“ หมอกเป็นของเราแล้วนะ ”
คำกล่าวที่เขาบอกเธอเช่นนั้นคงมิผิดนัก ในคืนหนึ่งใต้แสงจันทราที่กระท่อมปลายนา เรือนร่างบอบบางเปลือยเปล่าขาวโพลนระทดระทวยอยู่ภายใต้ร่างแกร่งกำยำที่ไร้อาภรณ์ห่อหุ้มเช่นกัน เขาเบียดบดโลมเลียจนเธอหลอมละลายไร้เรี่ยวแรงต้านทาน
“ หมอกจ๋า รักเราหรือเปล่า ” เขากระซิบพร่ำคำรักที่ข้างหู พลางกดถูแก่นกลางกายชายอันเข้มแข็งใหญ่โตเข้าหากลีบกุหลาบสาวอวบอูมนั้น
“ รักสิ ไม่รักจะยอมไฟแบบนี้เหรอ ” สาวน้อยตอบซื่อ ๆ เขาก้มลงพรมหอมพรมจูบไปทั่วใบหน้าหวาน
“ น่ารักจังเลยคนดี เดี๋ยวเราก็เรียนจบช่างแล้วก็จะบวชสักพรรษา พอบวชแล้วจะให้ยายไปขอหมอกนะ เราจะผูกแขนกัน ”
“ ผูกแขนทำไม ”
“ ผูกแขน ก็หมายถึงแต่งงานกันไง แต่ที่นี่เรียกว่าผูกแขนกินดอง แต่งงานเสร็จก็ต้องเข้าหอ หรือว่าเราจะเข้าหอก่อนตั้งแต่ตอนนี้ดี ” เขาว่าพลางเบียดบดเรือนกายกำยำลงไปบนบี้ถูไถบนเรือนร่างบอบบางนั้น ยิ่งมันเสียดสีกันเท่าไร ไฟสวาทในกายก็ยิ่งลุกโชน ริมฝีปากหนาเล็มไล้ไปยังริมฝีปากอวบอิ่ม ดูดดึงขบกัดเบา ๆ เธอสะท้านกายเยือกในทุกสัมผัส พยายามสะบัดหน้าหนี
“ พอ… พอแล้วไฟ อย่าทำแบบนั้น มัน… ”
“ มันอะไร มันเสียวใช่ไหม ” เขาถามด้วยสายตาฉ่ำหวาน ก่อนจงใจลากดุ้นลำแข็งขึงของตนให้แหวกแซะลงตรงกลางกลีบเบื้องล่าง ถูไถมันลงไปยังรูร่องอันเป็นต้นตอแห่งตาน้ำฉ่ำแฉะ ส่วนหัวเบ่งบานถูไถอยู่ที่ปากถ้ำน้อย ๆ ทำทีจะดุนดันเข้าไป ทว่าเธอรีบผลักไหล่แกร่งอย่างรวดเร็วและห้ามปราม
“ ยะ… อย่านะไฟ อย่าเอาเข้าไปนะ ”
“ ไม่เอาเข้าไง เราสัญญากับหมอกแล้ว ” เสียงทุ้มตอบกระเส่า ทั้งที่สะโพกกำลังขยับโยกกดตอกพยายามล่วงล้ำ
“ ถ้าไฟรักหมอกไฟต้องรักษาสัญญา ไม่อย่างนั้นหมอกจะไม่มาให้เห็นหน้าอีกเลย ” เธอยื่นคำขาด นั่นทำให้เขาจำใจขยับออกจากจุดอันเป็นบ่อเกิดแห่งความกระสันเสียว
“ ก็ได้ ” ก่อนจะก้มลงระดมพรมจูบบนเนื้อนวลและอกอวบอิ่ม กลืนกินเลียไล้เสียจนเธอสั่นสะท้านอีกรอบ
“ พอนะไฟ พอแล้ว ”
“ ทำไมล่ะ หมอกไม่ชอบเหรอ ” เธอหลบสายตาฉ่ำเยิ้มที่จ้องมาราวกับจะกลืนกินก่อนอ้อมแอ้มตอบ
“ ชอบ แต่หมอกกลัว ”
“ กลัวอะไร ”
“ กลัวจะห้ามใจตัวเองไม่ได้ ” หัวเข่าแกร่งเริ่มกดลงมาแหวกขาเรียวให้แยกแย้มออกอีกครั้ง ก่อนนาบดุ้นเอ็นแข็งขึงลงมาบริเวณหน้าท้อง แล้วเอ่ยเสียงกระเส่า
“ ห้ามไม่ได้ ก็ไม่ต้องห้าม ” แล้วประกบเรียวปากอวบอิ่มนั้นด้วยปากหยักหนาของตน โลมเลียจ้วงจาบเข้าไปภายใน กระหวัดรัดรึงลิ้นเล็กให้คล้อยตาม มือน้อยที่ผลักไสกลับกลายเป็นโอบรัด เรียวขาที่หุบแน่นกลับเปิดเปลือยแย้มอ้าเชิญชวน
“ เป็นเมียเรานะ ” เสียงทุ้มแหบพร่าเพราะอารมณ์ปรารถนากระเจิดกระเจิงเอ่ยขึ้นคล้ายขออนุญาต หากแต่ยังไม่มีคำตอบรับใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนยอดอันเบ่งบานของลำรักก็ถือวิสาสะสอดเสยเข้าไปในรูร่องน้อยอันคับแคบ ทว่ามีน้ำหวานคาวรักชโลมชุ่มเสมือนน้ำมันหล่อลื่นให้กระบอกสูบเคลื่อนไหวได้สะดวก กระนั้นเธอก็ยังตึงแน่นราวมันจะฉีกออกเป็นสองส่วน
“ อื๊อ เจ็บ ไฟ หมอกเจ็บ ” เธอโอดครวญทันทีที่เขาพยายามดุนดันมันให้ล้ำลึกยิ่งขึ้น
“ เจ็บนิดเดียวหมอก เดี๋ยวก็หายนะคนดี ” เขาปลอบพร้อมก้มลงประกบปากลงบนริมฝีปากอวบอิ่มที่เผยออ้าจูบซับปลุกปลอบกระตุ้นเร้าให้เธอคลายเครียดแล้วโอนอ่อนผ่อนตาม
แล้วมันก็ได้ผล กล้ามเนื้อเคร่งครัดที่บีบรัดจนขยับไม่ได้เริ่มคลายตัว มือน้อยที่ผลักไสเริ่มกอดรัด ปากอวบอิ่มขยับจูบตอบ
ไฟถอดถอนแท่งลำรักออกมาเพื่อจะดันเข้าไปใหม่อีกครา ทว่า…
“ บักไฟ หนูหมอก อยู่ไสกันนี่ ! ”
(ไอ้ไฟ หนูหมอก อยู่ไหนกัน)
เสียงตะโกนเรียกมาแต่ไกลของยายใบ หรือแม่ใหญ่ใบ ยายของไฟดังโหวกเหวก ทำให้สติกลับคืน หญิงสาวผลักร่างใหญ่ออกจากตัวก่อนรีบลุกขึ้นนั่ง
“ ไฟ เสื้อผ้าหมอกอยู่ไหน ต้องใส่เสื้อผ้าก่อน ”
ชายหนุ่มหยิบเสื้อผ้าให้เจ้าหล่อนอย่างเสียมิได้ นึกหงุดหงิดยายในหัวใจ
“ สิมาอีหยังตอนนี้น้อ แม่ใหญ่เอ๊ย ”
(จะมาอะไรตอนนี้ ยายเอ๊ย)
เขาบ่นพึมพำเป็นภาษาอีสาน พลางหยิบเสื้อผ้ามาสวมให้ตัวเองบ้าง
เมื่อเสร็จเรียบร้อยเขาก็เดินลงจากเถียงนา หรือกระท่อมน้อยกลางนาออกไปรับคำเรียกจากผู้เป็นยาย
“ อีหยังแม่ใหญ่ เอิ้นเสียงดังพอปานมีผู้ได๋ตายแท้ ”
(เป็นอะไรยาย เรียกเสียงดังอย่างกับมีคนตาย)