มู่อวิ๋นซีรีบประคองมู่ซิ่วไว้ ไป่หลิงกับชวยเอ๋อร์ก็รีบช่วยแกะหนามออก ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวทำท่าจะชกต่อผู้คนที่รุมดูอยู่ “มีใครอยากจะคลายกล้ามเนื้อและกระดูกอีก มาๆๆ ข้าทำให้”
ผู้คนก็วิ่งหนีเร็วดั่งฝูงนกและสัตว์
ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวหันมองมู่ซิ่วที่เต็มไปด้วยเลือด ฮึ “สมองของพี่เจ้าเนี่ยคงจะไปด้วยแป้งเปียก ของดั่งเจี่ยอี้เช่นนั้น นางยังจะปกป้องรักษาขนาดนี้”
“อาจจะไม่ใช่เพราะเจี่ยอี้” มู่อวิ๋นซีก็ไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ เป็นเพราะว่าปกติมู่ซิ่วเป็นคนที่ขี้กลัวและอ่อนโยน บอกให้ทำไรก็ได้แต่รับปาก ไม่กล้าขัดขืน แต่วันนี้ที่ทำกับนางไม่ปกติเกินไป “หลานสาวเจ้านี่……”
“เวลานี้ คงจะอยู่ลานหย่งเหอฝังเข็มให้องค์หญิงใหญ่อยู่”
กลัวองค์หญิงใหญ่เสียใจ มู่อวิ๋นซีนำมู่ซิ่วไปพักที่ลานชิงจื่อ แล้วเรียกไป่หลิงแอบไปเชิญหมอหญิงโจวมา เห็นนางเอาหนามบนตัวมู่ซิ่วออก ทายาเสร็จ ค่อยโล่งใจหน่อย หันมองฮั่วเสี่ยวเสี่ยว “รบกวนเจ้าแล้วละ ถ้าไม่ใช่เจ้าบังเอิญอยู่ตลาดตงซื่อพอดี ข้า……”
“ไม่ใช่บังเอิญ!”
ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวตัดคำพูดของมู่อวิ๋นซี ดึงนางออกมา “เป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้องข้าเรียกข้ามาหาเจ้าเอง ก่อนหน้านี้หลิ่วเย่ฆ่าตัวตายในคุก เจ้าบอกว่ามันแปลกไม่ใช่รึ?ตอนนี้มีวี่แววแล้ว”
ตามู่อวิ๋นซีสว่างขึ้น
“ก่อนหน้านี้ พี่ชายของข้าตรวจดูบันทึกการเยี่ยมชมทั้งหมดของหลิ่วเย่ตั้งแต่เข้ามาในเรือนจำ แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ทั้งสิน เมื่อคืนในคุกมีคนที่มาประกันตัวกับคนที่มาเยี่ยมชมตีกัน พี่ชายของข้าได้รับข้อคิดจากเรื่องนั้น เลยให้คนไปตรวจการบันทึกประกันตัวของวันนั้นที่ตรงกับวันที่หลิ่วเย่ฆ่าตัวตาย”
“ปรากฏว่าในคนที่ถูกประกันวันนั้น มีคนหนึ่งที่ชื่อว่าฉีหู่ เขาถูกขังเพราะก่อนหนึ่งวันนี้มีเรื่องตีกับคนอื่น ออ เขาก็คือพี่ชายของฉีอินในแปลงดอกไม้ของเจ้า ฮูหยินเล็กเติ้งในจวนพวกเจ้า ไปประกันตัวเขาออกมาเอง แต่ว่าฮูหยินเล็กเติ้งเคยไปพบหลิ่วเย่หรือไม่ คงจะมีแค่ฉีหู่ที่รู้”
“ไม่ได้ไปถามเขาหรือ?”มู่อวิ๋นซีสงสัย
“หาแล้ว แต่คนหายตัวไปแล้ว นี่ก็หายตัวไปครึ่งเดือนละมั้ง “ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่แน่อาจจะถูกฮูหยินเล็กเติ้งอันนี้แล้ว”
นางทำท่าทางฆ่าคนปิดปากบนคอนาง
มู่อวิ๋นซีมองอย่างไม่กะพริบตา เห็นหมอหญิงโจวออกมา รีบไปตอนรับ “พี่สาวข้า……”
“หนามเอาออกมาหมดแล้ว เป็นเพียงแผลภายนอก แค่เสียเลือดมากไปหน่อย คงต้องรักษาดีๆ สักพักแล้ว “หมอหญิงโจวถอนหายใจเบาๆ หันมองมู่อวิ๋นซี “มีคำคำหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่?”
“ควรพูดไม่ควรพูดอะไรกัน “ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวกลอกตามองบนใส่หมอหญิงโจว “อวิ๋นซีคือเพื่อนของข้า มีไรเจ้าก็พูดสิ”
มู่อวิ๋นซีพยักหน้า มองดูหมอหญิงโจวอย่างจริงจัง
“เอาเถิด จริงๆ แล้วนี่คือเรื่องในตระกูลพวกเจ้า ข้าไม่ควรยุ่ง แต่คุณหนูใหญ่น่าสงสารจริงๆ เจี่ยอี้ตีเขาครั้งแรก ก็จะตีเขาครั้งที่สอง คนเช่นนี้……” นางดึงมู่อวิ๋นซีเดินไปทางซ้ายสองก้าว ค่อยกระซิบข้างหูนาง
นัยน์ตามู่อวิ๋นซีเบิกกว้างขึ้น “จริงหรือ?”
หมอหญิงโจวพยักหน้า ให้สัญญาณว่าที่ตนพูดนั้นเป็นจริง
“พวกเข้าเนี่ยไม่ดีจริงๆ เลย?พูดไรก็ไม่พูดต่อหน้าข้า?”ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ตามถาม หันมองหมอหญิงโจว “แอบซุบซิบกันเสร็จยัง พูดเสร็จพวกข้าก็ไปกันได้แล้ว ข้าจะไปจวนเจ้าพอดี”
“คุณหนู คุณหนูใหญ่ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” เสียงไป่หลิงดังมาจากในห้อง
“ไปเถิด ไม่ต้องส่งแล้ว พวกข้าก็คุ้นทางอยู่แล้ว” ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวโอบกอดหมอหญิงโจวโบกมือให้มู่อวิ๋นซี
ในห้อง มู่ซิ่วที่นอนคว่ำอยู่บนตั่งนอนเห็นมู่อวิ๋นซีเข้ามา ดิ้นรนจะลุกขึ้น
“อย่างดิ้น ไม่งั้นทำโดนแผล ก็ต้องใส่ยาใหม่อีกแล้ว”
มู่ซิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง ก็นอนคว่ำกลับไปอย่างเชื่อฟัง เอียงหัวหันมองมู่อวิ๋นซี “เจ้าเป็นไรหรือไม่……”นัยน์ตานางเปิดกว้างทันที “ท่านย่าละ?ท่านย่าเป็นไงบ้าง?”
“หมอหญิงโจวตรวจดูแล้ว ตอนนี้พี่ชายเฝ้าไว้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”มู่อวิ๋นซีส่สงสัย
มู่ซิ่วรู้สึกโล่งใจไป หันมองมู่อวิ๋นซีอย่างละอายใจ “ข้าขอโทษนะ อวิ๋นซี ข้าไม่ได้ตั้งใจจะว่าเจ้าอย่างนั้น”
“ข้ารู้”
มู่ซิ่วมองดูนางอย่างตะลึง
“เจ้าไม่ใช่คนแบบนั้น ต่อให้เจ้าเกลียดข้า ไม่ชอบข้า ก็จะด่าข้า สาปแช่งข้าในใจเท่านั้น ไม่พูดออกมาแน่นอน” มู่อวิ๋นซีอธิบาย
“ไม่ ไม่” มู่ซิ่วกังวลเล็กน้อย “ข้าไม่เกลียดเจ้า เจ้าดีกับข้าเช่นนี้ ข้าจะเกลียดเจ้าได้ไง?”
จนถึงกำไลข้อมือปะการังแดงโยนทิ้งอยู่ตรงหน้านาง นางค่อยเข้าใจว่าก่อนหน้านี้มู่อวิ๋นซีทำไมถึงถามซ้ำว่านางชอบเจี่ยอี้ใช่ไหม พึ่งเข้าใจว่าทำไมวันนั้นสายตามู่อวิ๋นซีตอนเห็นกำไลข้อมือปะการังแดงแปลกขนาดนั้น
นางพึ่งเข้าใจว่ามู่อวิ๋นซีทำไมถึงไม่ถูกกับมู่จื่อหลัน นางพึ่งเข้าใจว่าทำไมนางให้เจี่ยอี้กับนางสมหวังกัน นางกลับยิ่งโมโห
“อวิ๋นซี ข้าสับสนไปเอง เป็นข้า……”
มู่อวิ๋นซีเอื้อมมือไปแตะริมฝีปากของมู่ซิ่ว ส่ายหัวเบาๆ แล้วเอามือตัวเองออก “ข้าไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้ ข้าแค่อยากรู้ว่าเหตุใดวันนี้เจ้าถึงทำเช่นนั้น?”
ทำไมไม่สนตัวเองบาดเจ็บสาหัส มีบาดแผลไปทั้งตัวก็ยังจะปกปิดเจี่ยอี้ หรือสาปแช่งด่านาง?
“ในมือเขามีเข็มพิษ ถ้าเจ้าไปแย่งต้นหนามในมือเขา ก็จะถูกเข็มพิษแทง” มู่ซิ่วจ้องมองมู่อวิ๋นซี ขอบตาเริ่มแดง “พวกเขาข่มขู่ข้า ถ้าข้าพูดให้เจ้า พวกขาก็จะวางยาพิษให้ท่านย่า หัก……”
“เจ้า……”
ทำไมโง่เช่นนี้?
มู่อวิ๋นซีกลืนคำนี้ลงอย่างเงียบๆ แล้วยกมือเช็ดน้ำตาบนแก้มของมู่ซิ่ว
นางก็โง่เช่นนี้อยู่แล้วไม่ใช่?ไม่งั้นจะถูกเจี่ยอี้กับมู่จื่อหลันหลอกไปหลายปีได้ไง?ไม่งั้นทำไมถึงคิดว่านางชอบเจี่ยอี้ละ?
“ท่านพี่!”นางมองดูมู่ซิ่ว นัยน์ตามีแต่ความอ่อนโยน “ตอนนี้ เจ้าอยากออกไปจากเจี่ยอี้หรือไม่?”
มู่ซิ่วพยักหน้า ขมวดคิ้วอีก มุมปากปรากฏรอยยิ้มที่ฝืนยิ้ม “พวกเขาคงจะไม่ปล่อยข้าไปหรอก แต่ว่าไม่เป็นไร ขอแค่เจ้าไม่เป็นไร ท่านย่าไม่เป็นไร ส่วนข้าไม่จะเป็นไรก็ชั่งเถิด”
“ขอแค่เจ้าอยาก เรื่องนี้ก็ปล่อยให้ข้าเองเจ้าไม่ต้องยุ่งอะไรทั้งสิ้น พักผ่อนดีๆ ” มู่อวิ๋นซีทำท่าให้นางเงียบๆ “คำไหนคำนั้น!เจ้าพักผ่อนดีๆ ล่ะ”
ออกมาจากในห้อง ก็เห็นเฟิ่งเชียนเย่ที่ยืนอยู่ตรงกลางทางเดิน แสงดวงตะวันค่ำฉายแสงส่องมาข้างหลังเขา เพิ่มความอบอุ่นให้กับเขา ทำให้ใจของเขายิ่งอุ่นขึ้น
“กลับมาแล้ว”
“เจ้าเป็นไรหรือไม่?”
ทั้งสองพูดพร้อมเพรียงกัน แล้วมองหน้ายิ้มให้กัน
นางเดินไปที่ข้างเขา มองเขาจากบนลงล่าง หัวเราะแล้วพูดว่า “ยังดี”
มุมปากเฟิ่งเชียนเย่มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอีก “ยินดีด้วย!”
มู่อวิ๋นซียิ้ม เงยหน้าลงอย่างอาย สักครู่ก็เงยหน้ามองเขาแล้วหัวเราะเบาๆ “เมื่อไม่กี่วันนี้ข้ายังคิดว่าพี่สาวคนนี้ไม่ได้เรื่อง คิดไม่ถึงว่ายามที่สำคัญ นางก็ไม่คลุมเครือนี่ ถึงวิธีจะงี่เง่าไปหน่อย แต่ข้า……”
นางนำมือที่ใหญ่ของเขามาวางไว้บนหน้าอกของนางอย่างกะทันหัน “รู้สึกได้หรือไม่?ในใจข้ารู้สึกอบอุ่น จี๊ดจ๊าด ความรู้สึกที่พูดไม่ออกจะล้นออกมาแล้ว”
“อืม” นัยน์ตาลึกของเฟิ่งเชียนเย่มีความประหลาดแวบวาบผ่าน มือที่ถูกนางจับไว้รู้สึกมีแรงขึ้นอีกเล็กน้อย
รู้สึกได้แล้วจริงๆ นุ่ม นิ่ม และมีความยืดหยุ่น
ฉากนี้ เข้านัยน์ตาของฉีอินที่ยืนอยู่ในลาน ทำให้ตาของนางแดงไปทั้งคู่ นางเดินเข้าไปอย่างเร็ว “คุณหนูรอง!”