเต็มที่ และรอบตัวก็ไม่มีคลื่นดวงจิตอื่นๆ อยู่ เขาคงคิดว่าตัวเองเห็นภาพลวงตาแล้ว!
สำเนียงการพูดนี้มัน…เฮยซือชัดๆ เลยนี่!
“เอาล่ะ ใกล้หมดเวลาแล้ว เรามาพูดสั้นๆ กันเถอะ ตอนนี้ฉันเพิ่งจะหลอมรวมกับเธอ ยังไม่มั่นคงมาก แต่หากคงสภาพนี้ไว้และก้าวข้ามวิวัฒนาการขั้นต่อไปได้ ทุกอย่างก็จะไม่เหมือนเดิม”
อวี๋ซือหราน…ไม่สิ เฮยซือส่งยิ้มทื่อๆ ให้หลิงม่อ แล้วบอกว่า “ความจริงฉันอยากทักทายนายมาตลอด แล้วฉันก็มีเรื่องสำคัญอยากพูดกับนายมานานแล้วด้วย”
“ว่ามาเถอะ…” หลิงม่อพยักหน้า
ความรู้สึกนี้มันช่างแปลกประหลาด ถึงจะรู้ว่าเฮยซือได้วิวัฒนาการจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับไปแล้ว แต่หลิงม่อไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีวันได้พูดคุยตัวต่อตัวกับเธออย่างนี้
แต่เสียงของเฮยซือฟังดูแปลกๆ เล็กน้อย เทียบกับซอมบี้ น้ำเสียงเธอแข็งกระด้างเหมือนหุ่นยนต์ และไร้ชีวิตชีวายิ่งกว่าซอมบี้เสียอีก
หลิงม่อกระทั่งไม่รู้สึกว่าเธอเป็นสิ่งมีชีวิต…
หรือพูดอีกอย่างคือ เธอเหมือนเป็นร่างดวงจิตบริสุทธิ์มากกว่าสิ่งมีชีวิต
“การต้องอยู่กับยัยเด็กบ้าที่มีพลังต่อสู้เป็น 0 แล้วยังอยากปิดบังเรื่องที่ตัวเองไม่มีพลังต่อสู้ด้วยการทำตัวเป็นผู้ชายคนนั้น ทำฉันแทบบ้า! ได้มาอยู่กับนายช่างเป็นเรื่องที่โชคดี นายคือเจ้านายในอุดมคติของฉันเลยนะ! ถึงจะป้อนอาหารไม่เร็วเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้เอาแต่ลูบหัวฉันแล้วสั่งให้กลิ้งไปมาอยู่ทั้งวัน…อ้อ บอกอะไรไว้อย่าง ตอนนี้พลังต่อสู้ของฉันสูงกว่ามาตรฐานอีกนะ”
เฮยซือยืดอกอย่างภาคภูมิ เธอยกมือขึ้นข้างหนึ่งวางบนฝ่ามือหลิงม่อ ดวงตาเปล่งประกายสุกใสขึ้นมาทันที “เจอกันใหม่คราวหน้านะ”
“บาย…”
“เดี๋ยวๆๆ ฉันลืมอีกแล้ว ตอนนี้นายสามารถสื่อสารกับฉันผ่านกระแสจิตได้โดยตรงเลยนะ แต่เนื่องจากสมองของฉันไม่ใช่ของฉันแค่คนเดียว ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก ยังไงก็ทำเหมือนตอนนี้จะดีกว่า ยังไงฉันก็ไม่ใช่ร่างหลัก มีเวลาออกมาจำกัดในแต่ละวัน แต่ถ้าหากพยายามวิวัฒนาการต่อไปเรื่อยๆ ซักวันต้องกลายเป็นยอดซอมบี้สัตว์กลายพันธุ์ได้แน่ๆ พอถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องถูกจำกัดอย่างนี้แล้ว…”
เฮยซือพูดยาวเป็นพรวน แล้วทันใดนั้นร่างก็กระด้างแข็งไป ไม่นานสีหน้าก็ค่อยๆ กลับไปเป็นอวี๋ซือหราน
“เมื่อกี้ฉันพูดถึงไหนแล้วนะ? แล้วก็เฮยซือ อย่ามาแย่งร่างฉันตามใจชอบอย่างนี้สิ!” อวี๋ซือหรานโวย
“ที่แท้ก็เป็นพวกพูดมากสินะ…” หลิงม่อยังคงนิ่งอึ้ง
—————————————————————————–