มู่จื่อหลันหันมองมู่ซิ่ว สีหน้าดีร้ายไม่แน่ เดี๋ยวก็ยิ้มแย้มอย่างเร็ว “เจ้าได้ยินหมดแล้วใช่หรือไม่?”
มู่ซิ่วพยักหน้าซ้ำๆ “ป๋อง”คุกเข่าลงให้ทั้งสอง “ข้าขอพวกเจ้าละ ปล่อยอวิ๋นซีไปเถิด หลายปีนี้นางได้รับความทุกข์ทรมานมามากพอแล้ว พึ่งได้อยู่เป็นสุขไม่กี่วันเอง”
“ซิ่วซิ่วจ๊า” มู่จื่อหลันเดินไปข้างหน้าประคองนางขึ้นมา “ไม่ใช่พวกข้าจะทำร้ายนาง เป็นนางต่างหักที่จะทำร้ายนายท่าน”
นางจับมือมู่ซิ่วไว้ จูงนางไปหาเจี่ยอี้ที่สีหน้าไม่ค่อยดี “นายท่านเห็นหรือไม่เพคะ?นี่แหละคือพี่น้องที่รักกัน”
“ซิ่วซิ่วจ๊ะ ในเมื่อเจ้าได้ยินหมดแล้ว “มู่จื่อหลันยกมือจับแก้มมู่ซิ่ว ลูบอย่างเบาๆ “ถึงตอนนั้นก็ต้องลำบากเจ้าร่วมมือกับนายท่านดีๆ ละ พยายามทำให้นางใจอ่อน ให้นางยอมยกโทษนายท่าน ไม่งั้นนางก็คงต้องตายอย่างเดียว”
“ถ้าเจ้ากล้าบอกแผนการของพวกข้าให้นางรู้” มือของมู่จื่อหลันที่ตกลงมาบนกรามของมู่ซิ่วก็เก็บแน่นขึ้น “ข้าก็จะใช้ยาพิษฆ่าองค์หญิงใหญ่ทิ้งซะ!”
มู่ซิ่วตกใจ แทบจะไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
“คนหนึ่งเป็นท่านย่าที่เลี้ยงเจ้าเติบโต ที่รักเอ็นดูเจ้ามาตลอด” มือมู่จื่อหลันปล่อยลง จับแก้มมู่ซิ่วอีกครั้ง ตบอย่างเบาๆ “อีกคนเป็นคนที่อยากแย่งชิงสามีเจ้า เป็นน้องสาวที่ดูหมิ่นเจ้าจากในจริง สองคนนี้ เจ้าเลือกได้เพียงคนเดียว ไม่ใช่องค์หญิงใหญ่ตาย ก็คือมู่อวิ๋นซีตาย”
“อ่อ ไม่ใช่สิ!”มู่จื่อหลันเก็บมือ ใช้มือปิดปากทำอย่างตกตะลึง “ข้าลืมไปเรื่องหนึ่ง ช่วงสองวันนี้จวนของพวกข้ามีเรื่องไปไหนไม่ได้ ดังนั้นที่องค์หญิงใหญ่น่าจะเป็นมู่อวิ๋นซีดูแลอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าเจ้าเลือกมู่อวิ๋นซีแล้ว นั้นก็แปลว่า……”
“ไม่เพียงแต่องค์หญิงใหญ่ต้องตาย มู่อวิ๋นซียังต้องแบกรับโทษฐานที่ฆ่าองค์หญิงใหญ่ “นัยน์ตาของมู่จื่อหลันมีแสงแปร่งประกายขึ้นมา “สถานการณ์แบบนี้ ทำให้คนน่าตื่นเต้นจริงๆ เลย ซิ่วซิ่วจ๋า ยังไงมู่อวิ๋นซีก็ต้องตาย ต้องดูเจ้าแล้วว่าอยากจะเอาองค์หญิงใหญ่เข้าไปเกี่ยวข้องอีกคนหรือไม่”
“คนมา!” จู่ๆ มู่จื่อหลันก็ขึ้นเสียง หันมองสาวใช้สองคนที่เข้ามา “พาฮูหยินเล็กมู่ลงไป ดูนางไว้ดีๆ หักนางเกิดอะไรขึ้น หรือกล้าออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว ข้าเอาชีวิตพวกเจ้าแน่”
ชั่วพริบตาก็เข้าสู่ตรุษจีนเล็กแล้ว ในยามเช้าตรู่ จวนตระกูลมู่ก็มีชีวิตชีวาแล้ว ลานทุกลานก็เริ่มจัดการกวาดฝุ่น ไหว้เทพแห่งเต่าไป
“อวิ๋นซี!”
เฟิ่งเชียนเย่เรียกหยุดมู่อวิ๋นซีที่กำลังจะออกไปข้างนอก “ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องจากไปชั่วคราว วันนี้คงไปแดงดุจท้อกับเจ้าไม่ได้แล้วเจ้าระวังตัวเองด้วยละ”
“ท่าน……” มู่อวิ๋นซีนำคำที่กำลังจะถามกลืนลงไป แกะเชือกเสื้อคลุมสั้นที่เขาคลุมอยู่ แล้วผูกใหม่ “ระวังตัวอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
นางถอยหลังหนึ่งก้าว จู่ๆ ก็ทำหน้าเข้ม “อย่าลืมละ ท่านคือผู้คุ้มกันของข้า ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามสู้ชีวิตกับผู้อื่น ห้ามบาดเจ็บ ห้ามถูกพิษอีก ห้าม……ถูกผู้อื่นรังแกอีก”
มีรอยยิ้มปรากฏบนมุมปากเฟิ่งเชียนเย่เล็กน้อย “อืม”
เขาหันหลังเดินไปสองก้าว แล้วหันหัวมองมู่อวิ๋นซีที่ยืนไว้หน้าประตู สีหน้าวิตกกังวล น้อยใจเล็กน้อย เหมือนภรรยาน้อยที่ไม่พอใจและขี้บ่น ในใจถอนหายใจเล็กน้อย “ข้าไปเจอเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อน”
เขากำลังอธิบายกับนางหรือ?
มู่อวิ๋นซีรู้สึกตะลึง นัยน์ตาสว่าง รอยยิ้มปรากฏขึ้น มุมปากเฟิ่งเชียนเย่ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาอย่างเร็ว หันหลังมองเพียงแวบเดียวก็หายตัวไป
“ไป่หลิง!” มู่อวิ๋นซีหันมองไป่หลิงอย่างมีความสุข “ไป ไปที่แดงดุจท้อ”
ที่แดงดุจท้อ ชวยเอ๋อร์ก็กำลังสั่งสาวใช้สองคนกวาดพื้นทั้งภายในและภายนอกอย่างยุ่ง เมื่อเห็นมู่อวิ๋นซีกับไป่หลิงมา วางไม้ปัดฝุ่นที่อยู่ในมือทันที เอนตัวไปอย่างลึกลับหัวเราะฮิฮิแล้วพูดว่า
“คุณหนูรอง เมื่อคืนตอนปิดร้าน มีสตรีที่แต่งงานแล้วหนึ่งคนมาซื้อเครื่องประทินโฉม ปกคลุมอย่างแน่นหนา โผล่ตาเพียงสองดวง เครื่องประทินโฉมที่เหมือนกันซื้อก็ซื้อตั้งสี่ห้ากล่อง แท่งไศลยิ่งซื้อไปสิบอัน แต่พอตอนคิดเงินข้าเพียงแต่ฉ้อโกงนางหน่อยว่า จวนเจ้าพระยาหย่งชางซื้อของราคาสองเท่า”
“ยายรับใช้นั้นอึ้งตะลึงทันที ถามข้าว่าข้าดูออกได้เยี่ยงไรว่านางเป็นคนของจวนเจ้าพระยาหย่งชาง”ชวยเอ๋อร์แสยะยิ้มไปสองครั้ง “ข้าน้อยบอกแค่ได้กลิ่นนางก็รู้แล้วว่านางเป็นคนจวนเจ้าพระยาหย่งชาง”
“สุดท้ายละ?นางซื้อเครื่องประทินโฉมและแท่งไศลไปในราคาสองเท่ารึ?”ไป่หลิงลืมตาโตอย่างไม่น่าเชื่อ
“แน่นอนอยู่แล้ว” ชวยเอ๋อร์ยกคางขึ้น ได้ใจอย่างมาก “คุณหนูบอกมาก่อนหน้านี้แล้วว่า เมื่อไหร่ที่คนของจวนเจ้าพระยาหย่งชางมาซื้อเครื่องประทินโฉม ต้องขายในราคาสองเท่า ไม่พอหนึ่งหยวนก็ไม่ได้ อีกอย่างแล้ว ตอนนี้แดงดุจท้อของพวกข้าได้รับรายการจากฮองเฮา ต่อให้เป็นจวนเจ้าพระยาหย่งชาง ก็ไม่กล้ามาเพ่นพ่านที่นี้หรอกเจ้าค่ะ”
“นู้น!” ชวยเอ๋อร์ชี้ไปด่านนอกแดงดุจท้อที่กำลังจัดวางตู้อันหนึ่ง “เดี๋ยวข้าน้อยจะนำเครื่องประทินโฉม แท่งไศลอีกสองเท่าไปวางไว้ตรงนู้น ขายในราคาครึ่ง พอดีวันนี้เป็นตรุษจีนเล็ก คนก็เยอะ สักพักคงต้องแย่งกันหัวแตกแน่เลย คนที่แย่งไม่ได้ ถูกคนอื่นพูดกระชักไปอีกสักสองสามคำ ก็จะเข้ามาซื้อในราคาเดิมแน่นอน……ข้าน้อยเหมือนเห็นเงินไหลเข้ามาก๊องแก๊งๆ แล้วเจ้าค่ะ เร็วๆ พวกเจ้าทำไรเร็วหน่อยซิ”
จริงอย่างที่ชวยเอ๋อร์พูดเลย พึ่งว่างเครื่องประทินโฉม แท่งไศลพวกนั้นออกไป ทันใดนั้นในสามชั้น นอกสามชั้นมีคนรุมเต็มไปหมดเลย
“คุณหนูจะออกไปดูหรือไม่เจ้าคะ?” ไป่หลิงตื่นเต้นอยากลอง
“ไม่ไป คนพวกนั้นเดี๋ยวก็จะ……”
“คุณหนู ท่านออกมาเร็ว!” จู่ๆ ชวยเอ๋อร์ก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอก ใบหน้ามีแต่ความโมโหและความอับอาย “คุณหนูใหญ่กับท่านเขยแบกไม้มารับโทษแล้ว”
นอกประตู พวกคุณหนู ฮูหยินที่กำลังแย่งเครื่องประทินโฉมและแท่งไศลก็หยุดแย่ง คนที่เดินผ่านก็ค่อยๆ รวมตัวกันเข้ามา ลืมตาโตดูคนสองคนที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้าประตูแดงดุจท้อ
ท่ามกลางลมหนาว หญิงหน้าซีด ใส่เพียงเสื้อชั้นใน*สีขาว เท้าเปล่า ปล่อยผมไว้ แบกขวากหนามที่มีหนาวแหลมคมไว้บนหลังสี่ห้าอัน หนามนั้นแทงทะลุเสื้อ หลังของเธอ เป็นจุดๆ เปรียบเหมือนดอกเหมยแดงจำนวนมากที่เบ่งบานระหว่างเสื้อชั้นในสีขาวและหนามสีเทา(*เสื้อชั้นในที่นี้ไม่รวมชุดชั้นใน เป็นสีขาวแขนยาว)
ชายที่อยู่ข้างนางก็ปล่อยผมไว้เหมือนกัน แต่กลับใส่รองเท้าขุนนางหนาๆ ไว้ ใส่เสื้อคลุมไหมที่หรูหรา ไม่เพียงแต่ใส่เสื้อนอกขนหมาจิ้งจอกไว้ ตรงคอยังมีผ้าพันคอขนหมาจิ้งจอกพันไว้ ขนนุ่มๆ พันไว้ที่คอของเขาสองรอบ
“นี่……คือใครรึ?”
“ใต้เท้าเจี่ยที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ผิงจุ่นซือ นางนั้นคือ……คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่?”
“ไม่ผิดแน่ คือคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่จริงๆ หลานสาวขององค์หญิงใหญ่ พี่สาวมู่อวิ๋นซีผู้จัดการแดงดุจท้อ ทำไมน่าสงสารเช่นนี้?”
“สองพี่น้องนี้จะมีความคั่งแค้นใหญ่โตอะไรกัน ถึงต้องทรมานคนอย่างนี้ ?”
……
คำพูดพวกนั้นเย็นชายิ่งกว่าลมหนาวอีก
มู่อวิ๋นซีจ้องมองทั้งสองคนอย่างแน่วแน่ มือก็ค่อยๆ กำแน่น นางก็ว่าทำไมช่วงสองสามวันนี้ไม่เห็นมู่ซิ่วมา ที่แท้กำลังรอปล่อยท่าไม้ตายนี่เอง
“คุณหนู!”
ไป่หลิงใจอ่อน เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้นี้ตาก็จะแดง มองดูสีหน้ามู่อวิ๋นซีที่กังวลและเคลียด แล้วหันมองมู่ซิ่ว “คุณหนูใหญ่ นี่ท่านทำไรเจ้าค่ะ?”
มู่ซิ่วก้มหน้าลง ไม่พูดแม่แต่คำเดียว
เจี่ยอี้เงยหน้าหันมองมู่อวิ๋นซี เสียงดังชัดเจน “วันนี้ข้ากับซิ่วซิ่วแบกหนามมารับโทษ เรื่องวันนั้นเป็นความผิดของพวกข้าเอง อวิ๋นซี เจ้ายกโทษให้พวกข้าเถิด?”
“แบก หนาม มา รับ โทษ?”มู่อวิ๋นซีหยุดเป็นคำเป็นคำ เล็บถูกบีบลึกลงไปในมือนานแล้ว “หนามของเจ้าละ?”