เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 94 อย่ารับปากเขา คือการลวงตา

มู่อวิ๋นซีกับเฟิ่งเชียนเย่มองหน้ากันครู่หนึ่ง และได้ตามหลังมาติดๆ ออกจากห้องข้างๆ เรือน ก็เห็นชวยเอ๋อร์กำลังพูดกับชายวัยกลางคนที่สวมชุดขันทีสีเขียวเข้มและมีใบหน้าที่ขาวสะอาด
“คุณหนูรอง!”
เมื่อซวยเอ๋อร์เห็นมู่อวิ๋นซี ก็รีบก้าวเข้าไปหานางเพื่อแนะนำ “ท่านนี่คือเต๋อกงกง*” นางลดเสียงพูดเบาๆ ว่า “ไม่กี่วันก่อนเป็นเขาลงมาทำสัญญาการสั่งซื้อแทนฮองเฮาเจ้าค่ะ”(*กงกงเป็นคำเรียกขันทีในราชสำนัก)
“คารวะเต๋อกงกง!” มู่อวิ๋นซีโค้งย่อตัวคำนับเต๋อกงกง
“คุณหนูรองไม่ต้องมากพิธี” เต๋อกงกงเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม มองมู่อวิ๋นซีตั้งแต่หัวจรดเท้า พยักหน้าไม่หยุด “เหมือน! ช่างเหมือนกันมากจริงๆ !”
มู่อวิ๋นซีประหลาดใจ
เต๋อกงกงยิ้มพลางอธิบายว่า “ปีนั้น บิดาและมารดาของท่านแต่งงาน เป็นข้าที่มามอบของกำนัลแทนฝ่าบาทองค์ก่อนจึงโชคดีที่ได้พบมารดาของท่าน คุณหนูรองกับนางช่างไม่แตกต่างกันเลย”
มู่อวิ๋นซีกล่าว “ต้องให้กงกงคิดถึงแล้ว ไม่ทราบว่าวันนี้ที่ท่านมามีเรื่องอะไรหรือ?”
“คือเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” เต๋อกงกงหยิบกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้มู่อวิ๋นซี “ฮองเฮาเห็นเครื่องประทินโฉมพวกนี้……” เขายกนิ้วไปที่เครื่องประทินโฉมที่วางอยู่บนตู้ “บนแป้งล้วนมีลวดลายดอกไม้ ดังนั้นให้ข้ามาถามว่า สามารถประทับตราพระนามของฮองเฮาทุกพระองค์บนแป้งได้หรือไม่”
“แน่นอนว่าสิ่งนี้……”
“อย่ารับปาก”
คำพูดของเฟิ่งเชียนเย่ดังขึ้นข้างหูมู่อวิ๋นซี นางหันกลับไปมอง แต่ก็ไม่เห็นร่างของเฟิ่งเชียนเย่ เมื่อครู่พวกเขาทั้งสองคนได้ออกมาพร้อมกัน เขาไปซ่อนตัวตั้งแต่เมื่อไรกัน?
ดวงตาของนางมองไปมา แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนที่สามารถซ่อนตัวได้
“อย่ารับปากเขา” เสียงของเฟิ่งเชียนเย่ดังขึ้นข้างหูนางอีกครั้ง

มู่อวิ๋นซีได้สติกลับมาทันที เขาหันไปมองเต๋อกงกง ที่เขากำลังจ้องนางอยู่ นางถอนหายใจเบาๆ “แน่นอนว่าสามารถทำได้ แต่ต้องใช้เวลานานมาก และวิธีนี้จะไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ตรงตามเวลาที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้”
เต๋อกงกงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่สามารถจัดกำลังคนให้มากขึ้น เพื่อเร่งรัดกับเวลาหรือ?”
“เครื่องประทินโฉมของฮองเฮาเดิมทีก็เร่งด่วนอยู่แล้ว เวลาที่จัดส่งสินค้าครั้งก่อนนี้ได้จัดกำลังคนให้มากที่สุดและเร่งรัดเวลาแล้ว เยี่ยงไรเสียเครื่องประทินโฉมที่ดี ไม่ว่าจะเก็บ ทำน้ำ หรือนึ่งให้แห้งก็ต้องใช้เวลาทั้งนั้น”
มู่อวิ๋นซีมองเต๋อกงกงที่ยังคงขมวดคิ้วแน่นเหมือนเดิม “หากต้องทำให้กงกงรู้สึกลำบากใจ หรือไม่ท่านไปทูลแทนอวิ๋นซี อวิ๋นซีจะเข้าพบฮองเฮาเป็นการส่วนตัว เพื่อจะได้อธิบายต้นสายปลายเหตุให้ฟัง”
เต๋อกงกงหัวเราะ “ดูท่าแล้ว คงทำไม่ได้จริงๆ ”
“อวิ๋นซีต้องขอโทษด้วย” มู่อวิ๋นซีคำนับกล่าวขอโทษเต๋อกงกง
“ได้ เช่นนั้นข้าจะกลับวังเพื่อรายงานผล นี่เป็นเพียงเรื่องของการเพิ่มให้มีสีสันเพื่อความสวยงามขึ้นเท่านั้น ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่คุณหนูรอง……” สีหน้าของเขาก็เข้มขรึมทันที ดวงตาที่ยิ้มแย้มแสดงถึงความดุดัน “เครื่องประทินโฉมนี้ล้วนเป็นฮองเฮาและเหล่าพระสนมใช้ หากเกิดเรื่องผิดพลาดอะไร แม้แต่องค์หญิงใหญ่ก็มิอาจปกป้องท่านได้”
“เจ้าค่ะ!” มู่อวิ๋นซีหลบตาลงตอบอย่างว่าง่าย “อวิ๋นซีจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”
รอจนนางเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็ไม่เห็นเงาของเต๋อกงกงแล้วชวยเอ๋อร์มองมู่อวิ๋นซีด้วยสีหน้าสงสัย “คุณหนู การประทับชื่อบนเครื่องประทินโฉมนี้แม้จะยุ่งยาก แต่ก็เป็นแค่การทำแม่พิมพ์เพิ่มเท่านั้น เหตุใดคุณหนูถึงไม่รับปากเต๋อกงกง”
“ทำสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้น*ก็เป็นเรื่องดี หากเพิ่มมาแม้แต่ชีวิตก็จะไม่มี แล้วจะชดใช้ได้เยี่ยงไร?” เฟิ่งเชียนเย่พูดพลางเดินผ่านมู่อวิ๋นซี เมื่อเห็นว่านางยังตามไม่ทัน ก็หันกลับมาเลิกคิ้ว “ถ้าไม่รีบอีก ก็จบแล้ว?”(*ทำสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้น ในที่นี้มีนัยว่าฮองเฮาให้เกียรติแดงดุจท้อให้ประทับชื่อท่านไว้ จะทำให้ชื่อเสียงและฐานะของแดงดุจท้อดังขึ้นสูงขึ้น)
“อ่อ!”
มู่อวิ๋นซีเข้าใจทันที และกำลังจะตามไป แต่ก็ตรงเข้าไปหาชวยเอ๋อร์อีกครั้ง “เรื่องนี้ ไม่ว่ากับใครก็ห้ามพูดถึง หากมีคนมาถาม ก็บอกว่าขั้นตอนการประทับลายนี้ยุ่งยากมาก อีกอย่าง อย่าลืมส่งหยกวิไลให้หมอหญิงโจวหนึ่งตลับล่ะ”
หากไม่ใช่เพราะหมอหญิงโจวบอกเธอว่าเจี่ยอี้ป่วยเป็นโรคที่ไม่กล้าบอกใคร นางก็คิดไม่ถึงว่าจะต้องไปสืบหาที่มาของซานเอ๋อร์

เมื่อเห็นชวยเอ๋อร์พยักหน้า นางก็รีบวิ่งตามเฟิ่งเชียนเย่ และขึ้นรถม้าไปพร้อมกับเขา
รถม้าเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เฟิ่งเชียนเย่ถึงดึงมือที่ขวางอยู่ด้านหลังมู่อวิ๋นซีกลับมา
“ในวังนั้นซับซ้อนมาก”
“อืม” มู่อวิ๋นซีขานรับ และอยากจะถาม แต่พอมองสีหน้าเย็นชาของเขา แล้วกลืนคำพูดกลับไปอีก
ภายในรถม้าเงียบสงัด
หลังจากนั้นไม่นาน เฟิ่งเชียนเย่ก็ถอนหายใจอย่างไม่มีเสียง “นางสนมในวังมีใบหน้าและจิตใจที่ไม่ลงรอยกันอยู่มากมาย หากว่าเครื่องประทินโฉมมีชื่อประทับอยู่ ง่ายมากที่ผู้อื่นใช้ประโยชน์จากมัน นอกจากนี้ แม้ว่าเต๋อกงกงจะปรนนิบัติฮองเฮา แต่ฝ่าบาทก็ทรงมอบหมายให้กับฮองเฮา ดังนั้น สิ่งที่เขาพูด แม้จะเป็นความหมายของใคร…… มันก็ยากที่จะพูด”
มู่อวิ๋นซีใจสั่น หากเป็นฮองเฮา บางทีก็เพียงต้องการให้นางส่งของกำนัลออกไปยิ่งเป็นพิเศษอีกหน่อย หากเป็นฝ่าบาท……
มู่อวิ๋นซีรู้สึกกลัว ในฝ่ามือได้มีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมา หากไม่ใช่เพราะเขาห้ามไว้ได้ทันเวลา เมื่อครู่นางคงจะตอบตกลงไปแล้ว
เรื่องเต๋อกงกงอย่าว่านาง มู่เซิ่ง แม้แต่คนในวังก็อาจจะยังไม่รู้ และเขารู้ได้เยี่ยงไร?
นางแอบมองไปที่เฟิ่งเชียนเย่ เขา ก็เหมือนเป็นปริศนา
ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่กลับเหมือนอยู่ไกลสุดขอบฟ้า ราวกับกำลังมองดอกไม้ในสายหมอก ไม่ว่าเยี่ยงไรก็มองไม่ชัด

เย่……เชียนเย่ ท่านเป็นใครกันแน่?
“ถึงแล้ว!”
ตามมาด้วยเสียงของคนขับม้า เมื่อรถม้าได้หยุดอย่างมั่นคง
เฟิ่งเชียนเย่ลงจากรถม้าพร้อมกับประคองมู่อวิ๋นซีลงจากรถม้า แขนยาวๆ เหยียดออกไปโอบนางไว้ ร่างกายขยับและพานางผ่านกำแพงที่สูงตระหง่าน ต้นไม้เปลือยเปล่าและหลังคาที่เหมือนเกล็ดปลา ในที่สุดก็ตกลงไปที่บนหลังคาห้องหนึ่ง
เสียงอึกทึกครึกโครมดังก้องมาจากใต้ฝ่าเท้า
เฟิ่งเชียนเย่ก้มลงยกกระเบื้องสีแดงขึ้น มู่อวิ๋นซีย่อตัวมองลงไป ห้องด้านล่างเต็มไปด้วยความโกลาหล โต๊ะเตี้ย เก้าอี้วงกลมคว่ำอยู่บนพื้น ชั้นวางของโบราณ ฉากกั้นก็ถูกพลิกคว่ำ กาน้ำชา ถ้วยชา แจกันก็ต่างกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น
รอยบวมที่ถูกตบบนใบหน้าทั้งซ้ายและขวาของมู่จื่อหลัน จากนั้นก็ยืนมองเจี่ยอี้ที่กำลังบ้าคลั่ง และยิ้มเยาะเย้ย “ข้าทำเช่นนั้น ก็ไม่ใช่เพื่อเกียรติยศของท่านหรือ? หรือท่านต้องการให้ทุกคนรู้ว่าถึงโรคที่ไม่อยากให้ใครรู้ของท่าน? ในใจข้ารู้สึกขมขื่น ที่ท่านกลับไม่รับน้ำใจ?”
“มู่จื่อหลัน เจ้าหน้าไม่อายหรือ?”
เจี่ยอี้ตะคอก แทบอยากจะฉีกปากผู้หญิงคนนี้ให้ขาด ทั้งๆ ที่นางสวมเขาให้เขา แต่ยังกลับมีหน้ามาพูดเช่นนี้ได้?
มู่จื่อหลันหัวเราะเยาะ “ดูท่าจะไม่ชอบวิธีการของข้าจริงๆ แต่พูดความในใจ ข้าก็อดทนต่อเจ้ามานานแล้ว ตอนนี้ เจ้าก็ถูกผิงจุ่นซือปลดออกจากตำแหน่งแล้ว แล้วมีประโยชน์อะไรกับตระกูลมู่ของข้า สู้พวกเราก็แยกกันดีกว่า?”
“ข้าไม่ต้องการสิ่งใด ขอแค่ซานเอ๋อร์ ส่วนบ้านหลังนี้ ผู้หญิง และสิ่งของติดตัวแต่งงานของข้าก่อนหน้านี้ ของกำนัลปีใหม่ที่องค์หญิงใหญ่มอบให้ ทั้งหมดทิ้งไว้ให้เจ้า คงเพียงพอให้เจ้ารำคาญได้อีกหลายปี เราจะแยกกันไปด้วยดี”
คำพูดที่เบาบางนี้ราวกับลูกศรที่อาบด้วยยาพิษ ทุกดอกล้วนยิงเข้าใส่ตรงหัวใจของเจี่ยอี้
เขาเดินเข้าไปใกล้มู่จื่อหลันทีละก้าวๆ แววตาเต็มไปด้วยความโกรธ
มู่จื่อหลันเหลือบมองเขาเบาๆ ก้มตัวลงหยิบที่วางพู่กันและพู่กันที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา ยื่นให้เจี่ยอี้ที่เดินมาตรงหน้านาง “เขียนสัญญาการหย่าเถิด หลังจากเขียนเสร็จแล้ว เงินทองเหล่านั้นเป็นของเจ้า……”
เจี่ยอี้รับพู่กันมา กำไว้แน่นจนมือสั่นระริก พลันยกมือขึ้นแล้วจุ่มพู่กันเข้าไปในปากมู่จื่อหลัน

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset