วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม เวลาบ่ายสามโมง ณ พื้นที่บริเวณปราสาทสีขาว หมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน
เหล่าบรรดาวัยรุ่นชั้นมัธยมศึกษาต่างแยกย้ายเดินทางกลับบ้าน บ้างก็ทำกิจกรรมสันทนาการหลังเลิกเรียน แต่ละคนยังคงดำเนินกิจวัตรประจำวันตามปกติ
อิทสึกิ วัตสัน เวสน่า สเตฟาเนีย ฮิคาริ อาเธอเรีย และคลาร่า ต่างโบกมือกล่าวอำลาแยกย้ายจากกัน หลังจากที่ยืนจับกลุ่มสนทนาเพียงครู่หนึ่ง เหลือเพียงแค่เลวอน ออเดรย์ และโมนิก้าเท่านั้นที่ยังอยู่ตรงนี้ ไม่นานนักจิ้งจอกสาวได้หันไปพูดคุยกับเด็กหนุ่มผมสีขาวโพลน พลางส่ายหางกระดิกหูไปมาด้วยท่าทีเสียงตื่นเต้น
“พวกเรารีบเดินทางไปที่จุดฝึกซ้อมกันเถอะ วันนี้ฉันมีท่าไม้ตายเด็ด ๆ มานำเสนอรุ่นพี่ด้วยล่ะ”
“จริงเหรอ? ถ้างั้นรีบไปกันเลย” เลวอนแสดงอากัปกิริยากระตือรือร้น ก่อนจะหันไปซักถามต่อแม่มดสาวร่างเพรียวบาง ที่กำลังยืนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “โมนิก้า ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็เย็นนี้แวะมาดูผมฝึกซ้อมวิชากับออเดรย์ได้เลยนะ”
“อ-เอ๊ะ! ข… ขอโทษค่ะ พอดีวันนี้ฉันมีธุระที่ต้องรีบสะสางให้เสร็จก่อน”
โมนิก้าสะดุ้งตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะให้คำตอบด้วยความรู้สึกผิด บุรุษหนุ่มจึงฉีกยิ้มจาง ๆ ภายใต้สีหน้าสลด
“อา… น่าเสียดายจัง ไม่เป็นไรถ้างั้นเอาไว้คราวหน้าก็ได้ รีบไปเถอะเดี๋ยวจะไม่ทันการ”
ยุวสตรีนัยน์ตาสีฟ้าสดใสผงกศีรษะอย่างว่าง่าย แล้วหันไปกำชับต่อออเดรย์ด้วยสีหน้าคิ้วขมวดพอประมาณ
“รบกวนฝากดูแลคุณเลวอนแทนฉันทีนะคะ แล้วก็อย่าให้เขาหักโหมตัวเองมากจนเกินไปเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
“แหม ๆ วางใจได้เลย อีกอย่างฉันไม่ได้ฝึกโหดเหมือนรุ่นพี่ฮิคาริสักหน่อย”
ออเดรย์รับปากพลางยืดอกมือเท้าเอวอย่างภาคภูมิ ทำให้โมนิก้ารู้สึกสบายใจขึ้นมาได้บ้าง
“ถ้างั้นฉันขอตัวกลับก่อน ไว้เจอกันใหม่นะคะ”
“เดินทางดี ๆ นะ/ไว้เจอกันจ้า”
เลวอนและออเดรย์กล่าวส่งท้าย โมนิก้าโบกอำลาก่อนจะหันหลังวิ่งจากไปอย่างเร่งรีบ ปล่อยให้ทั้งสองหนุ่มสาวยืนอยู่ตามลำพังสักครู่หนึ่ง จากนั้นบุรุษจอมดาบเวทจึงหันไปสนทนากับจิ้งจอกสาวอีกครั้ง
“จริงสิ ท่าไม้ตายเด็ด ๆ ที่ว่ามันคืออะไรกันน่ะ?”
“ขืนบอกให้รู้ตอนนี้เดี๋ยวก็ไม่เซอร์ไพรส์กันพอดีน่ะสิ… รีบไปกันเถอะรุ่นพี่~”
ออเดรย์เกริ่นชักชวนด้วยน้ำเสียงร่าเริง เลวอนเห็นอากัปกิริยาอันสดใสของเธอดังนั้นจึงมิอาจสะกดรอยยิ้มได้ ไม่รอช้าสองวัยรุ่นชายหญิงก็เริ่มออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่บริเวณเขตป่าทึบทางทิศเหนือของหมู่บ้าน โดยอยู่ห่างจากปราสาทสีขาวราวห้ากิโลเมตร เพื่อฝึกซ้อมพิเศษประจำวันทันที
********************
บ้านสีโอลด์โรสสองชั้นหลังหนึ่ง ณ พื้นที่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือในหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน
ที่นี่คือที่พักอาศัยของครอบครัวซิบูลคอฟ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากปราสาทสีขาวประมาณสามกิโลเมตร เมื่อโมนิก้าเดินทางมาถึงบนห้องนอนชั้นที่สอง เธอก็พลันจัดแจงสัมภาระใส่ลงในกระเป๋าสะพายพาดไหล่อย่างเร่งรีบ
ในกระเป๋าสัมภาระบรรจุด้วยหนังสือเวทมนตร์โบราณภาษาละติน ลูกแก้วพยากรณ์ อัญมณีหลากหลายสีขนาดเท่าก้อนกรวด น้ำยาฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายกับพลังเวทจำนวนสิบหลอด และเอกสารใบแจ้งเควสสำหรับภารกิจปราบพยัคฆ์ขาว หลังจากที่เมื่อวานนี้โมนิก้าได้วางแผนคิดหาวิธีต่อสู้มาอย่างถี่ถ้วนแล้ว
แม่มดสาวเจ้าของเรือยผมสีน้ำตาลอ่อนยังคงอยู่ในชุดจอมเวทฝึกหัดตัวเก่ง โดยที่นิ้วชี้ขวาสวมแหวนวิเศษสีทองไว้ใช้สำหรับร่ายคาถา จากนั้นนำไม้กายสิทธิ์สอดเข้าไปในซอกถุงเท้าบริเวณต้นขาใต้กระโปรง แล้วยกกระเป๋าขึ้นมาสะพายพาดไหล่เสร็จสรรพ ก่อนจะหันไปมองดูภาพถ่ายสองใบซึ่งตั้งอยู่บนหัวเตียงด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์
ภาพแรกเป็นรูปถ่ายสมัยตอนที่โมนิก้าอายุสิบสองปี กำลังยืนจูงมือเด็กหนุ่มผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนรูปร่างสูงเพรียวในชุดสุภาพ หรือ “มิคาอิล ซิบูลคอฟ” พี่ชายของตน เมื่อจับจ้องมองไปได้สักพักก็ทำให้เด็กสาวรู้สึกโหยหา และนึกถึงภาพแห่งความทรงจำดี ๆ เมื่อครั้งในอดีตขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ทุกข์ เศร้า ขมขื่น เผชิญกับปัญหารุมเร้า หรือโดนเพื่อนร่วมชั้นรังแก โมนิก้ามักจะได้พี่ชายคอยอยู่เคียงข้างและปลอบใจเธอเสมอ ด้วยความที่ทั้งคู่กำพร้าพ่อแม่จึงต้องให้ความสำคัญแก่กันเรื่อยมา ทว่าตอนนี้เด็กสาวกลับไม่มีใครให้พักพิงอีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่พอจะค้ำจุนจิตใจของตนได้มีเพียงแค่เหล่าบรรดาเพื่อนสนิทเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลวอน
แม่มดสาวร่างอรชรเหลือบสายตาไปยังกรอบรูปอีกใบหนึ่งซึ่งยังใหม่เอี่ยมอยู่ โดยมีเลวอน วัตสัน และตัวเธอปรากฏอยู่ในภาพนั้น ก่อนจะจับจ้องมองเพียงแค่พ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนบนภาพดังกล่าวด้วยรอยยิ้มเศร้าสร้อย โมนิก้าแอบรู้สึกผิดต่อเขาที่ต้องปิดบังความจริงเกี่ยวกับภารกิจปราบพยัคฆ์ขาว ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะแสดงฝีมือให้อีกฝ่ายได้เปิดใจยอมรับตนนั่นเอง
อย่างไรก็ดีในสายตาของโมนิก้าแล้ว เลวอนนั้นมีส่วนที่คล้ายคลึงเหมือนกับมิคาอิลมิใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกนิสัยหรือการวางตัว อีกทั้งยังคอยให้การช่วยเหลืออยู่บ่อยครั้ง จึงไม่แปลกที่เธอจะหลงรักเขาขึ้นมา
ขณะเดียวกัน ภาพในความฝันเมื่อวันก่อน หรือเหตุการณ์ตอนที่เลวอนถูกปีศาจชั่วร้ายกลืนกินและจมดิ่งลงในหมอกควันมืด ก็พลันผุดเข้ามาในหัว ทำให้เด็กสาวออกอาการตาโตเผยสีหน้าหวั่นวิตกเล็กน้อย
ถึงแม้จะเป็นแค่เพียงภาพนิมิต แต่สำหรับเธอแล้วมันคือลางบอกเหตุสำคัญอะไรบางอย่าง
อะไรกัน ทั้งที่เป็นเพียงแค่ความฝันแท้ ๆ ทำไมถึงรู้สึกกังวลใจแบบนี้…
โมนิก้ารีบส่ายศีรษะสลัดความคิดอันขุ่นมัวออกไปให้พ้น แล้วนำสองมือบางตบเข้าที่แก้มเบา ๆ เพื่อตั้งสติ
นี่คือสาเหตุหนึ่งที่เด็กสาวจำใจต้องปิดบัง ไม่ยอมให้เลวอนทำเควสปราบพยัคฆ์ขาวในครั้งนี้ เพราะไม่ต้องการเห็นเขาได้รับบาดเจ็บหรือเผชิญกับภัยอันตราย เว้นเสียแต่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาจริง ๆ เธอก็พร้อมที่จะสละชีวิตตนเพื่อปกป้องชายผู้เป็นที่รักโดยไม่ลังเล แม้ว่าตัวเองจะไม่ได้กล้าหาญเด็ดเดี่ยวเหมือนสเตฟาเนีย หรือบรรดาแม่มดสาวคนอื่นก็ตาม
โมนิก้ากวาดสายตามองรูปถ่ายของมิคาอิลอีกครั้ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มเจือจางแล้วกล่าวถ้อยคำน้ำเสียงละมุน
“หนูไปก่อนนะคะ พี่ชาย”
และแล้วแม่มดสาวร่างเพรียวก็พลันก้าวเท้าออกจากที่พัก มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ป่าทึบทางตะวันออกของหมู่บ้าน เพื่อเริ่มภารกิจโค่นล้มเสือโคร่งไซบีเรียสีขาว หรือจ้าวแห่งสัตว์ป่าตามลำพัง ด้วยสีหน้าแน่วแน่พร้อมความมั่นใจเต็มเปี่ยม
********************
บ่ายสี่โมงครึ่งโดยประมาณ ณ พื้นที่ภายในป่าทึบทางทิศตะวันออก อยู่ห่างจากเขตนอกหมู่บ้านราวหนึ่งกิโลเมตร
โมนิก้าได้ย่างกรายเข้ามาถึงที่หมาย โดยเตรียมอุปกรณ์เวทมนตร์พร้อมเสร็จสรรพ หลังจากที่ต้องใช้เส้นทางอ้อมห่างจากบริเวณศาสนสถานสีขาวยอดโดมสีทอง หรือโบสถ์เซนต์มิฮาอิล-ชีลีนา ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้เวสน่าและเหล่าซิสเตอร์สังเกตเห็น
บรรยากาศภายในป่ายังคงมืดสลัว เย็นยะเยือก และวังเวงเช่นเคย ระหว่างนี้เด็กสาวได้กระชับไม้กายสิทธิ์ในมือขวาให้มั่นคง ส่วนมืออีกข้างกำอัญมณีหลากสีเพื่อเตรียมรับมือการจู่โจมจากศัตรู เดินหันซ้ายแลขวาคอยสอดส่องมองหาเป้าหมายหรือสิ่งผิดปกติไปพลาง
โมนิก้าใจเต้นตึกตักพร้อมทั้งมีเม็ดเหงื่อไหลอาบข้างใบหน้า ที่ผ่านมาเธอไม่เคยต่อสู้หรือลุยเดี่ยวเลยสักครั้ง แม้จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเรียนแม่มดหัวกะทิ ผู้มากความสามารถในการใช้เวทมนตร์หลากหลายก็ตาม อีกทั้งเดิมทียังมีนิสัยขี้กลัวต่อสิ่งที่ไม่คุ้นชินอีกด้วย
——แซ่กแซ่ก
“ว้าย!?”
แม่มดสาวนัยน์ตาสีฟ้าสะดุ้งตกใจเสียวสันหลังวาบ เมื่อมีบางสิ่งบางอย่างขยับสั่นไหวอยู่ในพุ่มไม้ทางด้านหลัง ตนจึงชะงักฝีเท้ารีบหันไปมองดูพลางชี้ปลายไม้กายสิทธิ์ใส่ แล้วพบว่าตรงจุดนั้นมีกระรอกสองตัวกำลังเล่นวิ่งไล่จับกันอยู่ตามประสาสัตว์ตัวเล็ก ก่อนจะถอนหายใจโล่งอกพร้อมทั้งตั้งสตินึกย้ำเตือนตัวเองไปพลาง
อย่าเพิ่งปอดแหกสิโมนิก้า ขืนทำตัวแบบนี้เดี๋ยวก็สู้หน้าคุณเลวอนกับพวกสเตฟก้าไม่ได้กันพอดี
ไม่นานนักโมนิก้าจึงมุ่งหน้าเดินต่อไปด้วยสีหน้าท่าทีสั่นสู้ ถลำลึกเข้าไปยังภายในป่าทึบอันมืดสลัว จนไม่อาจมองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบและบรรยากาศของหมู่บ้านที่อยู่ทางเบื้องหลังตนได้อีก
รอบ ๆ ตัวของแม่มดสาวร่างอรชรในตอนนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่อันสูงชัน พร้อมทั้งพุ่มหญ้าและเศษใบไม้แห้งเกลื่อนกลาดไปทั่ว ไม่ว่าจะมองไปยังทิศทางไหนก็มีแต่ทัศนียภาพรูปแบบเดิม ยากที่จะคาดเดาได้ว่าสัตว์ดุร้ายอย่างเสือโคร่งไซบีเรียตัวนั้นจะเข้ามาจู่โจมเธอในช่วงเวลาใด
เสียงพุ่มไม้ดังขึ้นจากทางด้านหลังอีกครั้ง โมนิก้ารีบหันขวับสะบัดไม้กายสิทธิ์ชี้ไปยังจุดดังกล่าวพร้อมทั้งกวาดสายตามองดูรอบ ๆ คราวนี้เธอกลับเผยอาการตื่นตระหนกน้อยลง ดูค่อนข้างสงบเยือกเย็นแม้จะยังรู้สึกหวั่นเกรงอยู่บ้างก็ตาม
ถัดมาเด็กสาวค่อย ๆ หลับตาลง แล้วตั้งสมาธิสัมผัสจิตสังหารจากศัตรู ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยไม่ให้จิตใจวอกแวก ขณะนั้นเองภาพจากเหตุการณ์ในอดีตได้พลันผุดขึ้นมาภายในจิตใจ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน
โดยที่ตัวเธอยังคงจดจำมันได้เป็นอย่างดีตราบจนถึงทุกวันนี้
********************
ตอนนั้นโมนิก้ามีอายุได้สิบสองปี และเพิ่งสูญเสียมิคาอิลผู้ซึ่งเป็นพี่ชายไปไม่นานนัก เธอมักจะถูกเหล่าบรรดาเพื่อนร่วมชั้นคอยรังแกด้วยความอิจฉาอยู่เสมอ เนื่องจากตนเป็นเด็กเรียนเก่งและมากความสามารถ บ้างก็โดนพูดจาล้อเลียนใส่ โดนขโมยไม้กายสิทธิ์หรือตำราเรียนไปซ่อน เพื่อที่จะได้เห็นเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ร้องไห้งอแง
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน มิคาอิลคงรีบเข้ามาช่วยเหลือและคอยปกป้องโมนิก้าโดยทันที ทว่าครั้งนี้เธอกลับไม่เหลือใครเลยแม้กระทั่งพ่อแม่หรือญาติผู้ใกล้ชิด เพื่อน ๆ จึงพากันลามปามพูดแซวใส่ตนว่าเป็นลูกกำพร้าขาดความอบอุ่นอย่างสนุกปาก
และนั่นถือเป็นการตอกย้ำแผลภายในใจจนลึกมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ
ครั้งหนึ่งเลวอนในวัยสิบสี่ปีได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ คอยดูแลปกป้องปลอบโยนโมนิก้าเสมือนดั่งเป็นพี่น้องกันแท้ ๆ จนเขาพลอยโดนหางเลขไปด้วย มิหนำซ้ำยังต้องเจ็บตัวจากการทะเลาะวิวาทต่อเหล่าผู้คนที่เข้ามารังแกเธอ ทั้งที่ร่างกายตนเองอ่อนแออีกต่างหาก
ใบหน้าของเด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนแดงฟกช้ำเล็กน้อย อีกทั้งชุดแต่งกายสะบักสะบอม ส่วนเหล่าผองเพื่อนนิสัยเกเรซึ่งมีสภาพไม่ต่างกันมากนักก็ได้ถอยร่นกลับไปอย่างไม่พอใจ ในขณะที่แม่มดสาวร่างเล็กยังคงนั่งคุกเข่ากอดกระเป๋าสะพายเอาไว้แน่นหลังจากเคยถูกอีกฝ่ายช่วงชิงไปก่อนหน้านี้ พลางจับจ้องมองแผ่นหลังเพื่อนสนิทอย่างตื้นตันใจทั้งน้ำตาคลอ
“ข… ขอบคุณมากนะคะ”
“ให้ตายเถอะ คนพวกนั้นไม่รู้จักละอายใจบ้างเลยรึยังไง”
เลวอนพึมพำ ก่อนจะหันหน้าเข้าหาโมนิก้าแล้วขยับเข้าไปนั่งชันเข่าใกล้ ๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนสีกรมท่าขึ้นมาซับน้ำตาเธออย่างทะนุถนอม ขณะเดียวกันแม่มดสาวตัวน้อยเห็นสภาพร่างกายของเด็กหนุ่มที่ดูไม่ค่อยจะสู้ดีนัก จึงเกริ่นน้ำเสียงกังวลพลางดึงไม้กายสิทธิ์ออกมาจากซอกถุงเท้าฝั่งขวาหมายจะทำการร่ายคาถารักษาให้แก่เขา
“ย… แย่แล้ว แผลฟกช้ำเต็มไปหมดเลย เดี๋ยวฉันจะใช้เวทมนตร์รักษาให้เองค่ะ!”
“จริงด้วยแฮะ ขืนกลับบ้านไปในสภาพแบบนี้มีหวังคงได้โดนแม่ดุแน่ ๆ ถ้างั้นรบกวนด้วยนะ”
หนุ่มน้อยตอบรับด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ไม่รอช้าโมนิก้าก็เริ่มต้นร่ายเวทมนตร์รักษาอาการบาดเจ็บให้ เกิดแสงวูบวาบขึ้นชั่วขณะ จนเรือนร่างและเสื้อผ้าของเขากลับคืนสู่สภาพปกติอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เสร็จแล้วเธอก็พลันก้มหน้าหลบสายตาอีกฝ่ายเล็กน้อยด้วยความละอายใจ ตามด้วยเปล่งถ้อยคำอันแผ่วเบาออกมา
“ทั้งที่คุณเลวอนกำลังป่วยอยู่แท้ ๆ แต่กลับคอยช่วยเหลือและปกป้องฉันอยู่เสมอ อะไรทำให้คุณมีจิตใจที่เข้มแข็งและกล้าหาญได้มากถึงขนาดนี้กันคะ? …ฉันน่ะเกลียดตัวเองที่ทำตัวอ่อนแอเหลือเกิน”
พ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันแย้มสรวลเจือจาง พร้อมทั้งให้คำตอบแก่เธออย่างใจเย็นสุขุม
“ตอนเด็ก ๆ พ่อเคยสอนผมเอาไว้ว่า ‘โชคย่อมเข้าข้างผู้กล้าเสมอ’ ก็เลยยึดถือและเชื่อมั่นในคำพูดนั้นมาโดยตลอด… ผมน่ะไม่อยากสูญเสียสิ่งที่สำคัญไปอีกแล้ว ถ้าต้องเจอกับเรื่องแบบนั้นอีกล่ะก็ขอสู้จนตัวตายไปเลยยังจะดีเสียกว่า”
“ไม่รู้สึกกลัวบ้างเลยเหรอ?”
โมนิก้าซักถามสงสัยอีกครั้ง ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย
“ผมเองก็มีสิ่งที่หวาดกลัวอยู่เหมือนกัน นั่นคือกลัวที่จะต้องสูญเสียเพื่อนไปอีกคนยังไงล่ะ เมื่อก่อนผมเคยทะเลาะกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งก่อนที่ครอบครัวของพวกเราจะย้ายมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ แต่ไม่มีโอกาสได้กล่าวคำขอโทษหรือคืนดีกับเธอคนนั้นสักคำ จนถึงทุกวันนี้ผมยังรู้สึกนึกเสียใจอยู่เลย”
คราวนี้ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของเลวอนเริ่มเลือนหายไปกลายเป็นความเศร้าสลด ทำให้โมนิก้ารู้สึกผิดและไม่กล้าที่จะซักถามอีกต่อไป โดยทำได้แค่เพียงกุมมือหนาของเขาซึ่งกำลังใช้ผ้าซับน้ำตาตนอย่างอ่อนโยนเท่านั้น
“คุณเลวอน…”
“ขอโทษนะ ไว้ถึงเวลาเมื่อไหร่ สักวันหนึ่งผมจะเล่าให้โมนิก้าฟังเป็นคนแรกเลย”
พ่อมดหนุ่มให้คำมั่นพลางฉีกยิ้มละมุน โมนิก้าจึงแย้มสรวลอย่างสบายใจ ก่อนจะเน้นย้ำให้เขาจดจำและรักษาคำพูดนั้นเอาไว้ด้วยสีหน้าสดใสและเปี่ยมสุข
“แหะแหะ สัญญาแล้วนะคะ”
********************
สิ่งนี้คือหนึ่งในความทรงจำอันแสนล้ำค่าสำหรับโมนิก้า ทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว จิตใจของเธอก็เริ่มรู้สึกสงบลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อีกทั้งประสาทสัมผัสในการรับรู้กระแสจิตมีความเฉียบคม รวมถึงพลังเวทมนตร์ในร่างกายมีความเสถียรเพิ่มมากยิ่งขึ้น
ครั้งหนึ่งสเตฟาเนียเคยกล่าวกับบรรดาผองเพื่อนเอาไว้ว่า
“ถ้าหากตัดเรื่องความกลัวและความลังเลใจออกไป โมนิก้าอาจกลายมาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมากที่สุด เนื่องจากเธอเองก็มีความเฉลียวฉลาดและรอบรู้เรื่องเวทมนตร์คาถานอกห้องเรียน สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการต่อสู้ได้จริงอยู่แล้ว”
และในที่สุดเวลานั้นก็ได้มาถึงเสียที
——แซ่กแซ่ก
“Flamma ignisa! (พระเพลิงพิโรธ) ”
แม่มดสาวผมสีน้ำตาลอ่อนรีบลืมตาขึ้นพร้อมหมุนตัวไปทางด้านขวา แล้วตามด้วยชี้ปลายไม้กายสิทธิ์เนรมิตคาถาใส่ หลังจากที่เธอจับจิตสังหารและสัญชาตญาณของสัตว์ป่าได้ เปลวไฟพลันพวยพุ่งออกมาจากอุปกรณ์สื่อนำ เผาไหม้พุ่มไม้ซึ่งอยู่ห่างจากจุดนี้ราวสิบเมตรจนลุกโชติช่วง
“โฮกกกกก!!”