แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 611

“วี้หว่อๆๆ!”

เสียงเตือนภัยแหลมเสียดแทงแก้วหู ดังไปทั่วถนนทั้งเส้น

เหล่าซอมบี้ที่กำลังเดินวนเวียนไปมาบนถนน ชะงักพร้อมกันแทบจะทันที พวกมันหันขวับมองไปทางเดียวกัน

ดวงตาสีแดงเลือดที่เดิมล่องลอยไร้จุดหมายพลันเป็นเปล่งประกายขึ้นทันตาเห็น ร่างกายที่เดิมค่อนข้างแข็งกระด้างยามนี้ได้ยินเสียงกระดูกเคลื่อนดังกร๊อบแกร๊บ

ราวกับสัตว์ประหลาดที่ปีนออกมาจากหลุมศพได้กลิ่นของสิ่งมีชีวิต แล้วค่อยๆ ฟื้นคืนสติกลับคืนมา

“สวบ!”

ซอมบี้ตัวที่หนึ่งขยับขา และวิ่งพุ่งออกไปจากฝูงซอมบี้

เพียงไม่นาน ซอมบี้ทุกตัวก็เคลื่อนไหวตามไปติดๆ

ซอมบี้เหล่านี้บ้างก็วิ่งไปตามถนน บ้างก็กระโดดข้ามซากรถยนต์ที่จอดทิ้งไว้ หรือไม่ก็ใช้วิธีโหนสายไฟฟ้าเลยทีเดียว…

บนถนนที่เงียบและวังเวงมาเนิ่นนาน พลันเกิดเหตุจลาจลขึ้นทันใด

เหล่าสัตว์ประหลาดวิ่งทะยานอย่างบ้าคลั่ง เสียงฝีเท้ารัวเร็วและวุ่นวายเหล่านั้น รวมถึงเสียงกระแทกชนที่ดังปะปนกันไป …

ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม ความเงียบอีกอย่างหนึ่งได้ก่อตัวขึ้นมา

ราวกับว่านรกกำลังมาเยือน…

“เสียงดังมาก”

หลิงม่อวิ่งลงบันไดกลับมายังห้างฯ ใต้ดินอีกครั้ง พร้อมกับซ่อนตัวอยู่ในมุมผนังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

จากมุมที่เขาอยู่ สามารถแอบมองได้อย่างชัดเจนว่าซอมบี้พวกนั้นวิ่งผ่านทางเส้นนี้ไปอย่างไร

เท้ามากมายเหล่านั้นที่เต็มไปด้วยคราบเลือดเก่าๆ ดูทั้งสกปรกและกระหายเลือด กำลังสิ่งอย่างบ้าคลั่งโดยอยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่ถึงยี่สิบกว่าเมตร

“พี่ทำได้ไง?” ซย่าน่าถามอย่างสงสัย เสียงเตือนภัยยังคงดังมาจนถึงตอนนี้อยู่เลย

ด้วยโสตประสาทอันอ่อนไหวของซอมบี้ เธอสามารถแยกแยะได้ว่าเสียงเตือนภัยนี้ดังมาจากทางไหน

ไม่ใช่ที่นี่ แล้วก็ไม่ใช่ตรงปากประตู แต่อยู่ที่ไหนซักแห่งใกล้ๆ บริเวณนี้

สิ่งที่ทำให้ซย่าน่าไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือ เธอรู้สึกว่าเสียงนี้อาจดังมาจากกลางอากาศ

“ฮิฮิ ที่จริงก็แค่ใช้ของเล็กๆ น้อยๆ น่ะ มันชื่อว่าอุปกรณ์เตือนภัยหมาป่า คุณภาพไม่เลวเลยนะเนี่ย นานขนาดนี้แล้วยังใช้ได้อีก เอาเป็นว่า ฉันใช้พลังจิตเอามันขึ้นไปห้อยไว้บนสายไฟ จากนั้นก็กดปุ่มให้มันดัง แล้วก็ได้ประสิทธิภาพอย่างที่เห็นอยู่ในตอนนี้” หลิงม่อพูด พลางเขายกนิ้วขึ้นอุดหู แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “จะว่าไปเสียงของมันนี่ดังได้มาตรฐานจริงๆ เลยนะเนี่ย…”

ซย่าจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “อย่างนี้เอง…แต่บอกตามตรงว่าฉันสงสัยมากกว่า ว่าพี่เก็บอุปกรณ์ป้องกันหมาป่ามาทำไม…”

“ฮิฮิ…”

“แต่ว่าเสียงนี้ต้องดึงมนุษย์พวกนั้นมาได้แน่ๆ” ซย่าน่ายกแขนขึ้นกอดอก เธอมองออกไปข้างนอก พลางพูดขึ้น

“แน่นอน” หลิงม่อจ้องไปที่รอยแยกเส้นนั้น แล้วพยักหน้า……

………..

“พวกเธอระหวังหน่อย”

ณ ศูนย์คอมพิวเตอร์ใต้ดิน พวกสวี่ซูหานกำลังถือไฟฉาย และเดินเข้าไปด้านในอย่างระมัดระวัง

สวี่ซูหานที่เดินรั้งอยู่ท้ายสุด เห็นทางเดินข้างหน้าอันมืดมิด ก็ยกปืนขึ้นเล็งพลางขยับคอไปมาอย่างตื่นตระหนก

เธอหันกลับไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง ตอนนี้แสงสว่างอ่อนๆ ที่ออกมาจากทางเข้าลิฟท์ กลับทำให้เธอรู้สึกว่ารอบข้างมืดมิดยิ่งกว่าเดิม

ท่ามกลางความมืด เหมือนว่าเงามืดเหล่านั้นกำลังเคลื่อนไหวอยู่ทุกที่

“เดี๋ยวก่อน!”

ด้านหน้ามีเสียงผู้ชายดังสวนมา

“กรี๊ด!” สวี่ซูหานที่กำลังจ้องเข้าไปในความมืดรอบตัวอย่างกวาดวิตกพลันร้องเสียงแหลมขึ้นมา ปากปืนส่ายไปมาเล็กน้อย

“เฮ้ยๆ ใจเย็น…” มู่เฉินที่เป็นคนพูดขึ้นตกใจจนต้องยกมือขึ้น “ทำไมวันนี้เธออ่อนไหวจังน่ะ?”

สวี่ซูหานถอนหายใจยาวๆ จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย “แล้วจู่ๆ นายจะตะโกนขึ้นมาทำไมล่ะ! ไม่รู้หรือไงว่าสถานที่อย่างนี้ทำให้คนคิดฟุ้งซ่านได้ง่ายๆ น่ะ?”

“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเธอช่วยควบคุมจินตนาการอันล้ำเลิศของตัวเองหน่อยได้ไหมล่ะ?” มู่เฉินกลอกตาอย่างเอือมระอา แล้วพูดต่อว่า “ฉันจะบอกว่า พวกหลิงม่อจะมาที่แบบนี้จริงๆ น่ะหรอ? ฉันหมายถึง…พวกเขาจะมาที่นี่ทำไม? นอกจากของเก่าๆ พังๆ ที่นี่ก็ไม่มีอะไรเลยนะ”

“แต่ว่า…พวกเราตามหาทั่วทุกชั้นแล้วนะ นอกเสียจากว่าพวกเขาไปจากที่นี่แล้ว” สวี่ซูหานพูดพร้อมขมวดคิ้ว

และในตอนนั้นเอง จู่ๆ ซย่าจื้อกลับทำมือเป็นสัญญาณว่าให้เงียบ

“วี้หว่อๆๆ…”

“พวกนายได้ยินไหม…” สวี่ซูหานมองออกไปรอบตัวอย่างตื่นตระหนก “เสียงนั่นไหม…”

“เหมือนจะดังมาจากข้างบนนะ…” มู่เฉินเองก็รีบเงี่ยหูฟังทันที แล้วพูดขึ้นอย่างตกใจและสงสัยว่า “ดูเหมือนเธอจะเดาถูกแล้วล่ะ”

ทั้งสามคนสบตากัน จากนั้นก็รีบหันหลังวิ่งขึ้นไปชั้นบน

ยิ่งเข้าใกล้ลิฟท์ เสียงนั่นก็ยิ่งชัดเจน

หลังจากเดินขึ้นมาในห้างฯ ขายมือถือ สีหน้าช็อกของมู่เฉินก็ได้แปลกไป “ล้อเล่นรึเปล่า? เสียงเตือนภัย?”

“นี่มัน…เหมือนดังมาจากทางนั้น…อีกอย่างซอมบี้ข้างนอกก็หายไปหมดแล้วด้วย” สวี่ซูหานรีบวิ่งไปประชิดหน้าต่างขอบติดพื้นทันที หลังจากมองออกไปข้างนอกครู่หนึ่งเธอก็หันมาบอกว่า “ต้องเป็นพวกหลิงม่อแน่ๆ กองกำลัง F ไม่มีทางทำอย่างนี้แน่ๆ”

“ดีเหลือเกิน!” มู่เฉินฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็กัดฟันกรอดคำรามขึ้นมา “ปัญหาคือ…พวกเราจะข้ามไปได้ยังไงวะ?!”

พอคิดว่ามีซอมบี้จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังวิ่งไปรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น สวี่ซูหานและซย่าจื้อพลันหน้าถอดสีทันที

มันคือปัญหาใหญ่เลยล่ะ…

ทว่าพวกเขากลับไม่รู้เลย ขณะที่พวกเขาวิ่งขึ้นไปบนห้าง ดวงตาสีแดงคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในศูนย์คอมพิวเตอร์ใต้ดินอย่างเงียบเชียบ

เมื่อดวงตาสีแดงหายวับไป ประกายสีแดงก็ปรากฏขึ้นภายในตัวห้าง จากนั้นก็ยิ่งประกายสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ…

“แบ๊?”

จู่ๆ เสี่ยวป๋ายก็เงยหน้าขึ้น มันสูดดมฟุดฟิด จากนั้นก็มองไปด้านหลัง

พอเห็นท่าทางอย่างนี้ของมัน อวี๋ซือหรานก็มองตามไปข้างหลัง จากนั้นก็บอกว่า “ดูเหมือนจะมีควัน…”

“อ่าฮะ รุ่นพี่เองแหละ” หลิงม่อหัวเราะ แล้วบอก

ซย่าน่ามองหลิงม่ออย่างครุ่นคิด จากนั้นก็พูดขึ้นเหมือนคิดอะไรบางอย่างออก “พี่หลิง หรือว่าพี่ให้รุ่นพี่ไป…วางเพลิง?”

“อื่ม ฉันให้พี่เขาเผาที่นั่นทิ้งซะ ลองคำนวณเวลาดูแล้วพวกนั้นน่าจะลงไปแล้วล่ะ ฉันก็เลยต้องอยู่ตรงนี้เพื่อดึงดูดความสนใจจากพวกนั้น และล่อพวกนั้นออกมา ส่วนทางรุ่นพี่ก็จะจุดไฟครั้งสุดท้าย จะวางเพลิงในลานจอดรถไม่ใช่เรื่องยากอะไรอยู่แล้ว” หลิงม่อพยักหน้าตอบ

ทว่าตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ถือว่าปลอดภัยมาก กว่าไฟและควันจะมาถึงที่นี่ เดาว่าต้องใช้เวลาอีกซักระยะหนึ่ง

และห่อนที่จะตัดสินใจ หลิงม่อก็ได้คำนวณก่อนแล้ว ถึงแม้การวางเพลิงครั้งนี้จะเผาที่นี่ให้กลายเป็นจุณโดยไม่มีอุปสรรคอะไรมาขัดขวาง มันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อสถานีโทรทัศน์อย่างแน่นอน

แต่อีกไม่กี่วันข้างหน้า พวกเขาอาจต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้จำนวนมากและอากาศที่ย่ำแย่…

“อย่างนี้เองหรอ…แต่ว่า ทำไมล่ะ?” ซย่าน่ายังคงไม่ค่อยเข้าใจ

หลิงม่อยื่นมือไปล้วงสิ่งของบางอย่างที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยฟิล์มถนอมอาหารอย่างดี หากดูให้ดีก็จะเห็นว่ามันคือน้ำเมือกนั่นเอง “สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต ของอย่างนี้เป็นเหมือนฝันร้าย ฉันจะปล่อยให้สิ่งนี้ถึงมือนิพพานไม่ได้ ถ้าเกิดว่าพวกเขามีกำลังในการวิจัยการผลิตซ้ำล่ะ?”

“มันก็จริง…แต่ตอนนี้พี่มีเมือกอยู่ในมือ แล้วยังมีอวัยวะพิเศษของสัตว์ประหลาดตัวเล็กนั่นอีก ไม่แน่พวกเราอาจศึกษาอะไรจากมันได้บ้าง” ซย่าน่าพูดอย่างคาดหวัง

“ก็หวังว่านะ น่าเสียดายที่ของสิ่งนี้กลิ่นแรงเกินไป ไม่สามารถพกติดตัวไปได้มาก แต่เอาไปน้อยก็น่าจะไม่ได้ผล” หลิงม่อส่ายหน้าอย่างเสียดาย

“แต่ว่า…ตอนนี้พวกเรา…” จู่ๆ เย่เลี่ยนก็พูดแทรกขึ้นมา สีหน้าของซอมบี้สาวตัวนี้ดูมึนงงกว่าซย่าน่ามาก ถ้าหากว่าซย่าน่าเข้าใจแค่บางส่วน ก็แสดงว่าเธอไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย

“เรื่องนี้น่ะ…ความสัมพันธ์ของมนุษย์บางครั้งก็ซับซ้อนมาก แทนที่จะบอกว่าตอนนี้พวกเราร่วมมือกันอยู่ บอกว่าพวกเราต่างจำเป็นต้องหาผลประโยชน์จากกันจะเหมาะกว่า ฉันอยากตามพวกเขาไปหานิพพาน พวกเขาเองก็อยากให้ฉันไปติดกับด้วยตัวเองเหมือนกัน”

“เรื่องบางเรื่องก็เป็นอย่างนี้แหละ มีทั้งอันตรายและผลประโยชน์ ถ้าไม่เดินไปจนสุดทาง ก็ไม่มีทางรู้ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร”

หลิงม่อพยายามพูดให้เข้าใจง่ายหน่อย

เย่เลี่ยนเบิกตากว้างแล้วจ้องเขา หลังเงียบไปหลายวินาที แม้หลิงม่อจะมองเธอด้วยสายตาคาดหวังว่าเธอจะเข้าใจ แต่สุดท้ายเธอก็ยังคงส่ายหน้าไปมา

“โอเค ขอเวลาฉันคิดหน่อยว่าควรพูดยังไง…” หลิงม่อถอนหายใจ แล้วพูดอย่างจริงจังสุดๆ

“ก่อนที่จะเกิดพี่ไม่มีทางรู้เลยว่าตุ๊กตาตัวน้อยนั่นมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร” ซย่าน่าพูดอย่างรวดเร็ว

“อ้อ…” คราวนี้เยเลี่ยนเข้าใจแล้ว แถมยังพยักหน้าแรงๆ “ที่แท้พวกพี่…ก็มีความสัมพันธ์อย่างนี้กันเองหรอ”

“ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันทั้งนั้นเถอะ!” หลิงม่อโวย

คำนวณเวลาดูแล้ว พวกมู่เฉินกับรุ่นพี่น่าจะถึงกันแล้ว

อุปกรณ์เตือนภัยยังคงส่งเสียงร้องสุดชีวิต ทว่าไม่ช้าก็เร็วคงหนีไม่พ้นถูกซอมบี้พังจนละเอียดคามือ

แต่ปัญหาก็คือ…

“รุ่นพี่ล่ะ?”

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset