ในซอยอันเงียบสงัด ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้เดินอยู่ลำพัง เขากำลังเดินหน้าช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง
ถึงแม้อาศัยสัมผัสรู้ทางพลังจิตเพื่อค้นหา แต่พอเห็นร้านรวงที่เก่าคร่ำครึสองข้างทาง ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ก็อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้
ภายใต้ชั้นวางของที่ล้มระเนระนาดอยู่ในร้าน และด้านหลังบานกระจกที่เลอะคราบเลือดสีน้ำตาลเข้มเหล่านั้น ราวกับมีบางสิ่งกำลังจับจ้องมาที่ตัวเขา
“ไม่เป็นไร ขอเพียงสัมผัสได้ถึงร่องรอยของพวกมัน เจ็บแค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่า ไม่ต้องกลัวไป รวบรวมสมาธิเข้าไว้…”
ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ทำสมาธิเงียบๆ ทว่าทันใดนั้น สีหน้าเขากลับเปลี่ยนไป เขาค่อยๆ หันหน้ากลับไป แล้วมองไปยังร้านค้าร้านหนึ่งซึ่งอยู่เยื้องออกไปด้านหลังเขา
ถึงแม้จะแค่เสี้ยววินาทีเดียว แต่เหมือนเขาจะสัมผัสรู้ได้ถึงบางอย่างจริงๆ…
ท่ามกลางความมืด ร้านค้าแห่งนี้ดูวังเวง ด้านในกระจกตู้โชว์ หุ่นตัวหนึ่งยืนเอียง “จ้อง” มาทางเขาด้วยใบหน้าแข็งทื่อ เสื้อผ้าเก่าๆ ที่แทบไม่เหลือเค้าเดิมห้อยอยู่บนตัวมัน เมื่อสายลมเย็นๆ พัดผ่าน ก็มีเสียง “พั่บ พั่บ” ดังขึ้นเบาๆ
ด้านข้างคือประตูแบบผลักที่เหลือเพียงครึ่งบาน มองเข้าไปแวบแรก ด้านในมีแต่เงามืดที่มืดยิ่งกว่าสีของยามค่ำคืน
ผู้มีความสามารถพิเศษมองเข้าไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองถนนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ซ่งจินเซินยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เขายืนถือปืนสองกระบอกแล้วกวาดมองไปทั่ว ท่าทางยังคงตกอยู่ในห้วงอารมณ์เดือดพล่าน
ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็กลืนน้ำลาย แล้วเดินไปทางร้านค้าแห่งนั้นอย่างระมัดระวัง
ถ้าบอกว่าไม่กลัว ก็คงโกหก เลือดบนหน้าเขายังไม่แห้งเลยด้วยซ้ำ
ทว่าพฤติกรรมหลบๆ ซ่อนๆ อย่างนี้ของอีกฝ่าย กลับมอบความกล้าให้ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ไม่น้อย
การโจมตีเมื่อกี้ของหลิงม่ออาจดูแปลก แต่มันก็เป็นแค่การโจมตีที่ฉวยโอกาสตอนคนอื่นไม่ทันตั้งตัวเท่านั้น เขาได้รับบาดเจ็บจริง แต่อาการไม่ได้สาหัส
นั่นแสดงให้เห็นว่าถึงแม้หลิงม่อจะมีพลังสูง แต่ก็มีขีดจำกัดด้วยเช่นกัน
อีกอย่างความหวาดกลัวที่พวกเขามีต่อคนคนนี้ สาเหตุหลักเกิดจากการตายของอ้ายเฟิงและหมายเลข 0
เรื่องอ้ายเฟิงยังไม่ต้องพูดถึง แต่คนส่วนมากไม่เคยรู้ว่าหมายเลข 0 นั้นร้ายกาจขนาดไหน
โดยเฉพาะคนของสาขาย่อย พวกเขาเกือบทุกคนเหมือนมู่เฉิน ที่มองหมายเลข 0 เป็นแค่เครื่องจักรรวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลพลังงานสูงเท่านั้น
ถึงแม้จะเคยได้ยินว่ามันมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่ง แต่แกร่งถึงระดับไหนกันแน่นั้น คนพวกนี้กลับไม่รู้เลย
แม้กระทั่งเฉินเล่อและหมายเลข 1 ที่ถูกฆ่า สำหรับพวกเขา มันก็เป็นแค่เพียงชื่อสองชื่อเท่านั้น
“บางทีเจ้าคนแซ่ซ่งนั่นอาจจงใจพูดให้ดูโอเวอร์เกินเหตุ? เป็นไปได้มาก เพราะตัวทดลองถูกฆ่าตาย ยิ่งอีกฝ่ายถูกพูดถึงว่าร้ายกาจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี…”
ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้คิด พลางย่างเท้าเข้าไปในร้านค้าแห่งนั้น
แกร๊ก
เมื่อเขาเปิดไฟฉายในมือ เงาร่างของใครคนหนึ่งก็มาปรากฏอยู่ท่ามกลางลำแสงไฟฉาย
ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ตกใจ แต่เมื่อมองดูดีๆ เขาก็ถอนหายใจโล่งอกยาวๆ ออกมาทันที
ก็แค่เตารีดไอน้ำแบบยืนเครื่องหนึ่งเท่านั้น…
“บ้าเอ๊ย!”
ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้สบถด่า ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เขาจะถูกวัตถุไร้ชีวิตอย่างเจ้านี้ทำให้ตกใจได้อย่างไร แต่เพราะประสบการณ์ที่เพิ่งต่อสู้กับหลิงม่อมาหมาดๆ กลับทิ้งปมฝังใจไว้ให้เขา
สัมผัสรู้ไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีคนอยู่เสมอไปนี่นา…
ตรงกันข้าม คนที่ถูกเขาสัมผัสรู้ได้ในตอนนี้ อาจเป็นไปได้มากว่าเป็นเพื่อนของหลิงม่อ
พอคิดอย่างนี้ เขาก็จิตใจสงบขึ้นมาก เขาหมุนข้อมือไปมา แล้วเริ่มค้นหาในร้านอย่างละเอียด
แต่หลังจากสาดแสงไฟฉายกวาดไปรอบๆ หนึ่งครั้ง เขากลับไม่ได้เบาะแสอะไร
“เป็นไปไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่ยังสัมผัสพลาดอีกหรือ?”
ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ขมวดคิ้ว เขายืนอยู่กลางร้านค้า ด้วยสีหน้างุนงง
แกร๊ก แกร๊ก
ทันใดนั้น มีเสียงหนึ่งดังเบาๆ ข้างบนศีรษะ เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนเพดานตามสัญชาตญาณ
ฟึ่บ!
เงาดำตะคุ่มเงาหนึ่งกระโดดลงมาจากด้านบน เข้าใกล้เขาโดยใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา
แต่เขาเพิ่งจะอ้าปาก เงาดำตะคุ่มเงานั้นก็ได้ใช้วัตถุบางอย่างแทงเข้าไปในปากเขา จนเขาล้มลงไปกับพื้น
ขณะที่เขาล้มลงไป เท้าคู่หนึ่งก็สัมผัสกับพื้นด้านข้างเขา
ปืนไรเฟิลในมือของเย่เลี่ยนจ่ออยู่ที่คอหอยของคนคนนี้ ใบหน้างามละเอียดมองไม่เห็นรังสีเข่นฆ่า กระทั่งดูเหม่อลอยเล็กน้อยด้วยซ้ำ
แต่ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตคนนี้กลับเบิกตากว้าง สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและสิ้นหวัง
เขาเดาไม่ผิด คนที่เขาสัมผัสได้ เป็นเพื่อนของหลิงม่อจริงๆ
แต่ตอนนี้เขาดีใจไม่ออกแล้ว!
ความสามารถในการอำพรางกายอันยอดเยี่ยมกับการระเบิดพลังในชั่วพริบตานี่มันยังไงแน่?!
เย่เลี่ยนกลับไม่มองเขา เธอพลิกข้อมือล้วงสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ แล้วโยนใส่หน้าเขา
ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ยังคิดอยากจะขัดขืน แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีวัตถุกลมๆ สีขาวกระแทกใส่หน้าตัวเอง
เขายังไม่ทันได้ดูดีๆ วัตถุก้อนนี้ก็เข้าคลอบใบหน้าเขาทันที
แรงดูดมหาศาลถูกส่งมาทันใด ความรู้สึกอันน่ากลัวที่เหมือนสมองกำลังจะถูกดูดไหลออกมาทางรูจมูก เกิดขึ้นพร้อมกับเลือดที่ทะลักไหลออกจากบาดแผล
ภาพตรงหน้าของเขาถูกสีของเลือดย้อมจนแดงฉาน…
“แมงกะพรุน” ที่เดิมมีสีกึ่งโปร่งใส ตอนนี้กลับกลายเป็นสีแดงในพริบตา
“ผิว” บางๆ ของมันพองขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่าขณะที่มันกำลังดูดกลืนพลังจิต มันได้ดูดเลือดไปพร้อมกันด้วย
ผู้มีความสามารถพิเศษที่ถูกมันครอบหน้าร่างกายกระตุกสั่นไปทั้งตัว แต่ผ่านไปเพียงไม่นานเขาก็แน่นิ่งไป
เย่เลี่ยนมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเหม่อลอย เมื่อ “แมงกะพรุน” หยุดพองตัว เธอก็โน้มตัวลงไป แล้วดึงมันขึ้นมาเบาๆ
“แมงกะพรุน” ในมือเธอคืนสภาพเป็นสีขาวเหมือนเดิม ทว่าเปลือกนอกที่เดิมเป็นสีขาว ตอนนี้กลับมีสีเลือดปะปนขึ้นมาเล็กน้อย
“พี่หลิงบอกว่า…ให้ช่วยพี่หลิงเก็บพลังจิต…” เย่เลี่ยนพยายามคิด “แต่เลือด…เขาไม่ได้บอกว่าต้องเก็บไว้”
หลังจากที่ลังเลอยู่สองวินาที เย่เลี่ยนก็ยัด “แมงกะพรุน” ใส่กระเป๋าเป้เงียบๆ
ไม่ได้บอกว่าให้เก็บ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าห้ามมันดูดเลือดเหมือนกันนี่นา
………..
ขณะเดียวกันนั้น ผู้มีความสามารถพิเศษคนหนึ่งที่เพิ่งจะเดินเลี้ยวเข้าไปในมุมกำแพงมุมหนึ่งพลันตาลาย เขารีบยกอาวุธแต่ทันใดนั้น กลับมีเงาดำตะคุ่มเงาหนึ่งปรากฏตัวอยู่บนกำแพงบนศีรษะเขา และกำลังเข้าใกล้เขาช้าๆ
“ถ้ากล้าออกมา ฉันจะฟันแกให้ขาดเป็นสองท่อนเลย!” ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้คิดอย่างตื่นตระหนก
แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีมือคู่หนึ่งโผล่มาอยู่ข้างศีรษะของเขา
ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ร่างกายตึงเกร็งไปทั้งตัว ม่านตาเขาหดตัวในชั่วพริบตา
พอเหลือบมองด้วยหางตา ก็เห็นมือเนียนขาวคู่หนึ่ง ที่ดูเหมือนไม่มีกระดูก
แต่บนข้อมือสวยๆ ข้างหนึ่ง กลับมีประกายอาวุธมีคมรูปร่างคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวเกี่ยวลำคอเขาไว้
ของเหลวอุ่นๆ พลันไหลชุ่มเป้ากางเกง พร้อมกับเลือดที่พุ่งกระฉูดออกจากคอของเขา
พลั่ก!
ร่างศพยืนพิงกำแพง แล้วค่อยๆ ตัวอ่อนยวบลงไปกับพื้น ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง เลือดโชกไปทั่วร่าง …
สมาชิกนิพพานที่กระจายตัวออกไปเริ่มล้มตายไปทีละคนๆ เวลาผ่านไป ซ่งจินเซินที่ยืนรออยู่ที่เดิมเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ
เมื่อความเดือดดาลที่ถูกปั่นหัวเริ่มสงบลงช้าๆ ซ่งจินเซินก็เริ่มรู้สึกว่า คนพวกนี้ออกไปนานกันเกินไปแล้ว…
อีกอย่างบอกว่าจะค้นหาแถวๆ นี้ เมื่อกี้ยังพอได้ยินเสียงตะโกน อย่างเช่น “ออกมาซะ!” หรือ “เลิกซ่อนได้แล้ว!” อะไรทำนองนี้อยู่ แต่ทำไมจู่ๆ มันถึงได้เงียบขึ้นมาอย่างนี้ล่ะ?
อย่าว่าแต่เสียงตะโกนเลย บริเวณนี้แม้แต่เสียงเคลื่อนไหวซักนิดก็ยังไม่มี
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังแว่วมาจากที่ไม่ไกล ต่อมาก็ได้ยินเสียง “ตึกๆๆ” ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ช่วย…”
ร่างของสมาชิกคนหนึ่งที่ใบหน้าอาบไปด้วยเลือดพุ่งออกมาจากซอยมืดๆ ซอยหนึ่ง พอเห็นซ่งจินเซินก็รีบดิ้นรนยื่นมือมาทางเขา พลางตะโกนสุดเสียง “ช่วยด้วย! พวกมันไม่ได้หนี! ไม่ได้หนี!”
ปรากฏว่าเขาเป็นหนึ่งในสองสมาชิกจากสำนักงานใหญ่เมื่อกี้ ทว่าตอนนี้ร่างกายเขาเต็มไปด้วยบาดแผล สภาพน่าอเนจอนาถจนแทบทนดูไม่ได้
ซ่งจินเซินหัวใจเต้น “ตึกตัก” เขายังไม่ทันได้วิ่งเข้าไปหา สมาชิกคนนั้นก็ตัวกระด้างแข็งระหว่างกำลังวิ่งพุ่งไปข้างหน้า
เขาอ้าปากกว้าง ลูกกระเดือกเกลือกกลิ้งขึ้นลง แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ ถูกเปล่งออกมา
ไม่นาน เลือดสีดำจุดหนึ่งก็ได้ซึมออกมาที่แผงอกกว้างของเขา
เมื่อจุดสีดำนั้นซึมออกเป็นวงกว้าง สมาชิกคนนั้นก็ขาอ่อนล้มลงไปกับพื้นดัง “พลั่ก” ด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
ซ่งจินเซินยืนมองภาพนั้นกับตาตัวเอง หัวใจเริ่มเย็นสะท้านไปทั้งทรวง
หลังจากที่ศพล้มลงไป เงาร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่ในจุดที่ห่างออกไปไม่ไกล
สายตาอันนิ่งสงบ และท่าทางผ่อนคลายนั่น…
ถึงแม้เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก แต่ใบหน้านั้นซ่งจินเซินกลับจำมันได้ขึ้นใจ
“เจอกันอีกแล้วนะ” หลิงม่อพูดขึ้น
“พวกแก…” บุหรี่ที่ซ่งจินเซินคาบไว้ในปากเหลือแต่ก้นบุหรี่แล้ว แต่เขากลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย เอาแต่จ้องหลิงม่ออยู่อย่างนั้น
ต่อมา เงาร่างอีกหลายเงาก็ปรากฏตัวขึ้นบริเวณใกล้ๆ แต่ใบหน้าเหล่านั้นกลับไม่ใช่ใบหน้าของหนึ่งในสมาชิกอีก 8 คนที่เหลือเลยแม้แต่คนเดียว
ซ่งจินเซินค่อยๆ กวาดตามองคนพวกนั้น แล้วพูดอย่างเจ็บแค้น “เจ้าเล่ห์นักนะ…”
—————————————————————————–