“อยู่ไหนเนี่ย ออกมาเดี๋ยวนี้นะ…”
สวี่ซูหานคลำมือบนพื้นเพื่อหาอาวุธของตัวเองอย่างร้อนใจ ขณะเดียวกันก็จ้องไปที่เย่เลี่ยนอย่างกังวล
ทว่าความคิดของเธอมีจุดที่ผิดไปเล็กน้อย ถึงแม้เย่เลี่ยนร่างกายผอมบาง ยิ่งเทียบกับซอมบี้ชายก็ยิ่งดูบอบบางอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่เธอกลับเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วว่องไว
ปืนไรเฟิลในมือเธอเปลี่ยนบทบาทไปได้เรื่อยๆ สวี่ซูหานเห็นกับตาว่าขณะที่เย่เลี่ยนกระโดดขึ้นกลางอากาศ เธอพลิกตัวใช้ด้ามปืนตีข้อมือของซอมบี้ชายตัวนั้น
“โฮกก!”
จากเสียงร้อง กาตีครั้งนั้นทำให้มันเจ็บไม่น้อย
บนร่างกายของซอมบี้ยักษ์ชายตัวนั้นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แม้แต่กระสุนก็ยังยากที่จะเจาะทะลุ แต่ก็ยังมีบางจุดที่ค่อนข้างบอบบาง
อย่างเช่นตรงข้อต่อกระดูก และจุดที่เย่เลี่ยนมักโจมตีเสมอก็คือตำแหน่งเหล่านี้
เหยื่อถูกแย่งไปจากมือก็ทำให้ซอมบี้ยักษ์ชายตัวนี้โกรธมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อมันถูกตีอย่างนี้จะโกรธขนาดไหน
มันคลุ้มคลั่งขึ้นอีกหลายเท่าทันที ขณะเดียวกับที่ดำเนินการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง มันก็ยังพยายามจะเข้ามาในตัวอาคารอีกด้วย
“ปล่อยให้มันเข้ามาไม่ได้นะ!” สวี่ซูหานหน้าเปลี่ยนสีทันที เธอตะโกนบอกเสียงดัง
ถ้าหากปล่อยให้ซอมบี้สองตัวที่รู้จักร่วมมือกันลอบโจมตีมารวมตัวกัน พวกเขาคงไม่มีโอกาสรอดออกไปอย่างครบสามสิบสองแน่นอน
และสำหรับมนุษย์ที่ทั้งอ่อนแอและเปราะบาง “ถอยออกไปอย่างครบสามสิบสอง” ก็หมายถึงต้องไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่ปลายนิ้ว
เพราะถ้าหากได้รับบาดเจ็บก็หมายถึงต้องตัดแขนขาทิ้ง หรือไม่ก็ต้องฆ่าตัวตาย
แน่นอนความจริงแล้วยังมีอีกหนึ่งทางเลือก นั่นก็คือหวังพึ่งโชคชะตา
ทว่าสำหรับการเดิมพันครั้งใหญ่ขนาดนี้ คนส่วนใหญ่ไม่มีใครแบกรับไหว
“หาเจอแล้ว!”
ในที่สุดสวี่ซูหานก็คลำหาปืนจนเจอ แต่เมื่อเธอลุกยืนแล้วยกปืนขึ้นเล็งไปที่ซอมบี้ยักษ์ชายตัวนั้น เธอก็รู้สึกได้ว่าแขนของตัวเองกำลังสั่นอย่างบ้าคลั่ง
สัตว์ประหลาดตัวนั้นเกือบฆ่าเธอแล้ว เกือบแล้วจริงๆ…
และเธอก็ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกที่เหมือนความตายอยู่แค่ตรงหน้ามานานมากแล้ว
เป็นความรู้สึกที่แย่สุดๆ และจนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถทำให้หัวใจที่เต้นรัวกลับมาสงบอีกครั้งได้
“ฟู่วว!”
เธอหายใจกระชั้นสองครั้ง แล้วยกเท้าขึ้นอย่างยากลำบาก
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีแขนข้างหนึ่งดึงตัวเธอไว้จากด้านข้าง
“ซย่าจื้อ?” สวี่ซูหานหันไปมองเจ้าของมือข้างนั้นอย่างตกใจ
“ตึงง!”
เสียงตึงตังดังสะท้านไปทั่วห้องโถงอีกครั้ง ขณะเดียวกันเครื่องใช้ในบ้านก็แตกเป็นเสี่ยงๆ กระจัดกระจายไปทั่ว
และด้านเย่เลี่ยนก็มีเงาร่างของใครคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ความช่วยเหลือจากสาวเลือดผสมทำให้เธอกดดันน้อยลงมาก
แต่หลิงม่อและซย่าน่าที่กำลังคนน้อยลงไปหนึ่งคน กลับดูรับมือได้ยากลำบากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ซอมบี้ยักษ์สองตัวนั้นเองก็เหมือนจะสังเกตได้ พวกมันเริ่มโจมตีอย่างดุดันและรุนแรงมากขึ้น เพื่อที่จะได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
“ตอนนี้?” สวี่ซูหานแลดูตะลึงเล็กน้อย
ซย่าจื้อมองเธออย่างสงสัย แล้วพยักหน้าแรงๆ
“แต่ว่า…” สวี่ซูหานอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ใช่แล้ว ตอนนี้คือโอกาส และเป็นโอกาสที่จะไม่มีอีกเป็นหนที่สอง
ซอมบี้ธรรมดาจัดการได้ง่ายเกินไปสำหรับพวกหลิงม่อ ซอมบี้ฝูงใหญ่พวกเขาก็ไม่มีทางเข้าใกล้เด็ดขาก
แต่ปีศาจดุร้ายสองตัวนี้ กลับสามารถสร้างความเดือดร้อนครั้งใหญ่ให้พวกเขาได้
ทว่าพอคิดถึงตรงนี้ สวี่ซูหานกลับนึกถึงเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ไม่ว่าเมื่อไหร่หรือตอนไหนพวกเขาไม่เคยอยากเจอกับปีศาจอย่างนี้ แต่พวกหลิงม่อกลับสามารถต่อกรกับพวกมันซึ่งๆ หน้าได้…
“ฉัน…”
สวี่ซูหานรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ จู่ๆ เธอก็เกิดลังเลขึ้นมา
แต่ซย่าจื้อที่ไม่ชอบเปิดปากพูดมาโดยตลอดกลับตัดบทเธอ “เธอคงไม่อยากตายใช่ไหม?”
คำพูดนี้ทำเอาสวี่ซูหานอึ้ง
เมื่อสิบวินาทีที่ผ่ามาเธอเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังจากการที่ความตายมาเยือน ตอนนี้เธอกลัวความตายยิ่งกว่าเวลาไหนๆ
“ฟู่ว…ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามแผน?” สวี่ซูหานสูดหายใจลึกๆ แล้วถาม
“อืม ฉันจะไปบอกเอง…” ซย่าจื้อยังพูดไม่ทันจบ ก็แนบตัวติดผนังแล้วเดินออกไป
“ฟู่ว…” สวี่ซูหานสูดหายใจลึกๆ แล้วหันไปมองเย่เลี่ยน จากนั้นก็กระชับปืนในมือแน่น…
“ชิบหายย!”
มู่เฉินสบถด่าเสียงดัง พลางยกมีดขึ้นตวัดไปมา เพื่อปัดป้องขาโต๊ะครึ่งท่อนที่ลอยเข้ามาทางเขา
ซอมบี้ยักษ์หญิงตัวนี้ เหมือนเครื่องจักรทำลายล้างที่ไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยชัดๆ!
ทั้งโต๊ะ กำแพง แผงกั้น ไม่มีอะไรที่ถูกมันมองว่าเป็นอุปสรรคเลยซักอย่าง!
กระทั่งสิ่งของเหล่านี้กลับกลายเป็นอาวุธของมัน ทำให้พวกหลิงม่อต้องคอยหลบอย่างน่าสมเพชขึ้นไปอีก
แม้แต่หลิงม่อก็เริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพุดถึงมู่เฉินเลย
ความรู้สึกที่ทำได้เพียงหลบและถูกกระทำอย่างนี้ ทำให้มู่เฉินอยากจะคำรามออกมาเสียงดังๆ
“ตึงง!”
ซอมบี้ยักษ์หญิงตัวนั้นเร่งความเร็วอีกครั้ง จากนั้นก็ทิ้งตัวลงบนโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากพวกหลิงม่อไม่มากนัก
โต๊ะตัวนั้นแหลกละเอียดคาที่ เศษชิ้นส่วนโต๊ะที่ปลิวว่อนไปทั่วราวกับลูกระเบิด มาพร้อมกับหมัดสองหมัดของมันที่จู่โจมมายังศีรษะของพวกเขาสองคนอย่างกะทันหัน
“ว๊ากกก!”
มู่เฉินร้องเสียงหลง พลางรีบกลิ้งตัวไปกับพื้น
แต่เขาเร่งรีบเกินไป ทำให้ถูกเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ล้มอยู่บนพื้นขวางไว้ระหว่างทาง
แต่ในตอนนั้นเองซอมบี้ยักษ์หญิงตัวนั้นกลับเซ จนตัวของเธอโยกไปโยกมา
มู่เฉินฉวยโอกาสรีบถอยไปข้างหลัง ขณะเดียวกันก็มองไปที่หลิงม่อ
เทียบกับสภาพน่าสมเพชของเขา หลิงม่อดูสบายกว่ามาก
เขายังคงหยุดอยู่ที่เดิม มือข้างหนึ่งยื่นออกไปข้างหน้า นิ้วทั้งห้ารวบเข้าหากัน พลางบิดหมุนข้อมือช้าๆ
จากการกระทำของเขา ข้อเท้าข้างหนึ่งของซอมบี้ยักษ์หญิงตัวนั้นราวกับถูกเชือกมัดไว้แน่น มันกำลังเหวี่ยงหมัดออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่หมัดเหล่านั้นกลับพลาดเป้าทุกครั้ง
“เทพมาจากไหนวะ!”
มู่เฉินลอบด่าในใจ แต่กลับต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลิงม่อร้ายกาจมากจริงๆ
สามารถต่อกรกับซอมบี้ประเภทนี้ซึ่งๆ หน้าได้ แล้วยังไม่เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย ในสายตาของมู่เฉินเท่านี้ก็เจ๋งมากแล้ว
แต่ที่เจ๋งยิ่งกว่าก็คือ หลิงม่อสามารถต้านทานพวกมันไว้ได้…
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาทึ่งยิ่งกว่าก็คือการร่วมมือกันของหลิงม่อและซย่าน่า หลิงม่อเพิ่งจะพันธนาการซอมบี้ยักษ์หญิงไว้ได้ ซย่าน่าก็โฉบกายไปปรากฏตัวอยู่ข้างหลังมันทันที
เคียวดาบเล่มนั้นถูกยกขึ้นสูงดัง “ควับ” จากนั้นก็ถูกฟันลงไปเต็มแรง
“โฮกกก!”
ซอมบี้ยักษ์หญิงตัวนั้นออกแรงกระโจนไปข้างหน้า พละกำลังมหาศาลทำให้มันสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของหลิงม่อไปได้
ทว่าคมดาบยังคงเฉือนผ่านแผ่นหลังของมันไป หยาดเลือดพลันกระเซ็นขึ้นกลางอากาศ
“โฮกกก!”
ซอมบี้ยักษ์หญิงคำรามเจ็บปวด มันหมุนกายหันไปกระโจนใส่ซย่าน่า แต่ซย่าน่าได้กระโดดลอยออกไปข้างหลัง เพื่อถอยห่างจากซอมบี้ยักษ์หญิงก่อนแล้ว
เสียงโครมครามวุ่นวายดังขึ้นอีกครั้ง เศษชิ้นส่วนเครื่องใช้ในบ้านที่ลอยกระจายไปทั่วทุกที่
“ชิบบ…” หลิงม่อเซไปเซมาเล็กน้อย เขากัดฟันสบถเบาๆ
วิธีมัดข้อเท้าที่เคยใช้ได้ผลมาโดยตลอด พอเอามาใช้กับซอมบี้ยักษ์หญิงตัวนี้กลับทำให้มันล้มไม่ได้
และเมื่อกี้ตอนที่มันหลุดไปได้ หลิงม่อรู้สึกราวกับเส้นประสาทในสมองของตัวเองเกือบถูกกระชากออกไปด้วย
“ไม่ได้ผลอีกหรอ? เชี่ยแล้ว ทำยังไงดีๆ!” มู่เฉินตะโกนอย่างสติหลุด
“ช่วยหุบปากหน่อยได้ไหม?” หลิงม่อกลอกตามองบน
เจ้าหมอนี่นี่มันเครื่องส่งเสียงรบกวนชัดๆ เลย เวลาต่อสู้โดยเฉพาะตอนนี้ น่ารำคาญยิ่งกว่าเฟิ่งจื่อซวนซะอีก
………..
“ฮะ…ฮะ…”
ขณะเดียวกัน ในห้องประชุมแห้งหนึ่ง ณ ฐานทัพฟอลคอนที่สอง
อวี่เหวินซวนที่นั่งอยู่ตำแหน่งสูงสุดกำลังอ้าปากกว้าง ย่นจมูก ใบหน้ากระตุกสั่นเบาๆ
ทว่าสุดท้ายเขาก็จามไม่ออก ทำได้เพียงสูดจมูกฟุดฟิด เอนกายพิงไปข้างหลัง แล้วถามว่า “ใช้สิ พวกเราพูดถึงไหนแล้วนะท”
คนที่เขาถาม คือผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะประชุม
แต่ผู้ชายคนนี้กลับกำลังมีสีหน้าที่แย่สุดๆ…
“เหมือนปวดไข่มาก แล้วก็เหมือนท้องผูก…” อวี่เหวินซวนพึมพำ
“ขอโทษด้วย หัวหน้าของเราเขาค่อนข้าง…” จางอวี่ถอนใจอย่างเจ็บปวด แล้วพูดเสียงเบาๆ อยู่อีกทางหนึ่ง
ชายคนนั้นหางตากระจุก แล้วพูดเสียงเบา “ไม่เป็นไร ชินเล้วล่ะ”
“นี่ พวกนายอย่านินทากันต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นสิ?” อวี่เหวนซวนบี้จมูกแดงๆ ของตัวเองไปมา แล้วบอก
“พวกเรามาคุยธุระกันดีกว่า…ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจก็ตามว่าทำไมต้องแยกคุยสองครั้งกับฟอลคอนทั้งสองแห่ง…” ชายคนนั้นหันหน้าไป แล้วบอกว่า “เมื่อกี้พวกเราพูดถึงเรื่อง การสร้างพื้นที่ผสานร่วมมือ…”
“อ้อใช่ เกือบลืมไปเลย แต่ทำไมคุณไม่มองผมล่ะ?” อวี่เหวินซวนถลึงตา แล้วถาม
“ตอนนี้พวกเราได้รวมตัวกับกลุ่มผู้รอดชีวิตเล็กๆ ส่วนมากของเมือง X แล้ว ที่เหลือ หลังจากที่พวกเราสร้างสายสัมพันธ์ขึ้นมา พวกคุณก็สามารถยื่นความช่วยเหลือเข้ามาได้ ทันทีที่รวมตัวกันสำเร็จ พื้นที่ย่านนี้ก็จะ…”
ชายคนนั้นเมินอวี่เหวินซวน เขายื่นมือออกไปชี้ตำแหน่งของเมือง X บนแผนที่ตรงหน้า จากนั้นก็ลากนิ้วออกเป็นวงกว้าง “ที่นี่ก็จะกลายเป็นถิ่นของมนุษย์อย่างพวกเรา”
“แต่ก่อนหน้านี้คุณบอกว่า…” อวี่เหวินซวนม้วนผมเล่น แล้วพูดขึ้น
ชายคนนั้นเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง เขาลากนิ้วชี้ไปยังเมืองข้างเคียง จากนั้นก็ลากออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็หยุดที่จุดจุดหนึ่ง “ถูกต้อง พวกเรามาจากค่ายผสานความร่วมมือตรงนี้”
“และที่นั่นก็คือโลกภายนอก ที่พวกคุณยังไม่เคยสัมผัส”
ชายคนนั้นพูดต่อ
อวี่เหวินซวนเม้มปาก แล้วจ้องไปที่จุดนั้น
แต่ในสายตาของเขา กลับประกายแววสนใจขึ้นมาแวบหนึ่ง…
“ถิ่นของมนุษย์…ดีมากเลย ดีมาก…แต่ว่า ผมอยากรู้ว่าถิ่นของซอมบี้อยู่ที่ไหน?” อวี่เหวินซวนยิ้มบาง แล้วถามขึ้น
ชายคนนั้นนิ่ง จากนั้นมุมปากก็กระตุกสั่น “ฉันฆ่านายซะเลยดีไหม…
—————————————————————————–